1
The lost boy
ย่ำค่ำวันหนึ่งในฤดูหนาว ตอนที่รายการเพลงคริสต์มาสประจำร้านกาแฟวนซ้ำมาเป็นรอบที่สามของวัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือแล้วพบกับยมทูตเข้าพอดี
ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ในเมื่อดูอย่างไรผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟสีเหลืองนวลข้างนอกนั่นก็เป็นมนุษย์รุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง เสื้อโค้ตสีดำที่เจ้าตัวสวมอยู่เป็นแบบเรียบ ๆ อย่างที่เด็กมหาวิทยาลัยเนี้ยบ ๆ นิยมใส่ ยิ่งไปกว่านั้นยมทูตตนนี้ยังมีสีหน้าเหนื่อยล้าจนชวนให้คิดว่าเป็นพนักงานบริษัทที่ต้องทำล่วงเวลาในวันหยุด ส่วนอาการหูลู่หางตกพลางอยู่ไม่สุขทำให้นึกถึงสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่ดันหลงทางหลังจากวิ่งเล่นจนลืมตัว ท่าทางน่าสงสารเสียจนชายหนุ่มที่นั่งสังเกตอยู่นานชักอยากให้ความช่วยเหลือขึ้นมาตงิด ๆ
ขณะกำลังเดาว่าพ่อหนุ่มโค้ตดำคนนั้นอาจทำกระเป๋าเงินหายแล้วช็อกจนทำตัวไม่ถูก หรือไม่ก็อาจรู้สึกไม่สบายขึ้นมาดื้อ ๆ เลยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จู่ ๆ ก็มีนักเรียนกลุ่มใหญ่เดินผ่านเข้ามาในฉากพร้อมส่งเสียงเอะอะ ราวกับว่าแผ่นกระจกยาวที่ประกอบขึ้นมาเป็นหน้าร้านคือจอฉายภาพยนตร์ซึ่งกำลังดำเนินอยู่อีกฝั่ง ชายหนุ่มรู้สึกฉุนเล็กน้อยที่เด็กเหล่านั้นไม่สนใจคนเศร้าที่ยืนหัวโด่อยู่นั่น ถึงขั้นไม่คิดจะเดินหลบด้วยซ้ำไป เขาเผลอลุ้นตัวเกร็งและพึมพำว่า “อ๊ะ ไม่ได้นะ ไม่” ตอนที่นักเรียนคนริมสุดใกล้จะชนชายคนนั้นอย่างจัง แต่ว่ายังพูดไม่ทันจบประโยคดี ถ้อยคำก็เป็นอันขาดห้วงไปเพราะสิ่งที่เห็นดันไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย
เสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กวัยรุ่นห่างออกไปเรื่อย ๆ ชายหนุ่มในร้านกาแฟกะพริบตาช้า ๆ แล้วถอดแว่นออกมาเช็ด ดูอีกครั้งให้แน่ใจว่ากระจกที่ตนมองผ่านออกไปไม่ได้มัวเพราะไอความเย็น ผู้ชายโค้ตดำคนนั้นยังอยู่ที่เดิม เพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถมานั่งกุมหัวเหมือนโลกจะแตกแทน เขาไม่ขยับหนีไปไหนตอนคุณลุงคนหนึ่งลากรถเข็นที่บรรทุกเศษกระดาษมาจอดตรงหน้า ไม่สะดุ้งสะเทือนตอนรถเข็นคันนั้นเหยียบลงบนเท้าตัวเอง เพราะมันก็แค่ทะลุวาบไปไม่ต่างกับเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์ ไร้สุ้มเสียง เหมือนหิมะที่ละลายแล้วซึมลงผืนดินอย่างเงียบงัน
ชายหนุ่มไม่ตกใจอีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มากเท่าตอนกลุ่มนักเรียนก่อนหน้านี้เดินผ่าน อันที่จริงเรียกว่าตกใจอาจฟังดูตื่นตูมเกินไป เขาแค่ประหลาดใจเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าการย้ายมาอยู่ห้องเช่าคับแคบกระทบกับการนอนและการทำงานของสมองจนคลื่นความถี่ของเขาผิดเพี้ยน ไปจูนติดกับอะไรที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้อีกจนได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนฝันพิลึกที่นาน ๆ จะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาที และส่งผลต่อร่างกายเหมือนการเดินบนรองเท้าที่ไม่ได้ใส่มานาน
พอรู้แบบนั้นก็ยิ่งอยากทำอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเดาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นวิญญาณที่กำลังเสียขวัญและทำตัวไม่ถูก ตอนยังเด็กกว่านี้ เป็นคนเมตตาอารีกว่านี้ และต่อให้สภาพวิญญาณเละเทะกว่านี้หลายเท่า เขาก็มักมีแก่ใจเข้าไปทักหากสถานการณ์แวดล้อมอำนวย เพราะนั่นเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากคุณยายผู้มีสายตาแบบเดียวกัน รวมถึงเป็นความลับกึ่งคำมั่นสัญญาที่ไม่เคยบอกใคร แต่ช่วงสองสามปีให้หลังมานี้ การรับคลื่นดังกล่าวออกจะขาด ๆ หายๆ จนเขาเลิกใส่ใจไปแล้วว่าตนก็มีความสามารถทำนองนั้นอยู่ด้วย
