แต่ก็แลกกับการได้มาลงตรงเทอร์มินอลของสายการบินที่จะกลับบ้านเลยไม่ต้องเสียเวลาต่อรถไฟระหว่างเทอมินอลมาลงที่นี่ ประหยัดเวลาได้ในระดับหนึ่ง (น้องคนหนึ่งถามผม ตกลงมันคุ้มมั้ยอ่ะพี่ ผมไม่ตอบอะไรน้องเค้า แต่รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาแท็กซี่ )
เมื่อกรุ๊ปเราเดินเข้ามาในตัวอาคาร มองไปที่จอมอนิเตอร์ดูหมายเลขเที่ยวบิน พร้อมกับ สอดส่องสายตาไปทั่ว ไม่นานก็เจอกับช่องเชคอินสายการบินแอร์เอเชียที่ตรงกับบุกกิ้งนัมเบอร์เรา เมื่อแน่ใจว่าใช่ ชัวร์ ขั้นตอนต่อไป คือ เราต้องเคลียร์ของฝากที่หิ้วพะรุงพะรังตั้งแต่เช้านี้ลงกระเป๋าให้หมดและต้องเฉลี่ยน้ำหนักถ่ายเทของให้พอเหมาะพอดีกับ กระเป๋าของคนในกรุ๊ป
ผมมองหาพื้นที่ที่จะเคลียร์ของพบว่า...มีผู้โดยสารที่มาก่อนจับจองพื้นที่บริเวณใกล้ที่เช็คอินหมดแล้ว บ้างก็นอนเล่นใกล้ปลั๊กไฟชาร์ตมือถือ บ้างก็จัดของไปร้องเพลงไปด้วย บางคนเล่นเกมในมือถือ บางคนงีบหลับ กรุ๊ปเราเลยต้องจำยอมถอยห่างออกไปจัดของอีกล๊อกหนึ่ง(ซึ่งก็ไกลจากที่เดิมเยอะเหมือนกัน)
ผมและน้องๆ เปิดกระเป๋าพยายามยัดของฝากที่ซื้อมาลงกระเป๋าให้หมด และแบ่งของที่จำเป็นถือขึ้นเครื่อง เราใช้เวลาไม่นานทุกคนก็พร้อม จากนั้น…เราก็ไปต่อแถวเช็คอิน ชั่งน้ำหนักกระเป๋า
แล้วสิ่งที่ผมกังวลก็เกิดขึ้น....
น้องคนแรกในทริปนั้น น้ำหนักกระเป๋าผ่านไปได้ด้วยดี มันไหลผ่านเครื่องสแกนไปตามระบบแล้ว ( เฮ้!!!)
แต่เมื่อถึงคิวผมซึ่งเป็นคนที่สองในกรุ๊ป พนักงานที่เช็คอินทำหน้านิ่งเฉยไม่บอกไม่กล่าวอะไร ทุกอย่างหยุดนิ่ง
ผมงง น้องที่ต่อแถวต่อจากผมก็งง
ผมถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็นิ่ง ไม่พูดซักคำ(ตอนนั้นคิดว่า...หรือกูพูดภาษาอังกฤษไม่เข้าใจวะ)จนกระทั่งมีน้องคนไทยจากนอกแถวคนหนึ่งกระซิบผม“ พี่ น้ำหนักกระเป๋าเกิน “ ผมถึงเข้าใจ
