Makers
Store
Log in
You don't have any notification yet.
See All
My Wallet
null
Library
Settings
Logout
เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ
นโยบายความเป็นส่วนตัว
เพื่อใช้บริการเว็บไซต์
ยอมรับ
ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)
–
SnapDiary
Chapter 15/ สูดอากาศ ขาสั่น ที่การ์เด้นบายเดอะเบย์
กรุ๊ปเราหิ้วของ
พะรุงพะรัง
มาถึงสวนแห่งนี้ราวบ่ายโมง ตามเวลาบ้านเค้า
ซึ่
งเลท
กว่าเวลาที่คาดการณ์ไว้ราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราเลยเปลี่ยนแผนว่าจะใช้เวลาที่นี่ตลอดช่วงบ่ายเที่ยวให้ครบ เก็บให้หมด
ทนหิวกันนิดหน่อย ข้าวค่อยกินกันก่อนขึ้นรถไฟ ตอนกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม
ทุกคนตกลง
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจำยอมตกลง
คือ เราต้องหิ้วตะเรงๆของแบบนี้เที่ยวตลอดวันเพราะที่นี่ไม่มีที่ฝากของ (หรือว่ามี เราหาอาจไม่เจอ)
เที่ยวบินเราออกเวลา 20
.30
น. ซึ่งผมคิดว่า...
3
ชั่วโมงน่าจะเก็บหมดทุกสถานที่(แบบรีบๆนิดนึง)
คิวแรกที่จะไปคือ
ฟลาวเวอร์โดม เราเดินตามป้ายชี้บอกไม่นานก็ถึงโดมเรือนกระจก
เราสืบราคาค่าเข้าชมมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ
น้องคนหนึ่งอาสาไปซื้อตั๋วสำหรับคนทั้งหมดในทริปพอตั๋วมา เราก็เข้าชมกันเลย
เมื่อ
เดินเข้าไปในโดมสิ่งแรกที่เจอ คือ น้ำตกขนาดใหญ่ไหลมาจากยอดผาที่ คลุมด้วยหลังคาเรือนกระจก
ในระดับสูงมาก
ผมร้องโอ้ว!!!!
….
ออกมาทันที น้องในกรุ๊ปหัวเราะ
“
ป้าด สูงแถ่ะ
“
ผมอุทานอีกคำออกมา พร้อมกับการสัมผัสได้ถึงละอองน้ำที่กระทบผิวหน้า“
ฮ้า….
สดชื่นเด้
“
ที่นี่คงเป็นโชนป่าดิบชื้นตามรีวิวบอก
(
Cloud Forest
)
เราต่างยืนถ่ายรูป ชื่นชมสูดไอละอองน้ำหน้าน้ำตกจนอิ่มใจ
ในเวลาต่อมากรุ๊ปเราเกิดออการ งงนิดหน่อยว่าจะเดินไปทางไหนต่อ ซ้ายหรือขวาดีนะในที่สุดก็ตัดสินใจเดิน ตามนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกลุ่มหนึ่งไป
(
น้องบอกว่า คนนี้หล่อตามเค้าไปเถอะพี่ )
กรุ๊ปเราเลยเดินตามพี่ฝรั่งเครางามไปเรื่อยๆ เราต่างถ่ายรูปให้แก่กันและกันตลอดทาง
พอเดินไปได้สักพัก เราก็เจอลิฟท์ให้ขึ้นไปชั้นบนสุด
กรุ๊ปเราต้องต่อแถวขึ้นลิฟท์ที่มีนักท่องเที่ยวมาถึงก่อนหน้ารอในแถวยาวประมาณหนึ่ง เราใช้เวลารอซักพักก็ได้ขึ้นลิฟท์ที่มีขนาดใหญ่จุคนได้ราว20 คน
แล้วลิฟท์ก็พาเราก็มาถึงชั้นบนสุด( ยอดผา)
พอออกมาจากลิฟท์ก็เจอกับทางเดินกว้างพอประมาณ
ทอดยาวไปตามแนวหน้าผา รายล้อมด้วยหมู่แมกไม้ป่าดิบชื้น
(
ติดแอร์
)
ผมมองไปที่ทางเดิน มันดูมั่นคงได้มารตฐานความปลอดภัยแน่นอน
แต่ที่ไม่แน่นอนคือใจหวิวๆ ของผมเอง
ที่เริ่มส่งผลให้ขาสั่น
