หลังจากการรักษาอาการป่วยใจของเรามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า
เราก็ได้ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตและประสาทโดยเฉพาะ
(ต้องเข้าใจก่อนว่า นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลบ้า)
เนื่องจากหมอที่รักษาเราอยู่นั้นเห็นว่าเราไม่สามารถตอบสนองต่อการรักษาของเค้าได้
จึงได้ส่งตัวเราไปหาแพทย์เฉพาะทางแทน
ตอนเราได้ยินชื่อโรงพยาบาลครั้งแรก เราตื่นตระหนก เพราะคิดจริง ๆ ว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาลบ้า
กลับมาคิดทบทวนตัวเอง คาดคั้นตัวเอง ว่าเราเป็นอะไร เป็นโรคจิตเหรอ ? เป็นบ้าเหรอ ?
แต่การทำแบบนั้นกับตัวเอง ไม่ทำให้เราได้ประโยชน์อะไรเลย
มิหนำซ้ำยังเพิ่มความเครียดและความกดดันให้มีมากขึ้นไปอีก
และในที่สุดเราก็ไปถึงโรงพยาบาลแห่งนั้น ..
... เรามาผิดที่ป่ะวะ ... นี่ใช่โรงบาลที่หมอบอกป่ะวะ ...
หากคุณเคยดูหนังหรือละครที่ชอบทำเกี่ยวกับวอร์ดคนไข้จิตเภท
ที่จะต้องเงียบ ๆ หม่น ๆ พยาบาลดุ ๆ มีโถงทางเดินหลอน ๆ
ลืมมันไปให้หมด !!
เห้ยแกรรร (ขออนุญาตวิบัติ) มันไม่น่ากลัวเลย แบบว่าผมนี่งงไปเลยครับ
เจ้าหน้าที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พยาบาลทั้งหลายบริการด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีความเครียด ไม่มีความมืด ไม่มีความหลอน .. (สัส กูโดนหนังหลอกมาตลอด !!)
เราเข้ารับการบริการทุกอย่างด้วยความสบายใจ
จากการสังเกต คนไข้ของที่นี่มีทุกประเภท
วัยรุ่น ชายหญิง คนวัยทำงาน คนท้อง ตำรวจ หรือแม้กระทั่งพระ !!!
(คราวนี้ใครบอกให้เราไปนั่งสมาธิเวลาเราสติแตกเราจะลากมันมาดูนี่)
แล้วเราก็สอบถามเจ้าหน้าที่ไปเรื่อยตามภาษาคนอยากรู้อยากเห็น และเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน
ปรากฏว่าที่นี่ไม่ได้รับรักษาแค่คนมีอาการทางจิตอย่างเดียว แต่ยังรับรักษาคนมีอาการทางประสาทด้วย
เช่น ความจำเสื่อม พาร์กินสัน ปวดหัวไม่หาย หรือแม้แต่คนที่เครียดจัดนอนไม่หลับก็มารักษาที่นี่ได้
มาถึงที่นี่เค้าจะให้เราพูดคุยบอกเล่าอาการกับเจ้าหน้าที่หลายส่วนมาก ทั้งพยาบาลสังเกตอาการ
นักสังคมสงเคราะห์ จนกระทั่งไปถึงแพทย์ในลำดับสุดท้าย
แม้แต่แพทย์ที่ต้องพูดคุยและพบเจอกับคนไข้จำนวนมาก ๆ ในแต่ละวัน
เค้าก็ยังยิ้มให้คนไข้ทุกคนราวกับว่าเป็นเพื่อนของพวกเขา
นั่นทำให้เราเบาใจขึ้นมาก เหมือนกับว่า เราเจอที่ของเราแล้ว ตรงนี้ ที่นี่
เราไม่ต้องไปทุกข์ทนในโรงพยาบาลที่มีตั้งแต่คนป่วยใกล้ตายยันคนเป็นไข้หวัด ..
