เดียร์น่าเด็กหญิงอายุ 8 ขวบมีความสามารถพิเศษหลากหลายด้านเธอฝึกเล่นเปียโนตอนอายุ 4 ขวบ เธอมักได้ขึ้นไปเล่นบนเวทีในงานเทศกาลของโรงเรียนทุกปี เมื่ออายุใกล้ 6 ขวบ คุณแม่เห็นเดียร์น่าชื่นชอบการทำขนมจึงพาเธอไปบ้านของคุณเคททุกวันเสาร์ คุณเคทเปิดร้านเบเกอรี่ตั้งแต่รุ่นแม่ของคุณเคท เธอจึงมีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการอบขนมและรังสรรค์ของหวานทุกประเภท และเดียร์น่าก็กลายเป็นลูกศิษย์ตัวน้อยของคุณเคทหลังจากนั้น คุณเคทมีเชื้อสายฝรั่งเศสจากคุณแม่ของเธอ เดียร์น่าจึงขอให้คุณเคทสอนภาษาฝรั่งเศสให้แก่เธอด้วย เดียร์น่าพูดฝรั่งเศสคล่องตั้งแต่อายุ 6 เกือบ 7 ขวบ นอกจากนั้นเดียร์น่ายังเป็นเด็กหัวไวและเรียนรู้เร็ว จึงเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนและเป็นที่น่าภาคภูมิใจของคุณพ่อกับคุณแม่และเหล่าบรรดาครู อาจารย์ที่สั่งสอนเธอมา แต่มีความสามารถหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าเดียร์น่ามี ...
เย็นวันเสาร์ระหว่างทางกลับจากบ้านของคุณเคท เดียร์น่านั่งรถคันหรูอยู่ที่เบาะด้านหลังมีคุณพ่อเป็นคนขับรถและคุณแม่นั่งอยู่ด้านหน้า รถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ลัดเลาะผ่านเมืองที่คุ้นตา ร้านรวงยามเย็นเริ่มส่องแสงสว่างเจริญหูเจริญตา เมื่อออกจากนอกเมืองจะผ่านป่าสนทั้งสองข้างทาง ซึ่งเป็นเส้นทางประจำของครอบครัวนี้ ระยะทางกลับบ้านวันนี้ดูไกลกว่าปกติ หรือว่าป่าสนจะขยายตัวจนกินพื้นที่บ้านของเธอไปกันนะ ฟ้าเริ่มมืดขึ้นทุกที โดยปกติเมื่อตะวันเริ่มจะตกดินเดียร์น่ากับครอบครัวจะต้องนั่งลงบนโต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารเย็นกันแล้ว แต่บัดนี้รถยังคงเคลื่อนตัวผ่านป่าสนอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดลง
ยาวนานเหลือเกินกว่าจะถึงบ้านหลังใหญ่ของเดียร์น่า
เด็กน้อยฮัมเพลงแก้เบื่อระหว่างทาง พรมนิ้วลงบนเปียโนล่องหน ท่วงท่าและลีลาสง่างามเช่นเคย หนึ่งเพลง สองเพลง รถก็ยังคงแล่นฉิวผ่านป่าสน “คุณพ่อคะ วันนี้เรามาผิดทางหรือเปล่าคะ” นิ้วเรียวเล็กพักมือวางบนหน้าตักของตน
“จวนจะถึงแล้วล่ะลูก เห็นทะเลสาบไกล ๆ นั่นไหม” เมื่อใดที่เข้าใกล้ทะเลสาบก็จะหมายความว่าเมื่อนั้นเข้าใกล้บ้านของเด็กน้อยแล้ว เดียร์น่าชะโงกมองทะเลสาบที่อยู่สุดตา ตอนนี้มันเริ่มเข้ามาใกล้จนจะเลยผ่านเราไปแล้ว นิ้วเรียวเล็กบรรเลงลงบนเปียโนอากาศอย่างคล่องแคล่ว ตัวโน้ตที่สนุกสนานรื่นรมย์หลุดลอดลอยละล่องอยู่ในอากาศ ไม่กี่นาทีรถก็ชะลอเข้าบ้านที่ก่อด้วยอิฐหลังใหญ่สามชั้น รายล้อมด้วยส่วนกุหลาบทั้งสามด้าน รั้วไม้สีขาวสะท้อนกับแสงจากไฟรถเห็นชัดในเวลาพลบค่ำ