อ๋อๆ ...คือเราต้องดูที่ตัวเลขน้ำหนักเองเว้ยถ้าเกินเป็นอันรู้กันว่า มึงรีบไสหัวเอากระเป๋าไปเคลียร์มาใหม่ น้ำหนักเกินโว้ยยยยแล้วรีบๆยกออกทันทีเลยนะจ๊ะ มันจะเสียเวลาคนอื่น ฉันจะไม่พูดมากนะ เจ็บคอ อะไรประมาณนี้
“โอ๋ย....ใครจะไปรู้ บอกซักคำก็ได้ดอก “ผมบ่นกับน้องที่ต่อแถวหลังผมทั้งสองคน ที่ต้องออกจากแถวตามผมมาทั้งหมด กรุ๊ปเราเหลือกระเป๋าอีกแค่ 2ใบให้แชร์ เลยยกขบวนกลับมาเคลียร์ของใหม่ เราเคลียร์กันอยู่นานสองนานมองหาเครื่องชั่งน้ำหนักหยอดเหรียญแบบบ้านเราก็ไม่มีเสียด้วย
พอเจอเข้าอย่างนี้ ก็แอบคิดถึงตอนไปซื้อของเตรียมตัวมาที่นี่ ผมอ่ะเห็นเครื่องชั่งขนาดเล็กแบบแขวน เค้าวางขายที่ขอนแก่นว่าจะซื้อมาด้วย แต่ก็คิดว่า เออ… เราไม่ได้เป็นนักช็อปขนาดนั้นคงไม่จำเป็นหรอกม้างงง เป็นไงล่ะที่นี้...ตอนนี้จะทำยังไงดีเนี่ยผมคิดไปพลางจัดกระเป๋าไป ลุ้นสุดๆ ใจคอไม่ดีเลย ของฝากตัวเองก็เยอะ หากน้ำหนักมันเกินจริงๆ ต้องตัดใจทิ้งเสื้อผ้าแล้วจะทิ้งลงมั้ย (ฮื้อ) ซื้อน้ำหนักกระเป๋าใหม่ก็ไม่คุ้ม (เท่ากับซื้อตั๋วใหม่เลย)
ผมกับน้องผู้หญิงอีกสองคนง่วนอยู่กับกระเป๋าอยู่นานสองนานกระทั่งได้ผู้เชี่ยวชาญ(น้องที่น้ำหนักกระเป๋าผ่านคนแรก) ในการคาดคะเนน้ำหนักกระเป๋า มาช่วยเหลือแบบเดาๆอย่างมีหลักการนิดหน่อยซึ่งวิธีของน้องเค้า คือ….เค้าจะจับกระเป๋าพร้อมกันสองมือแล้วแยกขาออกให้กระเป๋าอยู่ตรงหว่างขา นับ หนึ่ง สอง สาม …แล้วลองยกขึ้นให้เลยเอวถ้าน้องเค้ายกไหว แสดงว่า น้ำหนักพอได้ (เออ….สูตรคาดคะเนอะไรของน้องมันวะเนี่ย)
สุดท้ายกรุ๊ปเราก็ได้เช็คอินครบน้ำหนักกระเป๋าผ่านไปแบบฉิวเฉียด ปานนักมวยชั่งน้ำหนักขึ้นชกบนสังเวียน เฮ้!!!!!!