เหมือนได้อยู่ใน Safe Zone
เราเล่าเรื่องราวของตนเองในเจ้าหน้าที่ในทุกขั้นตอนฟัง ตั้งแต่เริ่มเครียดใหม่ ๆ เรื่องเล็กเรื่องน้อย ทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ จนไปถึงอาการสติแตก ควบคุมตนเองไม่ได้ การทำร้ายร่างการ จนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องถูกส่งตัวมาที่นี่คือความพยายามที่จะฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น
เราพบว่าการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เราได้สำรวจตนเอง และเรียนรู้ตนเอง
สำรวจสิ่งที่ทำให้ตนเองกลายมาเป็นแบบนี้ อะไรทำให้เรารู้สึกอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์หรือผู้คน
สำรวจเหตุการณ์เสี่ยงที่จะพาให้เราทรุดหนักลง
เรียนรู้ว่าขณะนั้นตัวเองรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร
เรียนรู้วิธีการพาตัวเองออกจากสถานการณ์หรือผู้คนที่ทำให้เราย่ำแย่
และที่สำคัญที่สุด ..
เรียนรู้รสชาติของชีวิต ว่าบางครั้งเราไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการ เราไม่สำเร็จทุกอย่างตามที่เราคาดหวัง ไม่ใช่ทุกคนที่หวังดีกับเรา และทุกความผิดนั้นไม่ได้เกิดจากเราคนเดียว :)
เราว่าขั้นตอนการสำรวจและเรียนรู้ตัวเองนี่แหละ ที่จะช่วยยับยั้งเราจากภาวะ Depression ได้
เราเริ่มทำแบบนี้มาสักระยะหนึ่ง แล้วเราพบว่าตัวเองมีสติมากขึ้นแบบมาก ๆ สามารถอยู่กับตัวเองได้อย่างไม่ทุกข์ทนเท่าไรนัก ถึงแม้บางครั้งการทำแบบนี้จะยากมาก แต่เราเชื่อว่าความพยายามจะต้องมีหลงเหลืออยู่ในจิตใจของทุกคนอย่างแน่นอน
ขั้นตอนต่อมาคือการเข้าใจผู้อื่น นี่เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ พยาบาล และคุณหมอเองย้ำกับเรานักหนา
ว่า ทุกการกระทำของผู้อื่น ถึงแม้บางครั้งจะทำให้เราเป็นทุกข์ใจ บางสถานการณ์อาจทำให้เราไม่สบายใจนัก แต่การเข้าใจว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมัน ช่วยให้เราจัดการความคิดแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เยอะขึ้น เราไม่ได้เศร้าและทุกข์ทนอยู่คนเดียว คนอื่นก็เศร้าและทุกข์ทนเช่นกัน
การทำความเข้าใจนั้นทำให้เราสามารถวางเฉยกับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้
เราไม่ต้องไปเข้าใจหรอกว่า เค้าทำแบบนั้นแบบนี้ทำไม ทำไมเค้าไม่ทำแบบนั้น มันมากเกินไป
เราแค่เข้าใจ และมองให้เห็นก็พอว่า ที่เค้าทำแบบนั้นก็เพราะเค้ามีเหตุผลที่ต้องทำ ก็พอแล้ว
อย่างรูป COVER ที่เราขึ้นไป มาจากภาพยนตร์ Mary is happy, Mary is happy.
'ชีวิตคนเราแม่งมั่วสัด'
นี่แหละที่เราต้องเรียนรู้และเข้าใจ
คนที่ป่วยอย่างเราชีวิตก็อาจจะมั่วสัดมากหน่อยจนบางทีก็หาทางออกไม่เจอ
มั่วสัดจนบางทีความตายอาจจะเป็นทางออกที่ง่ายกว่า
แต่ .. ชีวิตของคนอื่นที่เค้าไม่ได้ป่วยแบบเรา เค้าก็มีบางช่วงเวลาที่มั่วสัดเหมือนกันนะ
เพราะฉะนั้น เข้าใจกันมาก ๆ นะ :D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in