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมง ครอบครัวของเดียร์น่ารับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเฉกเช่นทุกวัน และไม่ช้าเสียงเปียโนก็ดังขึ้นแผ่กังวานทั่วทุกห้องหับในบ้านอิฐที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น เดียร์น่าพึงพอใจกับการพรมนิ้วลงบนเปียโน เสียงไพเราะชวนให้เคลิบเคลิ้มจนคุณพ่อกับคุณแม่เผลอหลับอยู่บนโซฟา นิ้วของเดียร์น่ายังคงบรรเลงเพลงต่อไป เปลี่ยนจังหวะให้ช้าลงเพื่อส่งทั้งสองท่านเข้าสู่นิทรา นิ้วยาวเล็กเรียวขึ้นเมื่อเธอเปลี่ยนจังหวะเพลง นิ้วเรียวเหมือนดั่งหญิงสาววัยแรกรุ่น ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงแม้นิ้วจะเรียวเล็กแต่ก็ไม่ใช่ขนาดเล็กเหมือนนิ้วของเด็ก 8 ขวบ เดียร์น่าหยุดพรมนิ้วพิจารณาดูมือของตัวเอง ขนาดมือเท่ากับเบลล่าเด็กสาวอายุ 15 ที่เรียนเปียโนที่เดียวกับเธอ
ชายผมหยักศกของเดียร์น่าละแขนอยู่ที่ข้อศอก ผมของเธอยาวขึ้นหรือเปล่า
“คุณพ่อ คุณแม่คะ หนูว่ามันแปลก” เด็กน้อยที่ตอนนี้ดูคล้ายจะเป็นเด็กสาววิ่งไปหาบิดาและมารดาของตนซึ่งกำลังอยู่ในห้วงลึกของนิทราที่ไม่อาจหวนย้อนกลับ
เดียร์น่าส่องกระจกพิจารณาตนเอง ใบหน้าดูสละสลวยเหมือนดั่งเด็กสาวอายุ 15 ผมหยักศกสีทองยาวขึ้นกว่าแต่ก่อน ผิวพรรณที่เคยเรียบเนียนมีรอยแดงจากสิวขึ้นประปราย นิ้วเล็กเรียวที่เคยพรมเปียโนเรียวและยาวขึ้นกว่าแต่ก่อน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงแค่หนึ่งบทเพลง
เธอเดินไปยังห้องโถงเติมถ่านในเตาผิงเพิ่มความอบอุ่นให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนาน นั่งนิ่งจ้องมองเขาทั้งสองอย่างแปลกพิลึก หญิงชายวัยสี่สิบกลาง ๆ หายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ห้วงนิทราจะคืนทั้งคู่กลับมาเมื่อใด พวกเขาจะตกใจกับสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเดียร์น่าหรือไม่
จวบจนเที่ยงคืน ถ่านในเตาผิงมอดไหม้ไม่เหลือจุน เดียร์น่าต้องการเติมถ่านเพื่อดับความหนาวเย็นยะเยือกในห้อง แต่ถ่านไม่เหลืออยู่ในห้องนี้อีกแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหนกัน เดียร์น่าคิดไตร่ตรอง เดือนพฤศจิกายนช่างหนาวเย็นอะไรเยี่ยงนี้ เธอต้องรีบหาถ่านมาเติมก่อนที่เราทั้งสามในบ้านจะแข็งตายเสียก่อน