ชายหนุ่มเก็บหนังสือที่อ่านค้างไว้ลงเป้ ดื่มอเมริกาโนเย็นชืดในแก้วเซรามิกเป็นอึกสุดท้าย และไม่ลืมเลื่อนเก้าอี้เคาน์เตอร์กลับเข้าที่ให้เรียบร้อยก่อนออกจากร้าน อากาศเย็นยะเยือกข้างนอกทำให้เขาคิดว่าแก้มของตัวเองหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงอาการชาวูบวาบ ส่วนโพรงจมูกก็เหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ เต้นระบำกันอยู่ ดูท่าแล้วหิมะอาจตกลงมาได้ทุกเมื่อ
เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหนุ่มโค้ตดำ ขนาดยืนจังก้าท้าชนแล้ว อีกฝ่ายก็ยังหลบตา พยายามทำเป็นไม่เห็นอยู่นั่น ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแถวนั้นแล้วค่อยเอ่ยปาก
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
ได้ผล คราวนี้หนุ่มโค้ตดำสะดุ้งโหยงเหมือนเจอผีเสียเอง เขาผงะ ถอยกรูดไปติดกำแพง แล้วยังมือขึ้นมาทาบอก จากปฏิกิริยาทั้งหมดที่เคยได้รับจากวิญญาณ ชายหนุ่มอดจัดอันดับไม่ได้ว่านี่แหละใหญ่ไม่มีใครเกิน
“ผมมองเห็นอะไรพวกนี้ได้” เขาชิงอธิบายก่อน รู้สึกเสียมารยาทเล็กน้อยหลังเผลอใช้คำว่า อะไรพวกนี้ แทนตัวอีกฝ่าย “เห็นคุณอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้ว เลยมาถามดู”
ริมฝีปากของพ่อหนุ่มคนนั้นกลายเป็นรูปตัวโอพร้อม ๆ กับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นทีละนิด เป็นภาพที่น่าดูชมทีเดียว เหมือนหมาเซื่องซึมค่อย ๆ เปลี่ยนมาหูตั้งหางกระดิกรัว
“ว้าว เคยได้ยินว่าบางทีพวกรุ่นพี่ก็เจอคนตาทิพย์” หนุ่มโค้ตดำพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนลืมไปว่าเมื่อครู่นี้หมดอาลัยตายอยากเพียงใด “แต่นี่มาทำงานวันแรกก็เจอเลย ว้าว”
วิธีที่เขาเริ่มต้นและลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “ว้าว” เต็มปากเต็มคำก็ชวนขำไม่ต่างจากท่าทางลุกลี้ลุกลน แม้คำว่า “คนตาทิพย์” จะฟังดูหลงยุคหลงสมัยไปหน่อย ทุกวันนี้เขาน่าจะเรียกคนมีเซนส์หรือสัมผัสที่หกกันมากกว่า แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครได้ จะว่าไป ที่อีกฝ่ายพูดถึงรุ่นพี่และการทำงานต่างหากที่ชวนสงสัยยิ่งกว่า เจ้าตัวเองก็เหมือนจะเพิ่งคิดได้ว่าเปิดเผยเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป ถึงได้รีบหลบตาแล้วกระแอมกลบเกลื่อน เห็นแล้วนึกถึงเด็กที่หัดเลียนแบบพฤติกรรมมาจากละครชอบกล
ถึงตอนนี้ชายหนุ่มจะเดินจากไปเลยก็ได้ แต่เคยมีคนบอกไว้ว่าเขามีความอยากรู้อยากเห็นแบบแมว เช่นเดียวกับสมาธิแรงกล้าในการจดจ่อกับอะไรสักอย่างจนน่ากลัว ดังนั้นเขาจึงยืนประจันหน้ากับสิ่งลี้ลับเฉย ๆ แบบนั้น ใครผ่านไปผ่านมาคงเห็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งยืนสะพายเป้และเอามือซุกในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต หันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนกำลังอ่านประกาศอย่างตั้งอกตั้งใจ หารู้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่โดนสายตาเขาล็อกเป้านั้นเหนือจริงกว่านั้นมาก
เว้นก็แต่รอยขี้แมลงวันบนปลายจมูกมน ๆ ที่สมจริงเสียจนอยากยื่นนิ้วไปแตะ ไอ้นิสัยทำนองนี้คงเป็นของแมวเหมือนกัน ชายหนุ่มคิด ถึงจะไม่เคยมองว่าตัวเองเหมือนแมวเลยสักนิดก็ตาม
“คุณครับ” ในที่สุดหนุ่มโค้ตดำก็เอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีที่เหมือนมาถึงขีดจำกัดแล้ว “ไม่รู้สึกกลัวผมบ้างเหรอ”
ชายหนุ่มใคร่ครวญคำถามนั้น พอเอามาประมวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาคิดว่ามันช่างเหลวไหลสิ้นดี
“ผมไม่กลัวผีนะ” เขาตอบ รู้สึกเสียมารยาทอีกครั้งที่ใช้คำว่าผีอย่างง่าย ๆ แทนที่จะพูดว่าวิญญาณ “แล้วเมื่อกี้ก็คิดว่าคุณกำลังลำบากจริง ๆ”
