เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter 18 บทส่งท้าย (กลับบ้าน ด้วยอารมณ์ที่อยากกลับไปอีก)
  • กรุ๊ปเราลงมาจากเครื่องด้วยอาการงัวเงีย ก้าวตามกันมา...ตามทางเดินแบบใช้วิชาตัวเบาล่องลอยสลืมสลือ จนถึงที่รับกระเป๋า 

    มคิดว่า...คงเพราะเราใช้แรงเที่ยวกันช่วงกลางวันอย่างเต็มที่ กินข้าวที่สนามบินกันจนอิ่ม วิ่งๆ เดินๆ ที่ดิ้วตรีฟรีกันจนเพลิน กรุ๊ปเราจึงหมดแรงหลับสนิทตั้งแต่เครื่องออกจนถึงดอนเมือง

    ทั้งหมดในกรุ๊ปนั่งลงรอรับกระเป๋าร่วมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ในที่นั่งที่มีแบบจำกัด บางคนหลับต่อ บางคนพยายามเปลี่ยนซิมมือถือ บางคนนั่งนิ่ง หาวออกมาบ่อยๆ  จากนั้นมันก็เกิดเดทแอร์หลายสิบนาทีเลยล่ะ เพราะกระเป๋ายังไม่ไหลมาซักที

    ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กระเป๋าใบแรก ก็ปรากฎตัวบนราง (เย้!!!! )

    เมื่อเราได้รับกระเป๋ากันจนครบ(รอนานมากโว้ยยยยย) เราก็เดินออกมาที่จุดเรียกรถแท็กซี่ช่วงปลายปี 2015 บ้านเราเพิ่งย้าย ผู้โดยสารบางส่วนกลับมาที่ดอนเมือง(จากที่บังคับให้ไปสุวรรณภูมิทั้งหมดไม่สำเร็จ)  อะไรหลายๆอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทางรวมทั้งระบบการเรียกแท็กซี่ที่ยังติดขัดหลายอย่าง ผู้โดยสารทุกเที่ยวบิน จึงไหลมากองรวมกันที่จุดเรียกแท็กซี่ผมประมาณการด้วยสายตาคร่าวๆ ก็ราว100 กว่าคนในเวลาที่ไม่ดึกมาก( ประมาณ 22.00 น เศษๆ ) ซึ่งก็แน่นอน ว่าเรารอรถนานมากนานจนลุ้นว่าจะทันเที่ยวรถรอบ 24.00 น ของนครชัยแอร์ที่จองไว้กลับขอนแก่นหรือเปล่า

    ทุกคนในกรุ๊ปทั้งง่วงทั้งหงุดหงิด ทั้งบ่น ผมก็เช่นกัน ไม่แปลกเลยถ้าช่วงเวลานี้ เราจะกลับไปคิดถึงประเทศที่เพิ่งไปเที่ยวกลับมาเที่ยบแล้วระบบทุกอย่างบ้านเรายังตามหลังเค้าเยอะเหมือนกัน   (ไม่เอา ไม่ว่าบ้านเราเน๊อะ )

    ราวสามสิบนาทีหลังจากทุกคนบ่นจนเหนื่อย  เราก็ได้ขึ้นแท็กซี่มาที่นครชัยแอร์  ระหว่างทาง ผมคุยกับพี่แท็กซี่บ่นถึงเรื่องการรอรถนาน พี่แท็กซี่ก็เลยถือโอกาศบ่นในมุมของพี่เค้าแลกกันซึ่งก็จบลงด้วยการ เห็นอกเห็นใจกัน เราทำอะไรมากไม่ได้ไปกว่านี้แล้วล่ะ (ปัจจุบัน ระบบลงตัวแล้วนะครับดอนเมืองนั้น เริ่ดดเลยล่ะ  เฮ้!!! )
     
    พี่แท็กซี่ใช้เวลาไม่นานกรุ๊ปเราก็มาถึงสถานีนครชัยแอร์ ที่กำแพงเพชร 2 ผมมองเวลาที่นาฬิกา  พบว่าเฮ้ย!!! ดูเวลาผิดมาตลอดเลยเว้ยยย  ดันไปดูเวลาสิงคโปร์(ลืมปรับโหมด) ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งความผิดพลาดนี้ มีความดีใจของคนในกรุ๊ปอยู่ในระดับหนึ่งคือ ทุกคนมีเวลาเข้าเซเว่น หาอะไรกินกันก่อนขึ้นรถทัวร์ เกือบตั้งชัวโมง

