ได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ก้าวผ่านความกลัวของตัวเองมาได้ในระดับหนึ่งเมื่อกรุ๊ปเราลงมาข้างล่าง ก็ร่วมกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เป็นครั้งแรกที่ผมขอให้น้องถ่ายภาพเดี่ยวให้(ส่วนมากน้องจะถ่ายตอนเผลอๆให้แบบไม่ขอ)
ผมถ่ายรูปตัวเอง ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างซุปเปอร์ทรีย์สองต้น และแน่นอน มันมีเจ้าสกายเวย์อยู่ระหว่างต้นไม้สองต้นนั้น ผมตั้งใจเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกในการเดินทางครั้งนี้
เมื่อทุกคนนั่งพักหายเหนื่อยแล้ว… ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับไปที่โรงแรมเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ผมรู้ว่า...น้องๆยังอยากเดินเที่ยวต่อ ผมก็เช่นกันรู้สึกว่าวันนี้เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ กรุ๊ปเรายังเก็บที่เที่ยวไม่หมดเลย แต่ก็ต้องตัดใจเพราะเราไม่เหลือเวลาแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เวลาที่จะนั่งกินข้าว เพราะแผนของเราที่ตั้งไว้ คือ ต้องไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องออกซักสองชั่วโมง เผื่อมีอะไรผิดพลาดที่นั่น และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยระหว่างรอขึ้นเครื่อง ค่อยหาอะไรกิน ซึ่งในระหว่างนี้ ถ้าใครหิว ก็แวะมินิมาร์ทซื้อขนมปังกินรองท้องไปก่อนละกัน
ทุกคนตกลง เลทโก้ว.วววว (กลายเป็นประโยคประจำทริปเรียบร้อย โรงเรียนเลสโกวไปแล้ว )
การเดินทางกลับจากการ์เด้นบายเดอะเบย์นั้นง่ายดายมันมีทางเชื่อมต่อ ไปถึงสถานีรถไฟฟ้า ติดกับโรงแรม MarinaBay Sand เราใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงสถานี กรุ๊ปเราเดินทางกลับตามสเต็ปเดิมใช้เวลาราว 45 นาทีก็ถึงโรงแรม
เมื่อติดต่อขอรับกระเป๋าที่ฝากคืนเช็คของครบไม่มีตกหล่น ทางโรงแรมก็มีบริการเรียกแท็กซี่ให้ กรุ๊ปเราขอบคุณทุกอย่างที่พนักงานและโรงแรมบริการเป็นอย่างดีพร้อมบอกว่า มาครั้งหน้าจะมาพักที่นี่อีกเด้อ ครับ (แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกตอนไหน)
เรื่องแท็กซี่นั้นเป็นความตั้งใจของกรุ๊ปเราที่จะเลือกใช้การเดินทางแบบนี้ไปสนามบิน เราตกลงกันว่า...แม้มันจะแพงกว่ารถไฟฟ้าแต่เราอยากนั่งชมเมือง ในเส้นทางที่รถวิ่งผ่านก่อนกลับบ้าน เราเลยยินดีที่จะหารจ่ายค่าแท็กซี่กันเยอะขึ้น
รอไม่นานเท่าไหร่พี่แท็กซี่ก็มาถึงหน้าโรงแรม พอจะกลับจริงๆ ก็ใจหายเหมือนกันนะ “มาแค่3 วันเอง พี่จะอินไปไหนเนี่ย” ผมบอกตัวเองพร้อมกับหันหลังไปสวัสดีพนักงานแบบไทยๆ