ผมพยายามเก็บอาการ ค่อยๆเดิน หลังสุดหลบน้องในทริปไม่ให้รู้ว่า ผมไม่ค่อยชอบความสูงซักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นผลมีน้องคนหนึ่งหันกลับมา แล้วสังเกตุเห็นถึงอาการแปลกๆ ของผม แต่แทนที่เธอจะเข้ามาช่วยปลอบหรือพูดอะไรสักอย่างให้ผมผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ เธอกลับแกล้งวานให้ผมช่วยถ่ายรูปให้เธอ
“
ถอยอีกพี่ๆ เอาเต็มตัวนะ
“
ผมพยักหน้า ได้ๆ
(
ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่า แกล้งกูเปล่าวะ
)
“
เคร ถ่ายแล้ว พอเนาะ
“
ผมรีบถ่าย ตัดบท รีบให้มันจบๆไป
เหมือนน้องจะรู้ทัน พอมองดูรูปในวิวไฟล์เด้อ เธอก็ร้องบอก”
เดี๋ยวๆ พี่ เอาอีกๆ
“
ผมเริ่มมีอาการหวั่นๆในใจเยอะขึ้น
แถมพี่ฝรั่งหัวทองที่เดินสวนมา นี่ก็ตัวใหญ่น้ำหนักเยอะเหลือเกิ๊นพอแกลงน้ำหนักเท้าที่เหล็กทางเดิน มันดัง ตึ่งๆ ทำให้ใจผมสั่นตามเลย
“
พี่ไม่ต้องซูมเอ้าท์
ภาพมันจะเพี้ยน เดินถอยไกล จะได้สัดส่วน
”
น้องร้องบอกในขณะที่ผมกำลังขยับตัวหามุม ผมคิดในใจ เออๆ รู้แล้วๆ ถอยมาก มันจะชนราวเหล็กกลัวตกโว้ยยยย
“
ถอยอีกพี่ๆ
“
น้องยังร้องบอก
“
เอากว้างๆนะ
”
“เออกว้างอยู่” ผมร้องบอก แล้วถ่ายรูปจนน้องพอใจ
เย้!!!ผมร้องบอกตัวเอง มันผ่านไปได้ ผมเก็บอาการได้ดี
หลังจากนั้นก็แอบผ่อนลมหายใจ พรู่!!!!!ออกมาแล้วเดินต่อไป
จากนั้น
..
ผมก็ค่อยๆ เดินตามทางเดิน(เกาะราวเหล็กตลอด) มันจะพาเราวนลงมาข้างล่างพบกับอีกโซนที่เป็น การแสดงพรรณไม้จากเขตร้อนชื้น แถบเมดิเตอร์เรเนียน
(
Flower Dome
)
มีต้นไม้และดอกไม้จากหลายประเทศให้ชม (
เรียกว่า มาที่นี่ที่เดียว เห็นดอกไม้ต้นไม้ได้แทบจะทั่วประเทศในเขตนี้เลย
)
เดินพอเราเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอกับต้นไม้ดัดขนาดใหญ่ ต้นปาล์มขวด ไผ่
สวนแนวตั้ง ไม้ดอกไม้ประดับ
แล้วก็ สวนจิ๋วที่อยู่บนพื้น พอถึงโซนนี้ผมคิดในใจว่า ฮึ้ม
…
มาเล้ยๆ พอเป็นสวนแนวราบ ภาคพื้นดินแบบนี้ข้อยบ่ยั้นจ้า จะให้ถอยไกลแค่ไหนได้เลย
ผมเลยหันไปหาน้องคนเดิมที่วานให้ถ่ายรูปข้างบนเมื่อกี้
“
มะ ถ่ายรูปมั้ย เอามุมกว้าง ไกลเท่าไหร่ก็ได้ พี่จะถอยไปถึงประตูทางออกยังได้เลย ถ่ายมะๆ “
น้องหันมายิ้มแล้วตอบกลับมาว่า
“
ม่ายอ่ะ ถ่ายข้างบนได้ภาพสวยแล้วข้างล่างคนเยอะ เดี๋ยวติดเข้ามาในเฟรม ไม่สวยๆ “
พอได้ยินคำตอบ ผมเริ่มแน่ใจแล้วล่ะเมื่อกี้ แกล้งชัวร์
กรุ๊ปเรานั่งพักเหนื่อยตรงม้านั่งที่เค้าจัดไว้ให้แอร์เย็น จากการควบคุมอุณหภูมิ ทำให้เราทั้งหมดผ่อนคลายหายเหนื่อย
จนน้องในกรุ๊ปคนหนึ่งเผลอหลับไป
ผมมองดูนาฬิกา มันจวนจะหมดเวลาที่คาดไว้เลยต้องปลุกน้องให้ไปต่อ
กรุ๊ปเราออกมาจากโดมเรือนกระจกมุ่งหน้าสู่
Supertrees
กลุ่มต้นไม้ยักษ์
ซึ่งทุกสำนักรีวิว บอกว่าต้องมาตอนกลางคืน เราจะได้ชมไฟที่ประดับไว้อย่างสวยงาม ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
บางคนบอกว่ามาที่นี่เหมือนหลุดเข้าไปในหนัง อวตารเลยทีเดียว
แต่กรุ๊ปเราวางโปรแกรมพลาดนิดหน่อย
(
หรอ!!!
