“พูดอย่างนั้นก็เกินไปน่า”
ทีแรกคิมมินกยูตั้งใจจะปล่อยคำพูดตรงไปตรงมาที่ตีแสกหน้าแล้วทะลุผ่านหัวใจให้พ้น ๆ ไปเสีย แต่พอได้ยินวลีอลังการดุจจุดสิ้นสุดของยุคสมัยนั่นเท่านั้น สัญชาตญาณเด็กน้อยที่มักถูกรุมหยอกด้วยความรักใคร่แบบพิกลก็เป็นอันยอมไม่ได้ ต้องส่งเสียงประท้วงทั้งที่รู้ว่าไร้ผลและคงจะโดนกลืนหายไปกับบรรยากาศของบาร์ในค่ำวันศุกร์ พอชเวซึงชอลผู้เป็นญาติผู้พี่หันมาถามว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรหรือไม่ มินกยูจึงแค่ยักไหล่แล้วส่ายหน้าให้เงียบๆ แม้ในใจอยากตะโกนเสริมให้ลั่นว่า “ไม่มีใครอกหักทั้งนั้นแหละโว้ย”
“ไม่เกินหรอก เชื่อเถอะ” บูซึงกวานจิ๊ปากแล้วถอนหายใจยาว ทำท่าทางอย่างกับอายุมากกว่ามินกยูสองเท่า ก่อนจะรินเบียร์เติมให้เขาจนเกือบปริ่ม “พี่ไม่รู้สึกอย่างนั้น แต่ชาวบ้านเขาอินกันขนาดนั้นแหละ”
อาจจะด้วยวงสังคมแสนแคบของนักศึกษาเกาหลีในเมือง ไม่ก็เพราะสายตาของมินกยูก่อนหน้านั้นไม่เคยหันมองอย่างอื่น แต่ดูเหมือนชีวิตรักของเขาจะเป็นที่รู้กันทั่วในระดับเดียวกับละครรายสัปดาห์ เรื่องนั้นทิ้งรสชาติปะแล่ม ๆ ไว้ในปากจนต้องล้างด้วยเครื่องดื่มที่ลูกพี่ลูกน้องเพิ่งประเคนให้ จากนั้นความเข้าใจถึงค่อย ๆ ซึมซาบเข้ามาในสำนึกว่าบางทีที่ซึงกวานเลือกใช้คำว่า heartbreak of the century แทน break-up ก็เพราะเหตุนี้เอง มินกยูไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือร้องไห้ดีที่ทุกคนมองข้ามการเลิกราระดับปัจเจกแล้วกระโจนสู่คลื่นอารมณ์ร่วมกันเสียยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือเขาอยากอัดไอ้คนแรกที่ออกความเห็นทำนองว่า หายากนะ ชาตินี้คงไม่มีใครเข้ากับพวกนายเท่านี้อีกแล้ว ขึ้นมาทันที
“ก็แค่เลิกกันเท่านั้นเอง” พอลองเปล่งเสียงออกมา มินกยูกลับพบว่าคำกริยาในรูปอดีตคำนั้นช่างแปร่งหูเหมือนภาษาของดาวดวงอื่น “เงียบ ๆ เหมือนตอนคบกันนั่นแหละ แล้วก็ให้ตายเหอะ ตอนคบกันยังไม่เคยประกาศเลยด้วยซ้ำ ไอ้พวกรู้ดีนี่”
คนรู้ดีหมายเลขหนึ่งกลอกตาอย่างไม่ปิดบัง ถ้าไม่นึกเอ็นดูมาแต่ไหนแต่ไร มินกยูก็อยากจะหยิกแก้มอีกฝ่ายเสียให้ช้ำ ขณะที่ซึงชอลเอื้อมมือมาตบบ่าของเขาเบา ๆ ชนิดที่เดาความหมายไม่ออกว่าให้ทำใจหรือปลอบใจกันแน่
“ก็วอนอูฮยองเล่นถามหาบ้านใหม่ซะขนาดนั้น ไม่ต้องเป็นยุนจองฮันก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ซึงกวานว่า เขวี้ยงข้อเท็จจริงชิ้นใหญ่ใส่มินกยูอย่างจัง แน่นอนว่าเขาเองก็เห็นโพสต์ประกาศนั่นกับตามาแล้ว เรียกได้ว่าแสลงไปถึงขั้วหัวใจทีเดียว
“แต่มันก็คิดเองเออเองอยู่ดีไม่ใช่หรือไง” มินกยูแย้ง