หนุ่มโค้ตดำเหมือนโดนเตือนความจำว่าเมื่อครู่ตัวเองตกที่นั่งลำบากอย่างที่ว่า จู่ ๆ เขาก็ไหล่ตกคอตก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง
“ก็ลำบากอยู่ครับ”
“ถึงได้ถามไงว่าอยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มรู้สึกว่าบทสนทนานี้ไม่ไปไหนเหมือนตัวพวกเขาไม่มีผิด ไม่รู้ว่าเผลอพูดจาห้วนไปหรือไม่ อีกฝ่ายถึงดูหงอยและห่อตัวเล็กลงทั้งที่สูงใหญ่ปานนั้น ที่เขาว่าหมาใหญ่ใจกระจิ๋วหลิวนี่ท่าจะจริง หนุ่มโค้ตดำทำท่าคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่มัวอ้ำอึ้งจนกลายเป็นอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างน่าสงสารเสียได้
“ผมทำวิญญาณหาย” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาจนแทบโดนลมกลืนหาย
“อะไรนะ”
“ผมเป็นยมทูต” คราวนี้ดันพูดซะดังจนน่ากลัวว่าคนธรรมดาจะได้ยิน พูดจบแล้วค่อยยกมือสองข้างมาปิดปากราวกับจะตะครุบถ้อยคำกลับไป
ทุกอย่างลงล็อกกระจ่างแจ้งสำหรับชายหนุ่ม นี่เองคือสาเหตุที่พ่อหนุ่มโค้ตดำไม่ได้สติแตกกระเจิงหรืองุนงงแบบวิญญาณที่ไม่รู้ว่าตัวเองลาโลกนี้ไปแล้ว แต่กลับทำท่าลำบากใจไม่กล้าสารภาพความจริงอยู่นาน ปกติยมทูตที่เขาเคยเจอตอนมารับดวงวิญญาณก่อนหน้านี้มักวางตัวสุขุมเยี่ยงมืออาชีพ จัดการทุกอย่างรวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังชอบทำเป็นมองไม่เห็นมนุษย์ที่รับรู้การมีอยู่ของตัวเองอีก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็คงคล้าย ๆ กับคนเรา คงมียมทูตที่เผลอทำวิญญาณหายอยู่บ้างเหมือนกัน
“แบบนี้ก็แย่เลยนะ”
นั่นเป็นความเห็นที่หนักแน่นเท่าข้อเท็จจริง ยมทูตพยักหน้ารับอย่างซึม ๆ
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปเปิดช่องด้านหน้าของกระเป๋าเป้แล้วหยิบหูฟังออกมาเสียบกับโทรศัพท์ รู้สึกได้ว่าแม้แต่ยมทูตที่น่าจะพอศึกษาพฤติกรรมมนุษย์มาบ้างก็ยังงุนงงที่จู่ ๆ เห็นเขาใส่หูฟังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไปกัน” เขาว่า ซุกมือสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อตามเดิม
“ไปไหน”
“ไม่ตามหาวิญญาณที่ทำหายเหรอ”
ยมทูตมือใหม่พูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าตาเหลอหลาเพราะถูกแย่งงานไม่ทันตั้งตัว ทีแรกเขาไม่มีท่าทีจะเคลื่อนไหวไปไหน จนกระทั่งชายหนุ่มหันหลังแล้วเริ่มออกเดินก่อน ยังไม่พ้นสิบก้าวดีก็เห็นอีกฝ่ายตามมาทันด้วยขายาว ๆ คู่นั้นแล้ว
“คือว่า เขาหนีไปทางนั้น” ยมทูตเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปข้างหลัง คนละทิศกับทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป
“อ้อ”
“แต่ก็อาจจะวิ่งไปเป็นวงกลมก็ได้เนอะ” ยมทูตเสริม ราวกับกลัวว่าชายหนุ่มจะเสียหน้าไม่ก็เสียน้ำใจ ตอนนี้พวกเขาเลยหยุดอยู่กลางทางเหมือนเลือกไม่ได้ว่าจะไปซ้ายหรือขวาดี “จริง ๆ ก่อนหน้านี้ผมก็วิ่งวนสามรอบแล้วล่ะ”
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงทำหน้าเบะขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก ผมจะช่วยอีกแรง” ชายหนุ่มให้กำลังใจ
ที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสำหรับยมทูตแล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้ถือว่าร้ายแรงหรือไม่ หรือว่าพวกเขามีมาตรการรับมืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ดูเหมือนยมทูตที่บอกว่าตัวเองเพิ่งเริ่มงานวันแรกตัดสินใจแล้วว่าจะสะสางปัญหานี้ด้วยตัวเอง แค่นั้นก็เพียงพอให้เขาพูดจาแสนมองโลกในแง่ดีออกไปอย่างผิดวิสัย ไม่ต่างกับตอนช่วยเพื่อนร่วมชั้นหาดินสอกดแท่งโปรดในห้องเรียนว่างเปล่า หรือเที่ยวมองหาสัตว์เลี้ยงที่คนในละแวกบ้านติดประกาศหายไว้เมื่อมีโอกาส