ออกมาจากโรงแรม ก็เจอพี่แท็กซี่ที่มีบุคลิกแบบในหนังโจวซิงฉือเลย(แหน่ะ ไม่รู้จักเฮียโจใช่เปล่า) แกลงมาช่วยยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายกรุ๊ปเราอย่างกันเองเมื่อรถเริ่มแล่น ผมที่นั่งข้างคนขับเลยต้องรับบทหนักถามตอบแก เป็นภาษาอังกฤษเยอะหน่อย เล่นเอามือไม้เมื่อยไปหมด แต่ที่ฮาคือพอพี่แกรู้ว่าเราเป็นคนไทย แกก็ร้องเพลงพี่ เบิร์ดออกมาเลย
สบาย สบาย ถืก...จาย กา คบ กาน ไป (ถืก นี่ภาษาขอนแจ่นบ้านผมเลยเด้อพี่)
พอเพลงสบาย สบาย จบลง พี่แกก็ถามกลับมาว่ามาเที่ยวที่นี่ ประทับใจอะไรบ้าง สิงคโปร์มีดีอะไร ผมกับน้องๆ ก็ตอบออกไปนิดๆหน่อยๆตามประสา คนไม่ค่อยถนัดภาษา แต่มีประโยคหนึ่งที่พลาดมากๆ คือผมตอบพี่แกไปว่า.. “ ที่นี่ น้ำเปล่าแพง” พอจบประโยคนี้เท่านั้นแหละ พี่แท็กซี่ก็ทำหน้าประหลาดใจ แกบอกว่า
“ห๊ะ แพงหรอ โนว์ ม่ายนะ สิงคโปร์เป็นเมืองท่าติดทะเลก็จริง แต่น้ำจืดนี่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก (แปลแบบสยามประเทศ) ที่นี่น้ำเปล่าฟรีนะยูสามารถดื่มฟรีตรงจุดบริการตรงไหนก็ได้ ที่เจอ มีบริการตลอด 24 ชั่วโมงเลย “ ซึ่งผมกับน้องๆก็พอจะเข้าใจในความประหลาดใจของพี่แท็กซี่นะ เพราะเรื่องน้ำดื่มที่นี่ช่วงหนึ่งของการเดินทางเที่ยว ผมคุยกับน้องๆ ว่า...ถึงเรารู้ว่าน้ำที่นี่สะอาด แต่เราก็ติดความเคยชินแบบไทยๆไม่ค่อยสนิทใจที่จะดื่มน้ำจากก๊อก เลยขอซื้อน้ำขวดแบบแพงๆ ละกัน
ผมแกล้งตอบพี่แท็กซี่ออกไปว่า “โอ้ว...กรุ๊ปเราหาไม่เจอเลยซื้อน้ำขวดกิน” พี่แกพยักหน้าตอบกลับมาว่า “ช่ายยย น้ำขวดแพง คนสิงคโปร์เค้าไม่กินน้ำขวดเลยนะ เค้าผลิตมาขายชาวต่างชาติเท่านั้น”ผมพยักหน้า แบบไม่รู้จะทำอะไรต่อ เลยคว้ากล้องออกมาถ่ายภาพ เซลฟี่พี่แกร่วมกับน้องๆ เป็นการแก้เขิล
เมื่อกดชัตเตอร์เสร็จ แกยังหันมาบอกทิ้งทายว่า “มาครั้งหน้า ให้ดื่มน้ำก๊อกนะ สะอาด สะบายย สะบายยย “ เราทั้งหมดเลยหัวเราะออกมา
เมื่อเสียงหัวเราะจางหายไป ผมก็มองออกไปที่วิวนอกหน้าต่างดูบ้านเมืองเค้า ใช้สายตาเก็บความประทับใจต่างๆที่มีตรงนี้กลับบ้านให้หมด ตั้งใจว่า หากมีโอกาศต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง
รถวิ่งมาได้ราวยี่สิบนาที ก็ถึงบริเวณสนามบินพี่แท็กซี่พารถวิ่งขึ้นไปส่งถึงเกท ที่สายการบินเราตั้งอยู่เลย กรุ๊ปเราจ่ายตังค์ แล้วขอบคุณพี่แท็กซี่ แกลงจากรถมาช่วยเราขนกระเป๋าออกจากกระโปรงหลัง วางที่รถเข็นจนครับ จากนั้น แกก็หันมาสวัสดีแบบไทยๆ แล้วยกมือ บ๊ายบาย เรา พร้อมกับร้องเพลง
สบาย สบาย ถืกจาย กะ คบ กาน ปาย ก่อนเคลื่อนรถออกไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in