เมื่อเราได้บอร์ดดิ้งพาส มาอยู่ในมือกันครบทุกคนก็ถึงเวลาที่เราจะไปต่อ พอทุกอย่างลงตัวความหิวก็เคลื่อนตัวเข้ามาหาเราอย่างฉับพลัน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน “หาอะไรกินกันเถอะพี่”
ผมนึกย้อนกลับไป เออ….นี่เรายังไม่ได้กินอะไรหลังจากมื้อเช้าเลยนะ สุดยอดไปเลย การเดินทางเที่ยวแบบรีบๆ นี่มันทำให้เก็บความหิวไว้ทีหลังได้ดีเลยแฮะแล้วก็…ไม่มีใครแวะเซเว่นด้วยนะ “ป้าด เราทนหิวกันมาได้ไงเนี่ย ตั้งหลายชั่วโมง”ผมหันไปบอกน้องๆ พร้อมกับได้คำตอบจากทุกๆ คนว่า…”ไม่ต้องพูดเยอะ เลสโกวๆ หิวจนตาลายแล้วเนี่ย”
เราทั้งหมดจึงพร้อมใจกัน ยื่นบอร์ดดิ้งพาส ผ่าน ตม.เข้ามาในบริเวณทางเดินไปเกทขึ้นเครื่อง
ภาพแรกที่ผมเจอ โอ้โห…ดิวตี้ฟรีแลนด์จ้า..ใหญ่โต กว้างขวาง มีร้านช็อปแบรน์เนมต่างๆเรียงรายจนสุดตา นี่มันสวรรค์ของนักช้อปเลยนะเนี่ย (ซึ่งมันมาพร้อมกับ การเดิน และวิ่งที่ไกลมาก กว่าจะถึงเกตขึ้นเครื่อง)
เราทั้งหมดพักภาพร้านรวงที่อยากจะช็อปไว้ก่อนแล้วมองหาร้านอะไรก็ได้ ที่มีอาหารให้เราเติมพลัง กรุ๊ปเราเดินมาไม่นานก็เจอกับ ร้านอาหารขนาดย่อมที่มีรูปภาพอาหารติดโชว์ไว้หลากหลายเมื่อมองไปที่ป้ายราคานั้นพอไหว จ่ายได้ๆ( ชื่อร้านอะไรไม่รู้ หิวจนไม่ถ่ายรูป ไม่จำด้วยว่าชื่ออะไร) เราจึงไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไป
พอเข้ามาในร้าน ผมก็ร้องบอกน้องๆ ฮ้า!!! ในที่สุดก็เจอ… “กระยาโทส สิ่งที่อยากลอง” น้องผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “มันจะเวิร์คมั้ยพี่ มากินอาหารซิกเนเจอร์ที่สนามบิน“ ผมซึ่งรู้อยู่แล้วว่า ถ้ากินที่นี่มันคงไม่ได้รสแบบออริจินอลหรอกแต่ก็ทำไงได้ “ดีกว่าไม่ได้ลองชิมอ่ะเน๊อะ” ผมตอบน้องออกไป
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่า….เราทั้งหมดทำเวลาได้ดี ยังเลือกอีก 1.5 ชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก เราเลยตกลงกันว่าพอกินข้าวกินปลาเสร็จ ค่อยเดินดูของในดิวตี้ฟรี ระหว่างทางไปเกทเรื่อยๆเนาะ เวลาคงทันกันพอดี
น้องๆตกลง
กรุ๊ปเรามองหาโต๊ะว่าง ไม่นาน ก็ได้โต๊ะที่อยู่ในจุดที่วิวดีเลยทีเดียว มันตั้งอยู่ติดกระจก มองเห็นลานบินประดับไฟในยามค่ำสวยงาม “โอ้ย…ดีงามพระรามสิงค์ อะไรเยี่ยงนี้ “ ผมหันไปบอกน้องๆเราหัวเราะกันแล้วแยกย้ายไปซื้ออาหาร