“คราวนี้มันเหมือนตอนพวกพี่เป็นเฮาส์เมทกันแล้วอยู่ดี ๆ ก็มีอะไรไม่ชอบมาพากลซะที่ไหน พวกพี่น่ะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนร่วมบ้านมาเป็น อยู่ด้วยกัน แล้วเถอะ” น้ำเสียงของญาติผู้น้องฟังเหมือนเทศนา แต่เนื้อหาทำให้มินกยูนึกถึงช่วงเวลาที่กลุ่มเพื่อนพี่น้องมองพวกเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงจนน่าขนลุกอยู่พักหนึ่ง กระทั่งจอนวอนอูทำให้อะไร ๆ ชัดเจนขึ้นมาในแบบที่เขาเองยังนึกว่าฝันไป โดยเฉพาะประเภทที่ไม่ต้องใช้คำพูด แต่แค่คิดก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว
ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องเมื่อหน้าร้อนก่อน หลังการพบพานกันในฤดูใบไม้ร่วง ผ่านฤดูหนาวยะเยือกกับฮีทเตอร์ไม่รักดี และเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแสนคลุมเครือ ไม่มีอะไรง่ายดายและคลี่คลายดังนิยายรักขายดี มีเพียงการเดินเขย่งเท้าระแวดระวัง หลบเลี่ยงไปมารอบความรู้สึกไร้ชื่อเรียกเสมือนการเต้นรำโดยไม่เผลอสัมผัสตัวอีกฝ่าย ครั้นคิดว่าเข้าใกล้ได้แล้วในวันหนึ่งก็ลงเอยด้วยการถอยห่างไกลกว่าเดิมในวันถัดมา เต็มไปด้วยสัญญาณน่าสับสนไม่ต่างกับการจ้องไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่แล้วอยู่ ๆ พลังงานที่จับต้องไม่ได้นั่นก็ระเบิดออกเป็นสสารและก่อกำเนิดจักรวาลขึ้น แบบเดียวกับที่ค่ำคืนแสนอบอ้าวกลางเดือนกรกฎาคมและเสื้อกล้ามเนื้อบางเบาสีขาวบันดาลให้อะไรต่อมิอะไรปรากฏเป็นรูปร่างออกมา นึก ๆ ดูแล้ว มินกยูแทบจะเห็นภาพอีกฝ่ายใช้ข้อนิ้วดันแว่นตาแล้วนิยามความสัมพันธ์ของพวกเขาว่า “ราตรีนิมิตกลางคิมหันต์” ขึ้นมาทีเดียว
“โธ่เอ๋ย” ซึงกวานส่ายหน้าแล้วตบหลังเขาแปะ ๆ จากนั้นค่อยรินเบียร์ก้นขวดลงแก้วให้จนเกลี้ยง “ยังขมขื่นอยู่สิท่า เอ้า ดื่มเข้า”
มินกยูจ้องมองของเหลวสีอำพันพลางสงสัยว่าใครกันที่อวดอ้างสรรพคุณว่ามันช่วยลบเลือนเรื่องที่ไม่อยากจำได้ ต่อให้เมาหัวราน้ำจนลงไปคลานสี่ขา อย่างมากเขาก็แค่ลืมว่าค่ำคืนนี้โดนทั้งพี่และน้องลากออกมานั่งประกบ ไม่ว่าจะด้วยความเป็นห่วงหรือความสงสัยใคร่รู้ปน ๆ กัน แต่สุดท้ายแล้วในเช้าวันต่อมา เขาก็จะตื่นมาด้วยอาการเมาค้างตัวคนเดียว ไม่มีใครนั่งถอนใจแกมสังเวชพร้อมวางซุปร้อน ๆ กับกาแฟดำไว้ให้บนโต๊ะกินข้าว มีเพียงนิยายปกอ่อนตรงซอกโซฟาเป็นหลักฐานชิ้นเดียวว่าเคยมีคนอื่นอยู่ที่นั่น แล้วเขาจะไม่นึกขมขื่นได้อย่างไรในเมื่อบ้านที่ว่างเปล่าคือเครื่องย้ำเตือนในตัวมันเอง และรสขมนั้นแนบสนิทเหมือนชื่อเล่นของอีกฝ่ายบนริมฝีปากและปลายลิ้นของเขา
บางทีซึงกวานอาจจะพูดถูก แต่ไม่ใช่เพราะนี่เป็นเรื่องเศร้าชนิดร้อยปีมีครั้ง มินกยูกล้าพนันว่าอีกเดี๋ยวมันคงกลายเป็นเสียงกระซิบที่ไม่มีใครอยากจะเอ่ย แต่เป็นเพราะสำหรับเขาแล้ว ไอ้อาการอกหักที่เขาไม่เคยยอมรับนี้อาจไม่มีวันหายไปเลยตลอดศตวรรษ ทิ้งรอยแผลเป็นล่องหนที่เขาจะเกา แกะ แคะ และทึ้งออกมาเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งมันเคยมีอยู่จริง
“นี่มันมีดบาดชัด ๆ เลยแฮะ” มินกยูโพล่งออกมา
