15
เรื่องรักทุกเรื่องล้วนเริ่มต้นที่การพบพานกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงเขียนเนื้อความทำนองนี้เป็นประโยคเปิดเรื่องได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ในเมื่อตอนนี้หัวใจหนุ่มน้อยที่แอบอ่านการ์ตูนตาหวานของญาติสาวได้กลายเป็นหัวใจหินที่มีตะไคร่ขึ้นเขียวครึ้มไปแล้ว ผมถึงตกตะกอนว่าการเจอกันมันก็งั้น ๆ นั่นแหละ ในช่วงยี่สิบปีแรกของชีวิต เราพบปะผู้คนไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ได้ผูกสัมพันธ์ หายหน้า ลาจาก กลายเป็นตัวเลขที่ระบบเรียกว่าเพื่อนบนหน้าจอ กลายเป็นชื่อเปล่า ๆ ไร้เรื่องราวในรายนามติดต่อบนโทรศัพท์ สุดท้ายแล้ว ชั่วชีวิตนี้ คนที่เรารักได้อาจมีอยู่แค่คนเดียวด้วยซ้ำ และเพราะว่ารักตามมาทีหลังนี่เอง เราถึงสามารถหวนระลึกถึงมันราวกับเป็นโมงยามเปลี่ยนชีวิตได้ไม่รู้เบื่อ เหมือนคุณยายร้านชำที่จู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่าตาแก่ข้างตัวเคยน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้อย่างกับเพิ่งไปเดตกันมาเมื่อวาน แม้ว่าเนื้อแท้ของเหตุการณ์ไม่ได้มหัศจรรย์พันลึกอะไร แต่ความทรงจำของคนมีความรักมักจะหวานอมเปรี้ยวมากกว่าคนทั่วไปเวลากินส้มอยู่แล้ว
ผมเปรยทฤษฎีที่ว่า “เพราะรักน่ะสิ ถึงจำได้” ให้หมอนั่นฟัง ทว่าเขากลับทำเสียงครุ่นคิดในคอเหมือนไม่ยักเชื่อ ก่อนจะพูดไปพับผ้าไปทั้งสีหน้ายิ้ม ๆ ว่า “แต่ถ้าอยู่ด้วยกันมานานจนจำไม่ได้แล้วว่าเจอกันยังไง แบบนั้นไม่โรแมนติกกว่าเหรอ” ฟังดูแล้วเหมือนคำแก้ตัวมากกว่าคำโต้แย้ง พอโดนจับได้ว่าพูดถึงตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือนั่น เขาก็หัวเราะแหะ ๆ หน้าซื่อตาใสชนิดที่ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจพองโตคับอกจนอยากจะร้องไห้ออกมา นั่นแหละพลังวิเศษของเขา ทำเอาผมจนใจว่าช่างเถอะ เรื่องพรรค์นั้นเอาไว้หลอกคนอื่นว่าเป็นนิยายก็ได้
(เรื่องที่ว่าตอนเราอายุสิบห้า ณ บ่ายวันศุกร์ชั่วโมงสุดท้ายในคาบชมรม ผมเงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องอย่างจัง จากนั้นก็ได้สบตากับคุณ เพื่อนร่วมชั้นปีที่แค่พอคุ้นหน้าแต่ไม่เคยพูดจากัน ทั้งที่คุณออกจะหน้าตาดีอย่างกับพระเอกการ์ตูน ท่าทางก็ดูเรียบร้อยแบบที่อาจารย์จะรักใคร่ แถมเสื้อนักเรียนยังดูสะอาดเหมือนใหม่ตลอดเวลา ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมคนแบบนี้ถึงโผล่มาชมรมวรรณศิลป์ตอนต้นเทอมได้ มิหนำซ้ำสายตาที่คุณจ้องมองมานั้นยังเอาเรื่องจนผมต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าหนี ถ้อยคำที่ปลายปากกาเตรียมจรดลงบนสมุดกระเด็นหายไปพร้อมขวัญที่กระเจิง ถึงกระนั้นคุณก็ไม่ลดราวาศอกแต่อย่างใด นัยน์ตาที่ผมจะรู้ภายหลังว่าเจือสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมองผมเหมือนเป็นของจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่มีป้ายกำกับเป็นภาษาที่อ่านไม่เข้าใจก็ไม่ปาน