)
เลยมีเวลามายลโฉมที่นี่ตอนกลางวัน
“ ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้มากลางคืนดูไฟ เดี๋ยวตีตั๋วขึ้นไปเดินบนทางเดินลอยฟ้ากันเนาะ” น้องคนนึงพูดขึ้นมา (
OCBC Skyway
เป็นทางเดิน
ที่เชื่อมซุปเปอร์ทรีส์ยักษ์สองต้นเข้าไว้ด้วยกัน
) สิ้นเสียงทางเดินลอยฟ้า ผมคิดในใจเมื่อกี้ยังจะไม่ไหวเลย นี่เดินลอยฟ้าท้าลมข้างนอกเลยหรอเนี่ย แง ทำไงดีรอข้างล่างได้มั้ยวะ
ในขณะที่เดินทางไปยังกลุ่ม
ซุปเปอร์ทรีส์ ผมพยายามคิดวิธีปฏิเสธ
ที่จะไม่ขึ้นไปข้างบนนั่นคิดในใจมาตลอด “ ทางเดินลอยฟ้าลอยเฟ้ออะไร ไม่สนแล้วเว้ย...”
พอกรุ๊ปเราเดินมาถึงกลุ่มซุบเปอร์ทรีส์ ผมแหงนหน้าขึ้นไปดู
“ โอ้ว...ม่ายนะ สูงแท้ “ ขาผมเริ่มอ่อนแรงตั้งแต่ตอนยืนอยู่ตรงนี้แล้ว
ซึ่งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ผมตัดสินใจเอ๋ยขึ้นมา “พี่รออยู่ข้างล่างนะ “น้องทุกคนหันมาทางผมด้วยอาการ งง ปนประหลาดใจ
“ทำไมอ่ะพี่ “ น้องคนหนึ่งถามขึ้นมา
“เหนื่อยอ่ะ เสียดายตังค์ด้วย
ขึ้นไปก็ไม่สนุก เดี๋ยวรอถ่ายรูปให้ข้างล่างนะ “ผมตอบกลับไป น้องคนเดิมคนที่ให้ผมถ่ายรูปให้บนหน้าผาป่าดิบชื้นนั่น แหย่กลับมา “ แหน่ กลัวความสูงอ่ะดิ “ผมสายหน้าปฎิเสธ “ โนว
.
ววเหนื่อยเฉยๆ ไม่กลัวหรอก”
น้องอีกคนเลยสัมทับว่า...“ งั้นนั่งพักก่อน รอพี่หายเหนื่อย ค่อยขึ้นไปด้วยกัน “ เอ้า กดดันกุอีก ทำไงดียอมรับตรงๆเลยมั้ยว่ากลัว
อีกใจหนึ่งก็คิดแย้ง ไม่ๆ เดี๋ยวเสียฟรอม์
ในขณะที่กำลังคิดแย้งสลับไปมาในใจ
น้องรูมเมทเลยปล่อยหมัดเด็ด “ โห พี่อุตสาห์มาไม่ขึ้นไปนี่ เสียเลยนะ ขึ้นไปเลย จะได้เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟัง “ ไม่ๆกุไม่อยากมีลูกมีหลายให้เล่าตอนนี้ละ กุอยากกลับบ้าน
ในที่สุดผมก็ต้องขึ้นไปตามน้องๆ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ผมรอข้างล่าง ผมเดินตามน้องๆไป
พลางคิดปลอบตัวเอง “ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองเราต้องชนะมันให้ได้” (ยืมมาจากแคมเปนโฆษณาชิ้นนึง)
พอกรุ๊ปเราก้าวออกจากลิฟท์แล้วเดินมาที่
สกายเวย์
เท่านั้น แหละ โอ้ว...แม่เจ้าทางเดินพี่จะอแวนเจอร์ไปไหน มันเล็กมาก แถมด้านข้างเป็นตระแกรงเหล็กให้ลมพัดผ่านเข้าหว่างขาได้สบาย ผมมองไป เห็นคนคนเดินสวนกันเยอะแยะไปหมด ภาพ
สกายวอค์
ทำให้ผมเข่าอ่อนนั่งลงพี่พื้นแบบไร้ฟรอม
ทำไงดี กลับลงไปดีมั้ย
ฮื้อ....