แน่นอนว่าบางครั้งนั่นรวมถึงการปลอบใจเมื่อของสิ่งนั้นสาบสูญไปอย่างน่าเศร้า เขาไม่รู้หรอกว่าวิญญาณที่หลุดรอดบัญชีของยมทูตตนนี้จะลงเอยอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าหน้าที่การงานของยมทูตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จะเสี่ยงภัยหรือไม่ ชายหนุ่มก็แค่พูดอย่างที่เคยพูดมาตลอด
“ลองหากันอีกรอบ”
“อือ”
“ตอนนั้นคุณต้องไปรับวิญญาณตรงไหนนะ”
“ที่บ้านเขา ทางนั้น”
พวกเขาออกเดินอีกหน จากซอยแคบเข้าสู่ถนนหลักที่คนเริ่มพลุกพล่าน ไม่รู้ว่าหูฟังที่ใส่อยู่เพื่ออำพรางการสนทนากับยมทูตทำให้การฟังผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินคำว่า “ขอบคุณครับ” แผ่วเบามาจากใกล้ ๆ นี้เอง
และตามที่คาดไว้ หิมะโปรยปรายอย่างอ่อนโยนเมื่อค่ำคืนโรยตัวลงมา
2
The guide
ไม่ใช่การนัดหมายล่วงหน้าแต่อย่างใด ชายหนุ่มก็แค่บังเอิญเจอยมทูตตนเดิมอีกครั้งตรงชานพักบันไดชั้นหนึ่งของอพาร์ตเมนต์ หลังเหตุการณ์ตามหาวิญญาณผ่านไปราวเดือนเศษได้
หนนี้ก็ดูกระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน แต่เป็นเพราะคนที่คล้องแขนยมทูตอยู่คือคุณยายท่าทางใจดีที่อาศัยอยู่กับลูกสาวและหลานชาย ชายหนุ่มเคยเจอพวกเขาเดินจูงมือกันเป็นแถวหน้ากระดานในวันอาทิตย์ เจ้าหนูที่สวมชุดเทควันโดพยายามอวดท่าเตะพร้อมเปล่งเสียงดังลั่น ส่วนคุณยายยิ้มพลางพยักหน้าทักทายเขาที่เดินสวนมาพอดี
ชายหนุ่มเองก็ผงกหัวแทนคำว่าสวัสดีให้ยมทูตเช่นกัน ก่อนจะรีบเดินฉิวออกไปข้างนอกเพราะไม่อยากขัดจังหวะการทำงานของอีกฝ่าย จากการชำเลืองมองผ่าน ๆ เมื่อกี้ สีหน้าของยมทูตก็ยังเหมือนหมาใหญ่ขี้ตกใจไม่เปลี่ยน วันนี้เสื้อโค้ตที่เจ้าตัวสวมเป็นผ้าทวีดสีเทาดูนุ่มสบาย ถึงเขาจะไม่แน่ใจนักว่าพวกยมทูตแค่แต่งตัวให้กลมกลืนเฉย ๆ หรือเน้นประโยชน์ใช้สอยด้วยก็ตาม คราวก่อนที่เที่ยวตามหาวิญญาณด้วยกันท่ามกลางหิมะ ชายหนุ่มที่อุตส่าห์หยิบทั้งผ้าพันคอและที่ครอบหูกันความเย็นมาใส่ยังแทบจะแข็งตายไประหว่างทาง ส่วนยมทูตข้าง ๆ กลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเดียว อันที่จริงเขาไม่ได้หายใจออกมาเป็นไอด้วยซ้ำไป
หลังจากภารกิจจำเป็นนั่นจบลงเมื่อพวกเขาพบวิญญาณชายวัยรุ่นนั่งจ๋องอยู่หน้าบ้านตัวเอง ชายหนุ่มก็แทบขยับแขนขาไม่ไหวแล้ว เขายืนมองยมทูตกับวิญญาณเด็กคนนั้นค้อมหัวขอโทษกันไปมาอย่างกับตุ๊กตาล้มลุก สรุปแล้วเรื่องมีอยู่ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เล็ก เขาล้มป่วยจนต้องนอนอยู่กับเตียงมาหลายปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งจะหมดลมไปดื้อ ๆ ตอนนอนหลับอย่างนั้น พอเจอยมทูตที่พูดจาตะกุกตะกักมาบอกว่าตัวเองตายแล้วก็เลยตกใจจนสองขาพาวิ่งไปเอง จากนั้นก็เผลอดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้ก้าวเท้าไปข้างนอกอีกครั้งจนแทบลืมเรื่องอื่นไปสิ้น แต่พอคิดได้ว่าหนีออกมาแบบนี้อาจจะผิดกฎจักรวาลเอาได้ เขาถึงตัดสินใจกลับมารอที่บ้านดังเดิม
ฉลาดแฮะ ยมทูตถึงกับออกปากชม
ผมแค่นึกถึงเรื่องความตายและหลังจากนั้นบ่อยน่ะฮะ เด็กหนุ่มตอบ
พอวางใจได้ว่าทุกอย่างลงเอยด้วยดี เขาก็บอกลาสองคนนั้น ทิ้งท้ายว่า “เรียบร้อยแล้วสินะ” สั้น ๆ แล้วหอบร่างอ่อนระโหยโรยแรงกลับบ้าน แม้จะได้ยินยมทูตตะโกนขอบคุณไล่หลังมาดังลั่น เขาก็ยกมือขึ้นรับรู้โดยไม่หันกลับไป อาจเป็นเพราะหัวใจเริ่มปวดหนึบ ๆ แบบเดียวกับที่ร่างกายรู้สึกยามเผชิญความเย็นยะเยือกจากหิมะที่ตกลงมาไม่หยุด จะต่างกันก็ตรงที่คลื่นความเศร้าไม่มีถุงร้อนหรือฮีตเตอร์ตัวไหนปัดเป่าไปได้โดยง่าย ถึงคืนนั้นเขาจะอาบน้ำร้อนแล้วหลับสนิทเหมือนเด็กน้อยก็ตาม