“นายเป็นคนเขียนเรื่องนี้ใช่หรือเปล่า”
น้ำเสียงแฝงความลังเล ดังกว่ากระซิบแค่เล็กน้อย แต่ว่าไพเราะเกินคาด คุณพูดชื่อนิยายที่ผมเขียนลงในเว็บบอร์ดของชมรมซึ่งร้อยวันพันปีมีแต่สมาชิกหน้าเก่าวนเวียนเข้ามาใช้งาน ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกเวลามีคนอื่นเอ่ยถึงเรื่องฝันเฟื่องที่เราหลงคิดว่ามีตัวเองรู้อยู่คนเดียว เทียบกับวิถีของชมรมที่ไม่พึ่งพาคำพูด แต่อ่านเป็นอักษร เขียนเป็นอักษรแล้ว นี่แทบจะเป็นการเขย่าตัวให้ตื่นแล้วยืนยันว่านี่คือความเป็นจริงเลยทีเดียว
ผมตอบว่าใช่ด้วยคำว่า “อือ” แล้วสีหน้าของคุณก็แจ่มใสเหมือนมีใครเปิดไฟต้นคริสต์มาส ขณะนั้นเดือนธันวาคมยังดูห่างไกล ส่วนนี่ก็เป็นอุปมาอุปไมยที่โหลยโท่ยของเด็กมัธยมสาม แต่มันเป็นความรู้สึกแรกในหลาย ๆ ความรู้สึกแรกที่ผมจะได้เรียนรู้หลังจากนั้น จากคุณ กับคุณ เฉิ่มเชย ทว่าจริงแท้แน่นอน
“เขียนเก่งจัง อย่างกับนักเขียนมืออาชีพเลย” ปลายนิ้วของคุณแตะขอบสมุดที่กางอยู่บนโต๊ะ “ลายมือสวยด้วย โอ๊ะ นี่เขียนเรื่องไว้ในนี้เลยเหรอ”
“อ่า อืม”
เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ ถึงคุณจะทำเป็นจำไม่ได้ก็เถอะ)
30
สิบห้าปีต่อมา นานเท่าอายุตอนเรารู้จักกันจริงจังครั้งแรก ผมไม่ได้เขียนหนังสืออย่างที่เขาเคยว่าสนุกอีกแล้ว อันที่จริงผมไม่ใช่นักเขียนอาชีพอย่างที่วางท่าว่าจะเป็น ไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันราวกับจะเป็นจะตายอย่างตอนนั้นแล้วด้วย อย่างมากตอนนี้ก็แค่นอนลืมตาโพลงมองเพดาน นาน ๆ ครั้งถ้อยคำจะมาเยี่ยมเยือนบ้าง แต่ไม่ให้คว้าจับ ทำทีเป็นลับหายไปอยู่หลังเปลือกตาที่หนักอึ้งด้วยความเกียจคร้าน พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่หลงเหลือสิ่งใด หัวสมองว่างเปล่า เหมือนความฝันยามเช้าที่ระเหยหายไปพร้อมน้ำค้างบนยอดหญ้าอย่างไรอย่างนั้น แรก ๆ เรื่องนี้ทำเอาผมทุรนทุรายอยู่ในใจ จนกระทั่งวันหนึ่งโดนสวมกอดจากข้างหลัง เสียงอู้อี้ของหมอนั่นเอ่ยถามว่าทำไมหมู่นี้ผมถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่เรื่อย ผมถึงได้ตระหนักว่า อา อาการหนักแล้วสินะเรา