    เย้!!!!ทุกคนเดินเข้าเซเว่น เราต่างจัดของกิน ขนม นม เนย แบบชุดใหญ่ไฟกระพริบมาแบ่งกันกิน   ในระหว่างที่ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างอร่อย ผมแอบมองภาพน้องๆตรงหน้าและยิ้มให้กับภาพนี้  นี่ถ้าเป็นในหนังเฟรมนี้สวยมาก มันแฟลชแบล็กกลับไปซ้อนทับกับเฟรมแรกที่เราเพิ่งไปถึงสนามบินซางฮีเมื่อสองวันที่แล้วแบบพอดีเป๊ะ

    หลังจากนี้เราจะมีความทรงจำร่วมกันว่า.... ครั้งหนึ่งเราเคยเที่ยวด้วยกันที่ต่างแดนได้หลงทาง งง เหนื่อย  แกล้งกัน นอยส์สนุกสนานร่วมกัน

    ผมบอกน้องๆว่ากลับไปขอนแก่น จะเขียนรีวิวออกมาให้อ่านกันเล่นๆนะ จากที่โน้ตไว้ระหว่างเดินทางมันน่าจะมีเรื่องเล่าไม่ต่ำกว่าสิบตอน น้องๆ ยิ้มแล้วบอกว่า จะรออ่านซึ่งถึงเวลานี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า….มันผ่านมาตั้ง 3 ปีแล้ว ผมเพิ่งจะเขียนบทสุดท้ายของเรื่องนี้จบลง ในร้านกาแฟ กลางเดือนแห่งความรัก ในปี 2019 ( แฮร่..)

    ตลอดเวลาที่เขียนเรื่องนี้วันเวลาที่เดินผ่าน การงานที่พรากเราออกจากความฝันเดินทางท่องเที่ยว(รวมถึงเงินในบัญชีด้วย)มันบอกว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้อาจไม่เหมือนเมื่อวาน   ผมยังจำช่วงเวลาของค่ำคืนหนึ่งที่สิงค์โปร์ได้ น้องคนหนึ่งบอกว่าเดี๋ยวปีหน้าเราไปญี่ปุ่นกันเนาะ เราต่างพยักหน้าตอบตกลงผ่านไปสามปี น้องๆ ทุกคนเรียนจบ แยกย้ายกันไปทำงาน เราไม่ได้ไปญี่ปุ่น และก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาเที่ยวด้วยกันหรือเปล่า

    แต่ในความไม่แน่นอนนั้นมันกลับบอกผมอีกครั้งว่า….ไม่ว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปยังไง ช่วงเวลาที่เราใช้และผ่านมาด้วยกันมันจะเหมือนเดิมเสมอ….
     
    แล้วพบกันใหม่....


    โน้ตส่งท้าย

    ตอนกรุ๊ปเราไปเที่ยวสิงคโปร์เมื่อปลายปี 2015 เกิดหมอกควันไฟ จากอินโดนีเซียเข้าปกคลุมท้องฟ้าในสิงคโปร์ ทำให้เราถ่ายรูปได้ไม่สวยตรงใจนัก ในวันนี้ ปี2019ตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้จบขอนแก่นถูกกลุ่มควันพิษ PM2.5 ปกคลุมในระดับสีส้ม (มีผลต่อสุขภาพ) บังเอิญเนาะ

    ปัจจุบันที่สิงค์โปร์สายการบินแอร์เอเชีย ย้ายมาที่เทอร์มินอลใหม่ เกือบทุกขั้นตอนทำผ่า ระบบมือถือ และหน้าจอคอมด้วยตนเองแล้ว....แทบจะไม่มีพนักงานหน้าเคาท์เตอร์เลย คิดถึงพนักงานแอร์เอเชียที่นิ่งเฉยใส่ผมจังเลย(อ่านตอน17นะ)

    ปัจจุบันของแบรน์เนมที่เขียนถึง   ที่แย่งชิงมา  มีขายในขอนแก่น ราคาเท่ากับที่โน่นแล้ว หาง่าย จ่ายคล่องเฮ้อ
    ทุกครั้งที่กลัวเรื่องบางเรื่องผมจะหยิบรูปถ่ายที่ตัวเองถ่ายบนสะพานมาดูทุกทีมันช่วยได้จริงๆ นะ (ต้องอ่านตอนที่ 16 เด้อค่อยเข้าใจเรื่องนี้ )

    ผมยังจำภาพที่ตัวเองมองลงไปที่นั่งรอขึ้นเครื่องที่ซางฮีได้ดีและที่บอกกลับความว่างเปล่าไปว่า….มีโอกาสจะกลับไปอีกนะปลายปีนี้ผมจะทำตามสัญญา  ผมจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง  ครั้งนี้ไปคนเดียว  เรื่องที่เล่าคงเปลี่ยนไป
     
    สวัสดี (เขียนจบปี 2019 แต่โฟสต์งานเขียนจบปี 2023 )


      

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in