เสียงเครื่องปรับอากาศดังกระหึ่มเป็นระยะในคืนวันเสาร์มิอาจรบกวนการท่องนิทราของเปลวเทียน ผมสีดำขลับของเธอแผ่กระจายทั่วหมอนที่สวมปลอกสีเหลืองนวล หญิงสาววัย 22 นอนหลับสนิทไม่ไหวติงต่อการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตร่วมห้อง แมวสลิดตัวเมียแทรกตัวเข้าใต้ผ้านวมอย่างเชื่องช้านุ่มนวล เสียงหายใจของผู้ท่องนิทราทั้งสองบรรเลงไปในทำนองเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นคุกกี้อบเชยลอยละล่องทำให้ห้องสี่เหลี่ยมที่มืดมิดไร้แสงไฟบรรจุความอบอุ่นอบอวลทั่วทุกตารางนิ้ว ความมืดมิได้น่ากลัวเสมอไป หากสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งที่สายตามิอาจเห็นได้ เฉกเช่นประสบการณ์ครั้งแรกในบ้านผีสิงตอนอายุสิบขวบ เมื่อเดินเข้าสู่ความมืดทึมในบ้านผีสิงจินตนาการอันบรรเจิดถาโถมเข้ามาคาดเดาสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้า ไม่ทันได้เห็นหรือสัมผัสน้ำจากตาทั้งสองข้างก็ไหลอาบแก้ม เด็กน้อยวิ่งย้อนกลับไปหาแม่ผู้ยืนอยู่ตรงแสงสว่างที่จากมา
ครืนนน นน ตุ้บ ปายย ครืนนน นน
เสียงรถขยะมาใกล้และค่อยไกลห่างจากจุดที่อยู่ พนักงานเก็บขยะตะโกนบอกคนขับให้ไปต่อด้วยเสียงใหญ่ทุ้มต่ำ
เที่ยงคืนกลับมาเงียบสงบ เงียบสงบจนได้ยินเสียงสนทนา เสียงสนทนาที่แว่วมาและหายไป
เปลวเทียนฟื้นกลับจากห้วงนิทรา ดวงตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ เผยออก สายตาจดจ้องไปที่แสงสลัวในห้อง ไฟสีส้มจากด้านนอกแทรกแซงเข้ามาถึงภายใน สมองนึกย้อนทบทวนเรื่องราวในหนึ่งวันที่เพิ่งผ่านมา คนที่หล่นหายไปเมื่อเจ็ดปีที่แล้วหวนย้อนกลับมา แต่มิไม่ได้กลับคืน
เมย์โบกมือทักทายเปลวเทียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน เมื่อรถบนท้องถนนว่างพอจะเดินข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง เมย์จึงรีบวิ่งข้ามผ่านทางม้าลาย
“เทียน”
“เมย์”
“ไม่เจอนานเลย”
“เป็นไง”
“พอดีมาหาอะไรกินแถวนี้ ไปด้วยกันไหม” เมย์ถามต่อ
“เราสองคน?” เปลวเทียนเด็กสาวที่ไม่ชอบอยู่กับคนที่ไม่คุ้นหน้าเคยตาถามย้ำว่าจะไม่มีคนแปลกหน้ามาเพิ่มในสถานการณ์นี้ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ บรรยากาศเหมือนจะดูผ่อนคลายแต่มือเปลวเทียนกลับเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชุ่ม
คาเฟ่ยามค่ำคืนสว่างไสวและดูอบอุ่นไปด้วยไฟสีส้ม บนเพดานมีดอกไม้แห้งหลากสีห้อยตรงดิ่งลงมาทั่วทั้งร้าน ต้นไม้เขียวสดกางปีกและใบอยู่ทั่วทุกมุมโต๊ะเก้าอี้ ที่นั่งหลังชั้นหนังสือชั้นเล็กที่ถูกตั้งไว้แบ่งเขตเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้ามีสองสาวนั่งอยู่ สตรอว์เบอร์รีมิลก์เชคถูกเสิร์ฟให้กับเมย์ ตามด้วยช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตปั่นสำหรับเปลวเทียน
“เป็นไงบ้าง” เปลวเทียนคนที่ดูอึดอัดกับสถานการณ์นี้ที่สุดชิงกล่าวเปิดเพื่อผ่อนคลายตนเอง
“เพิ่งเรียนจบแล้วก็ทำงาน ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิต” เมย์กล่าวอย่างตัดพ้อพร้อมทำหน้าบูดเบี้ยว
“ความรักสวยงามด้วยสิ” เปลวเทียนแกล้งพูดแซว
“เคนตะ ห่วย แตก ปกหน้าดูดีแต่ใช้ชีวิตแย่ในทุกด้าน แต่ยังไงก็เลิกกับมันไม่ได้”
“เพราะ?”