ซึงกวานกับซึงชอลร้องเอ๊ะออกมาพร้อมกัน ท่าทางจะฟังผิดไปจนเข้าใจว่าไม่ใช่คำเปรียบเปรย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่องานพิเศษของมินกยูอยู่ในครัวแสนวุ่นวายด้วยแล้ว แต่พอเห็นว่ามือทั้งสองข้างของเขาไร้แผลสดก็ถอนใจโล่งอกแล้วฟาดแขนไปทีหนึ่ง
“หมายถึงจังหวะที่โดนยังไม่รู้สึกอะไร จนกระทั่งเจ็บนิด ๆ แล้วก้มไปมองถึงได้รู้ว่าเลือดท่วมแล้วต่างหาก” เขาอธิบาย รู้สึกไม่ยุติธรรมที่โดนตีฟรี
“จากนั้นก็โคตรเจ็บ” ซึงกวานพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนซึงชอลทำหน้าสยองเพราะน่าจะนึกถึงประสบการณ์ไม่น่าพิสมัยในร้านอาหารของครอบครัว
“ใช่เลย” มินกยูว่า ก่อนจะควักกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบธนบัตรวางไว้บนโต๊ะ “ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”
เขารู้สึกถึงแรงดึงที่ชายแจ็กเก็ตตอนกำลังจะลุก ข้างหนึ่งมาจากซึงกวานที่เคยจับเสื้อของเขาไว้อย่างนี้ตั้งแต่สมัยยังสูงไม่ถึงเอว ส่วนอีกข้างมาจากซึงชอลที่ยัดเงินกลับเข้ากระเป๋าข้างให้เขาอย่างดุเดือด มินกยูหันมองซ้ายทีขวาที กะพริบตาปริบ ๆ จนต้องเอ่ยว่า “อะไรเนี่ย” เพราะญาติทั้งสองไม่ยอมปล่อยตัวเขาไปสักที
“ให้ผมกลับเถอะ” มินกยูโอดครวญ นึกถึงช่วงที่ต้องร้องขอชีวิตกับซึงชอลที่ชวนกึ่งบังคับให้ร่วมเล่นเกมโต้รุ่ง “เดี๋ยวแม่พี่ก็เฉ่งผมหรอก ถ้าพรุ่งนี้เข้างานสายน่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ญาติผู้พี่โวย “ก็แค่…”
“แค่อะไรอีก”
“พี่เขาแค่อยากขอโทษ” ซึงกวานพูดแทนอย่างอดรนทนไม่ไหว “ผมเองก็ขอโทษเหมือนกัน แบบว่า ที่ไร้ความละเอียดอ่อนไปหน่อย”
พอได้ยินแบบนั้น มินกยูก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะเก้อ ๆ ถึงจะรู้อยู่หรอกว่าตัวเองก็เป็นที่รักของพวกพ้องอยู่พอตัว แต่ก็เหมือนกับอุปมาที่ว่าไปในทางที่ดี เขาอาจจะไม่ได้ตระหนักชัดแจ้งถึงเพียงนี้หากไม่ได้มองมันเต็มตาหรือว่าต้องการมันจริง ๆ อย่างตอนนี้
“เพราะงั้นเดี๋ยวเราไปส่ง” ซึงชอลกล่าวสรุป “จะห่มผ้าแล้วส่งเข้านอนให้ด้วยเอ้า”
“ที่จริงก็แค่อยากจะดูสภาพความเป็นอยู่ผมไม่ใช่หรือไง” มินกยูแหว “คนพวกนี้ดูหนังมากไปแล้ว คิดว่าผมจะไม่เป็นผู้เป็นคนขนาดนั้นเลยเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าแทบไม่รู้ตัวว่าต้องเศร้าจนวันนี้เนี่ย เฮ้ย เดี๋ยวสิ”
ประท้วงไปก็ไร้ผล สองพี่น้องทำงานเข้าขากันอย่างหาดูได้ยาก มินกยูโดนหิ้วปีกในสภาพที่มองเผิน ๆ เหมือนคนเมาถูกช่วยชีวิต ทั้งที่เขามั่นใจมากว่าสองคนข้าง ๆ ต่างหากที่อาการหนักกว่า ซึงชอลหันไปตะโกนบอกบาร์เทนเดอร์อย่างคุ้นเคยว่าจะจ่ายให้ทีหลัง ก่อนจะอวดพละกำลังโดยไม่ใส่ใจส่วนสูงและน้ำหนักของมินกยูแม้แต่น้อย พวกเขากอดคอเดินตุปัดตุเป๋สู่บาทวิถีชุ่มน้ำฝน ไอเย็นที่ไม่คาดคิดในอากาศทำให้โพรงจมูกชาวาบและปอดแทบเป็นน้ำแข็งจนต้องพ่นลมหายใจเป็นควันขาวออกมาแทบจะทันที มินกยูขำคิกเมื่อนึกภาพพวกเขาเป็นเพนกวินที่ยืนเบียดกันเพื่อปันความอบอุ่น ขณะที่ซึงกวานยอมแพ้แล้วชะเง้อหาแท็กซี่