น้องคนเดิมคนที่ให้ผมถ่ายรูปให้ พอเห็นภาพผมนั่งเข่าทรุด มีถุงหมูแผ่นสีส้ม กับถุงกระเป๋าแบรน์เนมอีกสองถุง วางกองอยู่ข้างตัว
เลยเดินเข้ามาหา น้องกึ่งขำ กึ่งเห็นใจ บอกว่า“พี่กลัวจริงๆ ใช่มั้ย “ ผมพยักหน้า ยอมรับแบบจำนน สิ้นลาย นักศึกษา รด. ที่เคยฝึกฝนมา
น้องในกรุ๊ปทั้งหมดเลยเดินกลับมาหาผมต่างคนต่างช่วยกันถือถุงที่ผมชอปมาให้
ผมซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องถืออะไรในมือลุงขึ้นเดินเกาะราวเหล็ก
สกายเวย์
พาตัวเองไปข้างหน้าเรื่อยๆทางที่มันไกลอยู่แล้ว มันยิ่งไกลขึ้นอีก เมื่อเรากลัวและไม่แน่ใจกลับมัน
น้องๆถ่ายรูปไป หันมาดูผมเรื่อยๆ ผมยิ้มแล้วยกมือบอกว่า “ไม่เป็นไรๆ พี่ไหวอยู่ “ เวลาค่อยเดินผ่านไปผมค่อยๆเกาะราวเหล็กเดินมาถึงช่วงกลางสะพาน ความกลัวมันกลับค่อยๆ จางไป(แต่ยังกลัวอยู่นะ ) ผมสูดหายใจลึก เดินไปเรื่อยๆระหว่างนั้นก็ได้เรียนรู้ใจตัวเองหลายอย่าง เออ มันเป็นเหมือนในหนังบอกไว้เลยนะ “ เราไม่มีวันรู้ความหมายที่แท้จริงของสิ่งสิ่งนั้นเลยถ้าเราไม่ลองก้าวผ่านมันมา “
เดินมาอีกไม่เท่าไหร่มองเห็นฝรั่งคนสุดท้ายเดินสวนผมไป ระยะห่างจากน้องๆนาทีนี้เหมือนผมยืนอยู่คนเดียวบนสะพานเมื่อความกลัวน้อยลง
ผมลองยืนพิจารณาตัวเอง ส่งสายตาไปด้านล่างที่เมื่อตะกี้หวิวใจว่ามันสูงลองทดสอบตัวเอง ปล่อยมือจากราวเหล็ก คว้ามือถือในกระเป๋า ตั้งใจจะถ่ายรูปเก็บไว้ดู แม้กล้องจะสั่น ภาพจะไหว
แต่การกดช็ตเตอร์ครั้งนี้ก็ได้เห็นใจตัวเอง
เออ...เน๊อะ ไม่น่ากลัวเท่าไหร่แล้วว่ะ ผมบอกตัวเองแล้วก้าวไปข้างหน้า ตามหาน้องๆ ที่ล่วงหน้าไปหลายเมตรแล้ว...
#เล่าเรื่องเที่ยว
#เที่ยวสิงคโปร์
#ซุปเปอร์ทรี
#การ์เด้นท์บายเดอะเบย์
#สิงคโปร์เมื่อปี2015
SnapDiary
Report
Views
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)
–
SnapDiary
View Story
subscribe
Previous
Next
Comments
()
Facebook
(
0
)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in
ยืนยันการซื้อ ?
เหรียญที่มีตอนนี้: null
มีเหรียญไม่พอซื้อแล้ว เติมเหรียญกันหน่อย
เหรียญที่มีตอนนี้ : null
Please Wait ...
ซื้อเหรียญเรียบร้อย
เลือกแพ็คเกจเติมเหรียญ
เลือกวิธีการชำระเงิน
Credit Card
Cash @Counter
Line Pay
ระบบจะนำคุณไปสู่หน้าจ่ายเงินของผู้ให้บริการ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in