บุคคลที่หลุดไปในห้วงนิทราทั้งสองเริ่มขยับกายหลังจากที่แช่แข็งไปนานแสนนาน ตาสีน้ำเงินเข้มของชายหญิงเบิกโพลง เดียร์น่าที่เฝ้าดูตกใจวิ่งไปแอบอยู่ตรงเปียโน ชายหญิงผู้ที่เป็นพ่อแม่ของเธอดูห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างน่าตกใจ มีเพียงแค่หน้าตาและรูปร่างที่เหมือนกัน เว้นเสียเพียงแววตาของทั้งคู่ ผิวซีดเซียวของหญิงวัยกลางคนขับกับสีปากแดงที่ทาไว้อยู่ก่อนแล้ว น่าขนลุกสิ้นดี ผมสีขาวดอกเลาของชายสวมสูทยิ่งดูซีดเมื่ออยู่กับสีผิวขาวราวกับศพ
ชายหญิงลุกขึ้นยืนเหมือนคนไร้วิญญาณ
อากาศเย็นยะเยือกชวนขนลุก
จะต้องมีใครเร่งเวลาของพวกเราให้เร็วขึ้นเป็นแน่
ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หันซ้ายหันขวาอย่างมึนงง มือแขนขวนขวายหาสิ่งที่ไขว่คว้ามิได้
แน่นอน เดียร์น่าไม่รู้สาเหตุของสถานการณ์นี้ สิ่งที่เธอรับรู้คือความหนาวเย็นสะท้านในห้องที่มีเตาผิงแต่ไร้ถ่านกับไฟ อะไรจะทำให้ห้องอบอุ่นขึ้นได้ สมองเธอจะได้แล่นหาวิธีแก้ไขปัญหาพิลึกสุดใจนี้ได้ทันการ
เธอพรมนิ้วยาวเรียวลงบนเปียโนสีขาวหลังใหญ่ด้วยจังหวะและท่วงทำนองที่ไพเราะ เหมือนเสียงลมในฤดูร้อน แทรกด้วยเสียงพูดคุยของนกบนต้นไม้ เพิ่มความหอมละมุนของดอกไม้ใส่ขั้นลงไปในแต่ละท่อน แปลกที่ชายหญิงคู่นั้นดูจะฟื้นคืนเลือดเนื้อกลับมา สีผิวที่ซีดราวกับศพถูกสูบฉีดด้วยเลือดที่แผ่กระจายทั่วร่างกาย ตาสีน้ำเงินเริ่มถูกบนบังด้วยเปลือกตาที่ปิดลง เขาทั้งคู่นั่งลงอยู่บนโซฟาที่เดิม หลับตากลับสู่ห้วงนิทราที่เหมือนวังวน
“คุณพ่อ คุณแม่”
เด็กสาวกล่าวเรียกอย่างดีใจ มือหยุดชะงักลง เปียโนไร้เสียง แต่ทว่าตามสีน้ำเงินเบิกโพลงน่ากลัวเช่นเคย
น้ำตาไหลอาบแก้มของเดียร์น่าเสียงสะอื้นดังชัดจนเข้าโสตประสาทของชายหญิง ตาสีน้ำเงินเข้มของทั้งคู่เบิกโพลง ผิวกลับมาซีดขาวดังเดิม เดียร์น่าไม่อาจสั่งน้ำตาให้หยุดไหลได้ เรื่องน่ากลัววันนี้จะเป็นเพียงแค่ฝันใช่หรือไม่ เธอพรมนิ้วบรรเลงลงบนเปียโนต่อไป ถึงกระนั้นพ่อกับแม่ของเธอก็ยังน่ากลัวราวกับร่างกายที่ไร้วิญญาณ ซึ่งกำลังย่างกายหมายทำร้ายตัวของสุดที่เคยรัก เดียร์น่ากลัวจนกลั้นหายใจ
นิ้วเรียวยังคงบรรเลงเพลงต่อไป
แม้น้ำตายังคงไหลรินอย่างไร้เสียงสะอื้น
และเสียงบรรเลงยังคงก้องกังวาน
ทว่าพ่อกับแม่ของเธอกลับหลับใหลไปในห้วงนิทราอย่างเช่นเดิม
.
.
.
.
.
เดียร์น่ายังคงร้องไห้อย่างไร้เสียงสะอื้นพร้อมบรรเลงเพลงจากสายลมฤดูร้อน จนกว่าความฝันนี้จะสิ้นสุดลง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in