ผมซื้อกระยาโทสพร้อมกับข้าวยำมากิน พบว่ากระยาโทสนั้นเป็นไปตามคาด รสชาติพอได้ แต่ไม่ประทับใจ ส่วนข้าวยำนั้น ที่ศูนย์อาหารที่ห้างวิโว้รสชาติดีกว่าเยอะ (มีน้องคนหนึ่งบอกผมว่า ไอ้ที่เรียกว่า กระยาโทสอ่ะ แบบนี้ กินที่ไหนรสมันก็ไม่ต่างกันหรอกพี่เหมือนกินขนมปังปิ้งกับไข่ลวกที่บ้านเลย ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนดื่มกาแฟจะรู้ดีว่า คาเฟอีนนั้นจะเยียวยาทุกสิ่งให้เข้ากันได้อาหารมื้อนี้กลมกล่อมเพราะได้กาแฟเย็นรสเข้มหนึ่งแก้วมาดื่ม
เราใช้เวลาไม่นาน ท้องก็แน่น อิ่มได้ที่ เรอไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
เมื่อท้องอิ่ม ทุกคนก็พร้อมที่ออกเดินไปที่เกท “ป่ะไปใช้เงิน ดอล์ล่าสิงค์ให้หมด อย่าให้เหลือถึงดอนเมืองไว้ลายไทยแลนด์แดนนักช็อปกัน ” ผมหันมาเล่นมุขกับน้องๆแล้วเดินออกมาจากร้าน (ทุกคนเงียบกริบ ไม่รับมุขผมเลย ฮื้อ..อออ)
เมื่อเดินออกมาจ้าร้านอาหาร แล้วแยกย้ายกัน ต่างคนต่างเดินเขาออกร้านโน้นช้อบนั้น ช็อปนี้ไปเรื่อง กระทั่งน้องคนหนึ่งมาสะกิดผมบอกว่า…”พี่เราลืมไปแลก TEX เอาเงินภาษีคืน”
“เออ…..ช่ายลืมได้ไงวะเนี่ย ซื้อของตั้งเยอะ ต้องใช้สิทธิ์ “ ผมขอบคุณน้องที่เตือน แล้วชวนกันไป เดินหาช่องรับเงินภาษีคืนซึ่งการหาไอ้เจ้าช่อง(เคาท์เตอร์)ที่ว่านี้ นั้นยากยิ่งนัก เสียเวลาไปเกือบครึ่งชัวโมงเลยล่ะ นี่ถ้าไม่โชคดีเจอกรุ๊ปแอร์สายการบินไทยแสนสวยเราคงหามันไม่เจอหรอกว่าอยู่ตรงไหน (พี่เล่นไปแอบอยู่ลึกมากกกกก)
พอผมแลกเงินภาษีกลับมาได้แล้ว….ตั้งใจว่าจะกลับไปสอยรองเท้า อาร์ดิดาสซุบเปอร์สตาร์ที่เล็งไว้ก่อนหน้าที่น้องมาสะกิดไหล่( ตอนปี 2015 ที่บ้านเรายังต้องพรีออร์เด้อรองเท้ารุ่นนี้เข้ามาขาย ราคาไม่เบาเลยนะ)
กำลังจะก้าวขามุ่งไปที่ช้อปแล้วเชียว น้องคนหนึ่งร้องบอกออกมาว่า ” พี่!!! ไม่ทันแล้ว…เหลือเวลาอีก 10 นาทีเอง” ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู ชะงักกับเข็มเวลาชี้บอกเล็กน้อยเออ..จริงด้วย “โอ้ย….เสียดาย ไม่เอาก็ได้” ผมบอกน้องที่เตือน แบบเซ็งๆ
หลังจากนั้น กรุ๊ปเรากึ่งวิ่งกึ่งเดิน พาตัวเองมาที่เกทสำเร็จทันเวลาแบบพอดีเป๊ะ เราทั้งหมดได้นั่งพักเหนื่อยราว 5 นาที ได้ถ่ายรูปเซลฟี่รวมหมู่นิดหน่อยก็ได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง
ผมหันไปมองพื้นที่ และเก้าอี้ข้างหลังที่เพิ่งลุกอกมาส่งสายตาไปยังพื้นที่ ที่เพิ่งวิ่งผ่านมา คิดถึง อาร์ดิดาสซุปเปอร์สตาร์ที่พลาดไป(ค่อยกลับไปพรีที่ไทยก็ได้ เช๊อะ!) คิดถึงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่นี่ คิดถึงสถานที่ที่ยังอยากอยากเที่ยวต่อ คิดถึงเธอคนนั้นที่อยากชวนมาที่นี่
ไว้มีโอกาศจะกลับมาใหม่นะ
ผมทิ้งประโยคหนึ่งในใจไว้ที่นี่ และเดินตามน้องๆขึ้นเครื่องไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in