แล้วหลังจากเห็นคุณยายกำลังเดินทางจากโลกนี้ไปอีกคน คลื่นความเศร้าก็เข้ามาจับหัวใจที่บางเหมือนแก้วโดยไม่ทันตั้งตัว คล้ายกับเวลาที่อุณหภูมิลดฮวบอย่างรวดเร็วจนไอน้ำกลายเป็นน้ำแข็งบนแผ่นกระจกหน้ารถ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเป็นควันขาว ก่อนจะก้าวเข้าไปหาความอบอุ่นชั่วคราวของร้านสะดวกซื้อ
บะหมี่ถ้วย คอร์นด็อก และนมสตรอว์เบอร์รี่ เขาวางของกินที่เพิ่งซื้อเรียงกันบนเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่า สายรุ้งประดับที่ห้อยอย่างหงอยเหงาจากเพดานทำให้รู้สึกว่าร่องรอยสุดท้ายของปีใหม่ยังอ้อยอิ่งไม่ไปไหน แม้ว่าอีกเดี๋ยวพวกมันคงถูกแทนที่ด้วยของตกแต่งรูปหัวใจในอีกเทศกาล นอกบานกระจกที่มองออกไปเห็นถนน รถพยาบาลคันหนึ่งแล่นผ่านไปพร้อมเสียงหวอหวีดแหลมเหมือนจะกรีดผ่านอากาศ
จากนี้ไปก็เป็นเรื่องของคนที่ยังอยู่ ชายหนุ่มคิดขณะเป่าเส้นบะหมี่ร้อนจัดจนควันฉุย เพิ่งรู้ตัวว่าริมฝีปากแห้งแตกกว่าที่คิดตอนซดน้ำซุปรสเผ็ดแล้วแสบจี๊ดขึ้นมา แว่นตาที่เป็นฝ้าเพราะไอน้ำเองก็น่ารำคาญพอกัน
“ดูทรมานจังเลยครับ”
ชายหนุ่มสำลักจนลำคอเหมือนโดนลวก ส่วนยมทูตที่เหมือนโผล่มาจากความว่างเปล่าทำหน้าตาตื่น อย่างกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้เอ่ยทักเขาด้วยท่าทีสบาย ๆ มาก่อน โชคยังดีที่นมรสหวานพอจะบรรเทาอาการร้อนวาบในหลอดอาหารได้บ้าง
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายก็ยังมีแก่ใจถามด้วยความเป็นห่วง
“แป๊บหนึ่งนะ” ชายหนุ่มพึมพำขณะควานหาหูฟังในกระเป๋า ระหว่างนั้นยมทูตก็เชื้อเชิญตัวเองมานั่งข้างเขาเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ท่าทางดูเป็นธรรมชาติ ไร้แววกระดากอายขึ้นมาทีเดียว
“เชิญทานต่อเลยครับ” ยมทูตพูดอย่างมีมารยาท
พิลึกเกิน ชายหนุ่มคิด แต่เรื่องทั้งหมดมันก็พิลึกมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขามองเห็นและสื่อสารกับสิ่งลี้ลับได้ หรือเรื่องที่ยมทูตเด๋อด๋าจับพลัดจับผลูมานั่งดูเขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างนี้ เพราะงั้นชายหนุ่มจึงจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันอย่างเงียบ ๆ แม้จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีสายตาใคร่รู้จด ๆ จ้อง ๆ อยู่ก็ตาม
“คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังจากดื่มนมจนเกลี้ยงขวดแล้ว
ยมทูตสะดุ้งเบา ๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เขาหันไปสบตาด้วยตรง ๆ พอรู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายไม่ได้ละไปไหนเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองเป็นตัวอย่างในการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ของยมทูตหรือเปล่า ราวกับว่าพวกเขาเป็นสิ่งพิศวงของกันและกัน เพียงแต่ยมทูตนั้นปิดบังอาการได้แย่กว่าใครที่เขาเคยรู้จักเสียอีก
“ก็…” ยมทูตยกนาฬิกาขึ้นมาดู ชายหนุ่มก็เพิ่งสังเกตว่าบนข้อมือขวาของเขามีนาฬิกาสีเงินดูหรูหราคาดอยู่ อันที่จริงก็ไม่ต่างกับทุกอย่างที่กายเนื้อของเผ่าพันธุ์นี้สวมใส่ มองอย่างไรก็เป็นของแพง เดาว่าอาจจะเอาไว้สร้างความน่าเชื่อถือก็เป็นได้
“ยังพอมีเวลาครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบ นัยน์ตาใสแจ๋วเป็นสีออกน้ำตาลเช่นเดียวกับเส้นผมยามต้องแสงแดด พอได้เห็นหน้าค่าตากันภายใต้ดวงตะวัน ชายหนุ่มถึงเพิ่งมาทึ่งว่าอีกฝ่ายดูจริงเหลือเกิน ราวกับว่าไม่ได้มีแค่เขาหรือคนอีกหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่มองเห็นสิ่งซึ่งมิใช่ของโลกใบนี้ สำหรับคนทั่วไปที่เดินผ่านมา บุคคลที่เขากำลังสนทนาอยู่ด้วยคงไม่ใช่อะไรนอกจากเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง
“เลยเอาเวลานั้นมาคุยกับผมเนี่ยนะ” ชายหนุ่มพูดปนขำ