“มนุษย์นะ ถ้าคบกับใครเป็นแฟนนานจนเกินไปมักจะเป็นแบบนี้เสมอ หนึ่งทุ่มสิบนาที อีกสี่สิบนาทีต้องขับรถไปรับมันที่ทำงาน” เมย์เงยหน้าขึ้นจากนาฬิกาแล้วพูดต่อ “ใช้ชีวิตแบบมึงน่ะดีแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ ก็ดีมั้ง”
บรรยากาศระหว่างสองคนเริ่มเบาบาง ความอึดอัดมลายหาย
“คิดถึงสมัยก่อนที่มึงไปเที่ยวกับบ้านกู ตอนนั้นเราโคตรเหมือนพี่น้องกันเลยเนอะ คราวที่ไปเดินป่ากับพ่อแล้วปลิงเกาะขามึงกูยังจำได้ มึงร้องไห้งอแงเป็นชั่วโมงเพราะกลัวมันจะดูดเลือดจนกลายเป็นซอมบี้ กูต้องกอดปลอบมึงแล้วพ่อก็เอาปลิงออกให้ พอตอนกลางคืนพวกเราอยู่ในเต็นท์มึงบอกกูว่ามึงจะหลับทีหลังกูเพราะกูกลัวความมืด”
“แล้วมึงก็ไม่หลับสักทีจนกูต้องเปิดไฟฉายให้” เปลวเทียนยิ้มหัวเราะ
“ใช่ แล้วไฟฉายก็ถ่านหมด”
“แล้วมึงจำได้ไหม ทำไมมึงถึงนอนหลับ”
“ก็ไฟฉายไง” เมย์ตอบ
เปลวเทียนทำมือเป็นรูปประหลาดแต่เมื่อมองเงาของมือนั้นจะเห็นเป็นผีเสื้อกางปีกสวยหนึ่งตัว
เมย์ดื่มสตรอเบอร์รีมิลก์เชครวดเดียวจนเหลือครึ่งแก้ว “เออถึงว่า กูไปจำท่าแบบนี้มาจากไหน พูดตามตรงลืมไปแล้ว ฮ่า ๆ แล้วตอนนั้นมึงเป็นคนสอนให้ทำมือเป็นผีเสื้อ จากนั้นเราก็เล่นเป็นผีเสื้อสองตัวบินหาดอกไม้จนหลับไป อ๊ะ เดี๋ยวมานะ” เมย์ขอตัวเดินไปคุยโทรศัพท์ เปลวเทียนนั่งเหม่อ ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนรักของทั้งสองดูปะติดปะต่อกันอย่างแนบสนิท ทว่ามีชิ้นส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป
“เคนตะยังไม่เลิกงาน อยู่ต่อได้อีกหน่อย” เมย์พูดหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ “ตอนอยู่ในโรงเรียนพวกเราโคตรตัวติดกันเลย เทียนกับเมย์ ถ้าใครพูดถึงใครคนใดคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาทั้งสองชื่อ เทียนกับเมย์ไปด้วยไหม หรือ เมย์กับเทียนหายไปไหน ไม่มีวันไหนที่เราแยกกันเลยเนอะ ฮ่า ๆ ” เปลวเทียนยิ้มหัวเราะตอบกลับและบีบนวดมือตัวเอง
“เบื่อแล้วเหรอ สั่งเค้กกินกันไหม ได้ยินมาว่าอร่อย แต่คนที่พูดรสนิยมเป็นแบบไหนก็ไม่แน่ใจแฮะ อาจจะไม่เหมือนพวกเรา ลองเค้กเลมอนดีไหม” เมย์กล่าวเมื่อสังเกตเห็นเปลวเทียนเริ่มมีท่าทีอยู่ไม่สุก
“เป็นเค้กช็อกโกแลตดีกว่า” เมย์จัดการเรียกให้พนักงานรับรายการอาหาร
“เอ่อ ต้องขออภัยคุณลูกค้าครับ ทางร้านเสียใจที่จะต้องแจ้งว่าร้านของเราใกล้จะปิดในอีกห้านาทีไม่ทราบว่าลูกค้าสะดวกรับเป็นใส่กล่องไหมครับ”
“ได้ค่ะ” เปลวเทียนชิงตอบในระหว่างที่เมย์กำลังงุนงงกับคำถาม
“ลืมดูเวลาปิดร้านไปเลย อีกสิบนาที..” เมย์พูด
“ขอถามแบบจริงจังเลยนะ โกรธอะไรเรา”
เมย์หันหน้ามามองและเลิกคิ้วอย่างสงสัย
เปลวเทียนจ้องตาคนฝั่งตรงข้ามอย่างแข็งกร้าว มุมปากเรียบตรง ไม่เอ่ยวาจาซ้ำ เมย์เดินไปหยิบน้ำเปล่าที่มุมบริการน้ำดื่มด้วยตนเอง เธอวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะฝั่งตัวเองและน้ำชาที่ฝั่งเปลวเทียน
มุมปากเรียบตรงเริ่มขยับพูด “เรื่องที่เธอก็รู้” เปลวเทียนกล่าว
เมย์ใช้มือเท้าคางเบือนหน้าออกไปทางกระจก เมืองยามค่ำคืนช่างสวยงาม ความมืดบดบังความน่ารังเกียจของเมืองได้หมดจด แสงไฟปะหน้าความชังได้อย่างแยบยลเผยให้เห็นความครึกครื้นรื่นรมย์ในเมืองยามวิกาล
พนักงานเสิร์ฟวางถุงใส่กล่องเค้กสองชิ้นบนโต๊ะ