เมื่อได้นั่งเอนหลังบนเบาะและพิงศีรษะกับกรอบหน้าต่างรถที่ทะยานสู่ราตรี มินกยูมองดวงไฟเบื้องนอกไหวระริกตามหยาดฝนบนกระจก เสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ และแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่ขับกล่อมโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้อาณาเขตความฝันรางเลือน เขาเงี่ยหูฟังเสียงซึงกวานพรมนิ้วบนแป้นพิมพ์โทรศัพท์ไม่ขาดสาย และขณะที่มองเงาสะท้อนของอีกฝ่ายอยู่นั้น สายตาของเขาก็พลันเห็นอีกคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเลนถนน — ชายหนุ่มผมสีดำเรียบร้อย แว่นสายตาวางบนดั้งจมูกโด่งเป็นสัน สองมือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวยาวเพราะเกลียดความหนาวยิ่งกว่าอะไร เป้ใบใหญ่ที่สะพายหลังบ่งบอกว่าน่าจะเพิ่งกลับจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย และตอนนี้ก็กำลังยืนรอรถเมล์กลับบ้าน
ราวกับว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน แต่ต่างจุดหมายโดยสิ้นเชิง สักวันมินกยูอาจจะรู้ว่าที่นั่นคือที่ไหน ทว่ามันไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการปวดหนึบในอกที่เพิ่งรู้สึกแม้แต่น้อย
หรือไม่สมองของเขาก็แค่เล่นตลก อาจถึงเวลาที่แอลกอฮอล์ที่บริโภคเข้าไปจะสร้างภาพลวงตาให้ตอนจบของละครแสนน้ำเน่า แต่มินกยูก็ยังขี้ขลาดเกินกว่าจะเสี่ยงขอความเห็นจากญาติผู้น้องที่อยู่ข้าง ๆ ดังนั้นเมื่อรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง เขาจึงไม่เหลียวหลังกลับไปมองซ้ำอีก นี่เป็นความฝัน เป็นภูตผีของเขาคนเดียวเท่านั้น และเขาจะตื่นเมื่ออยากหลับตาลงเอง
BGM ตอนฟังคือ Bittersweet แหละ พออ่านถึงตอนที่เห็นเขายืนรอรถเมล์ก็คือ ฝนตกใจในวิวเอง T-T
ตอนแรกอ่านไปได้สองย่อหน้าแล้วรู้สึกว่า ไม่ได้การ ต้องตั้งใจอ่านดี ๆ แล้วเพิ่งมีเวลาอ่านแบบรวดเดียว ฮืออออ ชอบจังหวะการเล่าของพี่จริง ๆ นะคะ ;-; มันละเมียดจังเลย ชอบที่ค่อย ๆ คลี่ให้เห็นบรรยากาศ ค่อย ๆ เห็นความรู้สึกของตัวละครผ่านคำพูด ผ่านความนึกคิดที่โยงจากการกระทำในซีนอะ ดีจังงงง กว่ามิงจะรู้ตัวว่าต้องเจ็บก็ตอนที่ค่อย ๆ มาไล่ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจากบทสนทนาที่ไม่ค่อยละเอียดอ่อนเท่าไหร่ของคนใกล้ตัวนี่แหละ ไหนจะความรู้สึกที่จริง ๆ ไม่อยากยอมรับเลยว่ามันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว หลังจากนี้ยังต้องไปต่อ ตอนที่คิดว่าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แต่พอเห็นเขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันคงเป็นฝันแหละ T-T แล้วแบบนี้ญาติพี่น้องจะไม่ห่วงแกได้ยังไง 555555
ฮื่อ ชอบมากกกกกกกกกกกกกเลยค่ะ เป็นรสชาติแบบที่ยิ่งกินยิ่งค่อยรู้สึกว่าขม แต่ก็ยังกินต่อ (???)
ดีใจมากเลยค่ะที่คุณกิ้ฟเองก็มีน่อน! รอติดตามงานเขียนเสมอเลยนะคะ