ยมทูตยกมือขึ้นมาเกาแก้มเก้อ ๆ แล้วเบนสายตามาจ้องใบเสร็จที่มีคนทิ้งไว้บนโต๊ะแทน ชายหนุ่มเพิ่งเห็นว่านอกจากบนปลายจมูกแล้ว ตรงแก้มใกล้ กับมุมปากของยมทูตก็มีรอยขี้แมลงจิ๋ว ๆ อีกจุดหนึ่ง ถ้าหากมีผู้สร้างอยู่จริงก็ถือว่าใส่ใจรายละเอียดมากทีเดียว
“นึกว่าเขามีกฎห้ามติดต่อกับมนุษย์ถ้าไม่จำเป็นซะอีก”
“กฎนั่นต่างหากครับที่ไม่จำเป็นแล้ว” ยมทูตว่า “หลังจากเรื่องคราวก่อน ผมไม่มีทางถูกหัวหน้าเฉ่งไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ถึงกับโดนบิดหูเลยด้วยซ้ำ”
ว่าแล้วเขาก็ลูบหูตัวเองป้อย ๆ เหมือนแค่พูดถึงก็เจ็บแปลบขึ้นมา ท่าทางแบบนั้นทำเอาชายหนุ่มพ่นลมขำดังพรืด ดูเหมือนยมทูตจะเส้นตื้นพอกันถึงได้หัวเราะคิกคักตามไปด้วย รอยยิ้มกว้างนั่นเผยให้เห็นฟันเขี้ยวและลักยิ้มเล็ก ๆ ข้างหนึ่ง
“ลำบากแย่เลยนะ”
“เพราะงั้นถึงได้รู้สึกขอบคุณไงครับ” ยมทูตพูดเสียงดัง ขนาดชายหนุ่มใส่หูฟังก็ยังได้ยินชัดแจ๋ว “ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมคงตัดใจรายงานหัวหน้าว่าทำวิญญาณหลุดมือไปแล้ว จากนั้นมีหวังได้วุ่นวายกันใหญ่ แล้วผมก็ต้องโดนส่งไปฝึกงานใหม่อีกรอบแหง แค่โดนดึงหูเพราะกลับมาช้าน่ะเป็นเรื่องเล็กไปเลย”
ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะจนแก้มชักจะปวด แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่เขานึกว่าสาบสูญไปแล้ว อยู่ ๆ มันกลับมาเหมือนลำธารที่ไหลเชี่ยวอีกครั้งหลังหิมะละลาย และถึงแม้อากาศจะอบอุ่น แต่กระแสน้ำนั้นก็ยังเย็นเฉียบจนชวนสั่นสะท้าน
“เป็นงานที่มีระบบระเบียบดีจัง” เขาออกความเห็นสั้น ๆ “แต่เปิดเผยข้อมูลแบบนี้ก็ไม่เป็นไรเหรอ”
ยมทูตยักไหล่แบบไม่ยี่หระ
“เป็นสิทธิพิเศษของคนที่มองเห็นผม”
เจ้าตัวพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเหมือนไม่เคยโดนหยิกหูมาก่อน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะรู้สึกขอบคุณหรืออะไรดี ตอนนี้เขานึกอยากดื่มกาแฟร้อน ๆ สักแก้วเหลือเกิน
“ใช่ว่าจะเห็นได้ตลอดหรอก”
ยมทูตหุบยิ้มกว้างทันที
เห็นแล้วชายหนุ่มอยากจะแกล้งอีกสักหน่อย เขายกมือทำท่าบอกให้อีกฝ่ายรอเดี๋ยวแล้วลุกขึ้นไปซื้อกาแฟอย่างที่ตั้งใจ เมื่อแอบชำเลืองมองผ่านชั้นวางสินค้า เขาพบว่ายมทูตนั่งรออย่างเรียบร้อย วิธีที่เขาห่อไหล่และเอาเข่าชิดกันทำให้นึกถึงคลิปวิดีโอที่เจ้าหมาพยายามลงไปนั่งในลังกระดาษ เพียงแต่คิด ๆ ดูแล้ว ลังล่องหนของหมอนั่นอาจเป็นโลกทั้งใบ พอชายหนุ่มเดินกลับมา ยมทูตก็รีบนั่งหลังตรงและทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นในทันใด
“ผมชอบคิดว่ามันเหมือนคลื่นสัญญาณ” ชายหนุ่มอธิบายหลังจากจิบเครื่องดื่มร้อนอึกหนึ่ง “บางวันรับได้ชัด บางครั้งก็ไม่ บางทีหายไปนานเลยก็มี ถ้าคราวหน้าเดินสวนกันจัง ๆ ผมอาจเดินทะลุคุณไปเลยก็ได้ ไม่ต้องแปลกใจไป”
ดูเหมือนคำขยายความนั่นจะทำให้ยมทูตหงอยกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ชายหนุ่มรีบเสริม เริ่มสงสัยว่ายมทูตตนนี้อาจขี้เหงากว่าที่คิด “เดี๋ยวคุณก็เจออีก คนที่มองเห็นคุณน่ะ”
เขาพูดออกไปจากใจจริงเพราะคิดมาแล้วตามหลักการ แม้จะไม่รู้เรื่องเส้นทางอาชีพของยมทูตเลยสักนิด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเพิ่งเริ่มทำงานเมื่อเดือนก่อน ก็เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้คงจะได้เจอมนุษย์อีกมากมายข้างนอกนั่น หากเจอแล้วก็คงรู้ได้ง่ายกว่าคนมีญาณดูกันเองออกด้วยซ้ำไป แต่ท่าทางยมทูตจะไม่พอใจกับคำพูดปลอบใจครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนั้น เขานั่งกอดอก ขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