“เอาล่ะ เราไปข้างนอกกันดีกว่า” เมย์กล่าว เปลวเทียนเดินตามหลังออกมาอย่างว่าง่าย เพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน บัดนี้ได้รำลึกหวนคืนถึงวัยหวานกันแล้วถึงคราวที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นใจให้หมดเปลือก “คราวนั้นฉันเจอสตีฟเพื่อนที่เคยเรียนกับพวกเรา มันถามว่าเปลวเทียนหายไปไหน ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ ฉันตอบไปว่าเธออยู่บ้าน พูดเหมือนรู้ดีว่าเธอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ”
“แล้วไงต่อ” เปลวเทียนถาม
“ก็แค่นั้น” เมย์กล่าวเสริม “เพื่อนสนิทต้องตัวติดกันตลอดเลยเหรอ ถูกไหมล่ะ”
“ช่วยตอบคำถามที่ถามไปที” เปลวเทียนว่า ทั้งคู่เดินตามถนนเรื่อยมาถึงร้านน้ำเต้าหู้ เมย์หย่อนตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด สั่งเมนูที่ธรรมดาที่สุด น้ำเต้าหู้หวานน้อยใส่เม็ดแมงลักสองที่ เธอเริ่มเล่า “วันที่อากาศร้อนที่สุดในเดือนเมษา โรงเรียนจัดค่ายการเรียนรู้ระบบนิเวศทางทะเล นักเรียนชั้นม.สามทับสี่ไปรถบัสคันที่ 4 ลำดับตามเลขห้อง เธอนั่งข้างฉันอยู่ฝั่งขวาริมหน้าต่าง เคนตะขอสลับที่กับฉันเหตุผลคือฝั่งนี้แดดส่องไม่แรงเท่าที่นั่งอีกฝั่งที่เคนตะนั่งกับแจ๊ค ฉันบอกปัดเสียงแข็งแต่ยังไงเคนตะก็ไม่ยอม เธอที่กำลังมองฉันปฏิเสธทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วเคนตะก็เดินไป ฉันยังนั่งกับเธอที่เดิม ตอนที่ทำกิจกรรมในป่าชายเลนเราสองคนไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ฉันโกรธมากตอนนั้น”
“เพราะฉันอยู่กับเคนตะ?”
เมย์กระพริบตามองต่ำเป็นคำตอบ
“เธอก็น่าจะรู้ยังไงฉันก็เลือกเธอมาตลอด เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่” เปลวเทียนเลื่อนถ้วยน้ำเต้าหู้ที่เด็กเสิร์ฟวางตรงขอบโต๊ะไปทางเมย์
“เพราะเราเป็นเพื่อนกันไง ช่างเถอะ จริง ๆ ฉันโกรธเธอแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เป็นเพราะเวลาที่ทำให้เราไม่ได้คุยกันมากกว่า เราแยกย้ายไปเรียนกันคนละที่ เธอต้องปรับตัวกับบ้านใหม่ ฉันก็ต้องปรับตัวเวลาที่ไม่มีเธอ คิดมากไปก็เสียเวลาฉันไม่ได้โกรธเธอหรอก”
“แล้วเคนตะเป็นยังไงบ้าง” เปลวเทียนถาม
เมย์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยตอบ “ขอโทษที่โกหก เราเลิกกันไปนานแล้ว แต่ตอนนี้มันคงโตขึ้นกว่าเดิมเพราะต้องรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ สองคน ตอนนี้ไม่มีเคนตะมาทำให้ฉันโกรธเธอได้แล้วล่ะ” เมย์พยายามพูดติดตลก
“งั้นเราก็...”
“แต่เราสองคนคงไม่เหมือนเดิม คงตัวติดกันไม่ได้แล้วนะ” เมย์พูดแทรก “ฉันต้องบินตลอดเวลาเลยน่ะสิ เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะ เพราะเธอเป็นเพื่อนฉันไง”
“หืม?”
“มุกตลกน่ะ”
“เหอะ ๆ ไม่เห็นจะเข้าใจ” เปลวเทียนแสร้งขำ ยังไงก็ไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่มุกตลกเสียด้วยซ้ำ ทั้งคู่กล่าวลาอย่างเรียบง่าย ไว้เจอกันสักวันหนึ่ง
ใครสักคนในสองคนพูดเอ่ยขึ้น เปลวเทียนหรือเมย์? เสียงนั้นแยกไม่ออกว่าเป็นใคร
.
เสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้นจากห้องสักห้องหนึ่งในอะพาร์ตเมนท์ชั้นสี่ เปลวเทียนหลับตาลงอีกครั้ง พยายามจับความรู้สึกไปที่เสียงรื่นเริงข้างห้อง เสียงแห่งความสุข เสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนรัก เสียงหัวเราะลั่นสนั่น
.
.
“เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะ เพราะเธอเป็นเพื่อนฉันไง”
ประโยคยาวยังคงดังแว่วอยู่ในหัวซ้ำ ๆ แม้เสียงข้างห้องจะดังมากก็ตาม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in