เขาใช้ดวงตากลมโตคู่เดิมจ้องมองมาเหมือนไม่เข้าใจ ใบหน้านั้นยังคงเป็นใบหน้างดงามที่คู่ควรให้ผมอุทิศหนังสือที่ไม่มีอยู่จริงให้ แม้ผมสั้นทรงนักเรียนจะเปลี่ยนมายาวประบ่าจนต้องรวบไว้หลวม ๆ ในวันที่ร้อนอบอ้าว แต่กลิ่นสบู่สะอาดที่ผมเคยล้อว่าเป็นส่วนหนึ่งของกายเนื้อเขาได้พาผมกลับไปยังห้องชมรมแห่งนั้น ยามที่เขาโน้มตัวลงมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเพื่อแอบดูว่าผมกำลังเขียนอะไร ในเมื่อตอนนี้ผมไม่มีถ้อยคำมาวางเรียงไว้ตรงหน้า เขาจึงพยายามพลิกเปิดหัวใจที่อ่อนบางเหมือนกระดาษของผมไม่ให้ขาด ด้วยความอ่อนโยนของนักอ่านที่รู้จักหนังสือเก่าคร่ำคร่าเล่มนี้ดี
ทำนบกั้นอารมณ์ของผม แค่สะกิดเบา ๆ ก็ถล่มล่มสลาย เรื่องที่เขียนอะไรไม่ได้เป็นเพียงความสิ้นหวังหนึ่งในห้วงความสิ้นหวังที่ลึกล้ำกว่า ทั้งความฝันที่สูญหาย โอกาสที่ตายจาก ตัวเลขในบัญชีธนาคาร วันวานอันรุ่งโรจน์ และอนาคตที่ไม่เคยไกลเกินวันพรุ่งนี้ ผมสะอึกสะอื้นเหมือนหลานชายวัยสองขวบเวลาเปิดขวดน้ำเองไม่ได้แล้วไม่ยอมให้ใครช่วย พลางคิดว่าตัวเองเป็นคนน่าเวทนาที่โชคดีที่สุดในโลก โตจนป่านนี้แล้วร้องไห้ขี้มูกโป่งก็ยังมีคนเต็มใจโอบกอดไว้ คนที่ใจดี มีการมีงานทำ แถมยังพึ่งพาได้ ฝ่ามือที่อุ่นจนร้อนของเขาตบหลังผมปุ ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่เอ่ยคำใด หลังจากปล่อยให้ผมร้องไห้จนพอใจและเสื้อยืดที่ใส่เปื้อนน้ำตาเป็นดวง เขาก็เดินไปหยิบทิชชูแล้วรินชามะนาวเย็นมาให้เหมือนเป็นกิจวัตรสามัญธรรมดา
“นี่ จำได้ไหมว่าเคยพูดอะไรไว้”
เขาเท้าคางมองยิ้ม ๆ จากอีกฝั่งโต๊ะกินข้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สีหน้าของคนคนนี้ก็ระรื่นดุจน้ำใสไหลเย็น บ่อยครั้งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ บ่อยครั้งกว่าคืออิจฉา แต่บ่อยที่สุดคือสบายใจว่าทุกอย่างคงไม่เป็นไรกระมัง อาการปวดแสบรอบดวงตาเหมือนโดนเข็มทิ่มค่อย ๆ หายไปทีละน้อย ส่วนจมูกที่ตันจนสูดแล้วดังฟืดฟาดก็ยอมให้ลมหายใจผ่านได้สะดวกขึ้น ผมส่งเสียง “ฮะ” แหบแห้งออกไปเป็นคำถาม ส่วนเขาจิ๊ปาก ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ตอบกลับมา
“ตอนนั้นพูดเองไม่ใช่เหรอ ‘ชอบตัวหนังสือที่ฉันเขียนเถอะ อย่ามาชอบฉันเลย ฉันรับผิดชอบความรู้สึกนั่นไม่ไหวหรอก’ น่ะ” หมอนั่นว่า “ได้ยินแล้วตะลึงไปเลยว่ามั่นหน้าจังแฮะ ในนิยายตัวเองก็เขียนไว้แท้ ๆ ว่า ‘ถ้าหลงคิดไปว่าอีกฝ่ายชอบเราเข้าแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเราเองอาจรู้สึกเช่นเดียวกัน’ แล้วแบบนี้มันยังไงกันล่ะเนี่ย”