น่าพิศวงดีแท้ ชายหนุ่มคิดขณะลอบมองสิ่งลี้ลับข้าง ๆ ที่เผลอ ๆ จะแสดงอารมณ์เยอะกว่ามนุษย์ทั่วไปเสียอีก เขาเลือกที่จะไม่ถามว่าเผ่าพันธุ์ยมทูตกำเนิดมาจากแห่งใด เดินทางมาทำงานและกลับออกไปได้อย่างไร หรือว่าส่งวิญญาณไปโลกหน้าด้วยวิธีไหน แม้ชายหนุ่มจะสัมผัสได้ว่ายมทูตเองก็ตั้งตารอคำถามเหล่านั้นอยู่อย่างกระวนกระวาย แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่แค่นั่งเงียบ ๆ และมองดูรถราผ่านไปเรื่อย จนกระทั่งสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มดื่มกาแฟที่ปล่อยให้เย็นชืดเป็นอึกสุดท้ายแล้วเอ่ยขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นคนเชื่อโชคลางหน่อย จู่ ๆ เห็นยมทูตแบบนี้…” เขาหัวเราะแผ่วเบากับแก้วกระดาษ “ถ้าจริงก็คงเป็นเรื่องหักมุมน่าดู”
แน่นอน ตอนนั้นชายหนุ่มไม่รู้ว่ายมทูตรับมือกับมุกของเขาได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อเงยหน้าแล้วหันไปสบตาด้วย เขาเห็นแววไม่สบอารมณ์บนสีหน้าของอีกฝ่าย ยมทูตลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างสูงดูทะมึนน่ากลัว แต่สิ่งที่เขาคิดไปว่าเป็นความโกรธ แท้จริงแล้วคือความเจ็บปวดปนเปกับความเศร้าสร้อยมหาศาล มันโถมเข้ามาปุบปับเสียจนชายหนุ่มได้แต่ชะงักอยู่กับที่
“ยังไม่ถึงเวลาของคุณหรอก” ยมทูตว่า เบือนหน้าและหันแผ่นหลังให้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้เอ่ยอะไร เขาก็เดินลับไปหลังชั้นวางของและหายวับราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติยังคงนิ่งสนิทจนลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาพร้อมเสียงดนตรีสั้น ๆ ประจำร้าน ซึ่งชายหนุ่มคิดว่ามันดังกังวานในโสตประสาทนานกว่าปกติ
ปรากฏว่าหลังจากวันนั้น ชีวิตของเขายังเป็นของโลกใบนี้ไม่ไปไหน เรื่องลางร้ายที่ล้อเล่นไปไม่ได้เกิดขึ้นจริง ในขณะเดียวกัน เขาไม่ได้พบกับยมทูตตนนั้นอีกเลย
3
The keeper
แม้ไม่ต้องห่วงว่าเนื้อตัวจะเปียกปอน แต่ยมทูตก็กางร่มที่พกมาด้วยตามหญิงสาวที่อยู่อีกฟากถนนอยู่ดี เธอสวมสเวตเตอร์สีเขียวมอสกับกางเกงยีนส์สีซีด ส่วนร่มของเธอเป็นสีแดงตัดกับเสื้อผ้า ขณะที่ตัวเธอทั้งหมดโดดเด่นออกมาจากทิวทัศน์ทึมเทาของทะเลด้านหลังราวกับใครเผลอหยดสีน้ำมันลงไปบนภาพสีน้ำมัว ๆ เขามองเธอสาวเท้าอย่างเร็วรี่จนกลายเป็นจุดเล็กจิ๋วก่อนลับสายตาไปตรงหัวมุมถนน จากนั้นตัวเองถึงเริ่มออกเดินบ้าง เสียงเม็ดฝนที่กระทบกับผ้าร่มเหนือศีรษะให้ความรู้สึกราวบทสวดที่มนุษย์ชอบฟัง ใครจะรู้ว่าเวลานี้ยมทูตก็ต้องการมันไม่ต่างกัน
ถนนสายแคบเลียบชายฝั่งที่เขาเลือกใช้ร้างไร้ผู้คน มีเพียงป้ายรถประจำทางตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เมื่อมองพ้นออกไปยังเส้นขอบฟ้า ยมทูตเห็นม่านฝนโรยตัวลงมาจากมวลเมฆครึ้มที่แผ่ปกคลุมผืนน้ำกว้างใหญ่ นี่คือวิธีที่ท้องฟ้าพบกับท้องทะเล ผ่านสายฝน เหมือนมีใครสักคนเคยบอกเอาไว้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว อาจเป็นชาติภาพก่อน หรือว่าก่อนหน้านั้น จู่ ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำราวกับอยู่ที่นั่นมาตลอด
หน้าบ้านพักกึ่งไม้กึ่งปูนอันเป็นจุดหมายของเขามีพุ่มดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอมฟ้าพุ่มใหญ่ขึ้นอยู่ มันเกือบบดบังทางเข้าแคบ ๆ ที่จริง ๆ แล้วเป็นเพียงช่องว่างระหว่างกำแพงซึ่งกว้างประมาณตัวคนสองคนเดินเรียงหน้ากันเข้าไป เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของบ้านช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ตรงชานบ้านส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวอาคาร ยมทูตเห็นสุนัขขนสีทองตัวใหญ่นอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ใกล้ ๆ กันนั้นมีแปลงพืชผักขนาดเล็กอยู่ มะเขือเทศสีแดงสุกปลั่งที่ห้อยจากกิ่งบอบบางทำให้นึกถึงหญิงสาวคนเมื่อกี้กับร่มของเธอ