“หา” ผมลากเสียงยาวกว่าเดิม ยังจับทิศทางของบทสนทนานี้ไม่ถูก “แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะนั่น”
“ฉันชอบจริง ๆ นะ ตัวหนังสือที่นายเขียนน่ะ” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย “ก็เรื่องที่นายเขียนทั้งละเอียดละออ อ่อนไหว เที่ยวสังเกตอะไรที่คนอื่นเขาไม่สละทั้งย่อหน้ามาพูดถึง แต่พวกคำธรรมดา ๆ ที่นายเอามาเรียงกันมันกลับจับใจ ตอนนั้นฉันอายุสิบห้าเองนะ ต้องสงสัยอยู่แล้วสิว่าคนอายุเท่ากันประเภทไหนที่เขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้ ถึงตอนนั้นนายจะไม่ได้หมายถึง ‘ชอบ’ ทำนองนั้น แต่พอรู้จักกันมันก็ชอบไปแล้วนี่สิ สำหรับฉัน ถ้านายไม่เลือกที่จะเขียน ฉันอาจไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เลยก็ได้”
ไม่รู้ทำไมผมฟังแล้วถึงเหงาขึ้นมาจับใจ แต่ก่อนจะทันเอ่ยปากว่า “ขอโทษนะที่เด็กอายุสิบห้าคนนั้นเติบโตมาเขียนอะไรไม่เป็นแล้วล่ะ นายในตอนนั้นรู้เข้าจะชอบลงหรือเปล่าไม่รู้” หมอนั่นก็รีบยกมือขึ้นมาขัดราวกับอ่านความคิดหดหู่ของผมออกทะลุปรุโปร่ง
เขาสูดหายใจลึกแล้วผ่อนออกช้า ๆ เป็นวิธีบอกว่า “ฟังนะ” ในแบบของเขา
“ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ขอบคุณนะที่ตอนนั้นนายเขียน เพราะว่ามันทำให้ฉันได้มาชอบนาย” เขาพูดด้วยความหนักแน่นและหาญกล้าที่ตัวละครเอกเท่านั้นที่มี “และในเมื่อฉันชอบนายไปแล้ว ต่อให้เขียนไม่ได้หรือไม่ได้เขียนก็ช่าง ยังไงฉันก็ชอบนายอยู่ดี เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกนะ”
น้ำตาเม็ดเป้งไหลรินลงมาอาบแก้มผมเป็นสายอีกครั้ง หมอนั่นทำท่าเหวอไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เยี่ยงคนอ่อนอกอ่อนใจ ผมต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายทำท่าแบบนั้น ก็คำพูดของเขามันน้ำเน่าจนความเป็นนักเขียนลึก ๆ ในตัวผมร่ำร้องจะปฏิเสธ ขณะที่ตัวตนซึ่งเป็นมนุษย์แสนสามัญกลับอยากจะเชื่อมันสุดหัวใจนี่สิ
“คนอะไรขี้แยจริงๆ เลย” ผมได้ยินเขาว่าแบบนั้นระหว่างที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะรู้ดีว่าสีหน้าอ่อนโยนของเขาต้องทำให้ผมน้ำตาไหลไม่จบสิ้นแน่ “นี่นายจะร้องไห้ทุกที่ฉันบอกว่าชอบก็ไม่ไหวนะ”
ถึงร่างกายนี้จะร่ำไห้ แต่หัวใจของผมกำลังหัวเราะร่าอยู่หรอกน่า ผมกุมมือของเขาที่วางอยู่อย่างสบายใจบนเรือนผมของตัวเอง นิ้วมือของเราค่อย ๆ เกี่ยวประสาน เป็นวิธีบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร” ของผม
(เพราะได้รับความรักแม้หน้ากระดาษนี้จะว่างเปล่า)
(เพราะได้รับความรักจากคุณ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in