ที่จริงจะมีหรือไม่มีประตูรั้วหรือสุนัขก็ไม่ใช่ปัญหา งานของยมทูตอนุญาตให้เขาเดินดุ่มเข้าที่พักอาศัยของใครต่อใครเป็นปกติ แต่ตัวเขาเองต่างหากที่รู้สึกเสมอว่าเป็นผู้บุกรุก แม้ทำงานนี้มานานปีก็ยังไม่คุ้นชิน มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่นึกอยากจะกดกริ่งหรือเคาะประตูเพื่อความสบายใจ แต่นั่นอาจทำให้วิญญาณที่อยู่บ้านคนเดียวสับสนเอาได้ หนำซ้ำยิ่งเป็นวันนี้แล้วด้วย ยมทูตหมุนร่มที่วางพาดไหล่ไปซ้ายทีขวาทีอย่างใจลอย ดูเป็นอย่างเดียวที่เคลื่อนไหว ณ ที่แห่งนั้นนอกเหนือจากเม็ดฝนที่ตกเปาะแปะไม่ขาดสาย
ระหว่างที่มัวแต่ลังเลอยู่นั้น เสียงเห่าดังลั่นจากสุนัขใหญ่ทำให้ยมทูตสะดุ้งโหยง มันยกหัวขึ้นมามองจนแวบหนึ่งเขานึกว่าจะโดนจับได้เสียแล้ว บางครั้งสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือสุนัขและแมวข้างทางก็ยืนจ้องไปจนถึงร้องขู่พวกเขา แม้ว่าส่วนใหญ่พวกมันจะทำเป็นเมินหรือไม่ก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว ยมทูตกำลังจะลองร้องปรามมันอยู่พอดี ตอนที่อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“อ้าว คุณ” ใครคนนั้นร้องทัก โทนเสียงทุ้มต่ำที่ท้ายคำตวัดขึ้นสูงเล็กน้อยยังคงเหมือนเมื่อวันวาน เช่นเดียวกับวิธีการพูดกลั้วหัวเราะอย่างใจดี “หลงทางอยู่เหรอครับ”
จากคำถามที่มีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ยมทูตชะงักไปนิดหนึ่งก่อนหลุดขำดังพรืด เขาลดร่มลงแล้วหันไปหาเจ้าของบ้านที่เหมือนเพิ่งกลับมาจากตกปลา มือข้างหนึ่งถือถังน้ำ ส่วนอีกข้างจับคันเบ็ดพาดบ่า กำลังเดินย่ำแอ่งน้ำมาอย่างระมัดระวัง เขาสังเกตว่าแผ่นหลังของอีกฝ่ายค้อมลงเล็กน้อยและช่วงขายาว ๆ นั่นก้าวสั้นลงกว่าเดิมมาก ไหนจะปอยผมสีดอกเลาที่โผล่พ้นปีกหมวกบัคเก็ตสีเบจอีก มีเพียงแว่นตากรอบเหลี่ยมที่ดูเข้ากันกับใบหน้าฉลาดเฉลียวที่ยังไม่เปลี่ยน ยมทูตไม่แน่ใจว่าเพราะมันมัวจากไอน้ำหรือเพราะว่ากาลเวลาโหดร้ายกันแน่ ชายชราถึงได้ไม่มีทีท่าว่าจะจดจำเขาได้ตั้งแต่แรก
“เปล่าครับ” ยมทูตตอบ “วันนี้ไม่ได้หลงทาง”
ชายชรากะพริบตาช้า ๆ เหมือนว่าไม่ค่อยเข้าใจคำตอบดังกล่าวเท่าใดนัก พวกเขายืนจ้องกันและกันในความเงียบอันแสนคุ้นเคย แล้วยมทูตก็กลายเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานวันแรก ไม่รู้จะหันไปทางไหน คำพูดคำจาที่เคยเจื้อยแจ้วเวลาอยู่กับเพื่อนร่วมงานหายไปสิ้น ได้แต่เบนสายตามองทางอื่นแทนที่คู่สนทนา
จนกระทั่งเขากล้าสบตากับชายชราอีกครั้ง ถึงได้เห็นว่าริ้วรอยขมวดเครียดบนใบหน้าอีกฝ่ายคลายลงจนเกือบเรียกได้ว่าอ่อนโยน ตามมาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ แบบที่เคยเห็นคนเฒ่าคนแก่มอบให้คนเด็กกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คล้ายเสียทีเดียว เพราะแววตาของชายชราเป็นประกายวิบวับเหมือนตอนพวกรุ่นพี่หลอกอำเขาได้สำเร็จไม่มีผิด
“เก่งขึ้นแล้วสินะ” ชายชราว่า ก่อนจะหัวเราะหึ ๆ แล้วเดินผ่านไปเพื่อเข้าสู่บริเวณบ้าน เมื่อเห็นว่ายมทูตเอาแต่ยืนนิ่งงันสวนทางกับคำพูดที่ว่าไม่ได้หลงทาง เขาก็กวักมือเรียกทั้งเจ้าตัวทั้งสติให้ตามเข้ามา
เมื่อเห็นเจ้าของบ้านใกล้ ๆ สุนัขใหญ่ก็กระดิกหางรัวจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากบั้นท้าย ชายชราวางถังน้ำไร้ตัวปลาลงข้าง ๆ บัวรดน้ำแล้วพิงคันเบ็ดกับเสาค้ำ จากนั้นค่อยทิ้งตัวลงบนม้านั่งแล้วลูบหัวสัตว์เลี้ยงอย่างรักใคร่ ยมทูตไม่เข้าใจภาษาของมันอย่างถ่องแท้ แต่คิดว่าเสียงครางหงิงนั่นน่าจะบ่งบอกถึงความดีใจ และเขาเองก็ต้องใช้เวลาอึดใจใหญ่ถึงจะรู้ตัวว่าชายชรากำลังบุ้ยใบ้ให้เขานั่งลงด้วย
ตอนนี้สายฝนซาลงกลายเป็นละอองบางเบา แต่หยาดน้ำยังคงหยดติ๋งจากชายคามากระทบพุ่มดอกไม้สีเหลืองที่ยมทูตไม่รู้จักชื่อ จุดที่พวกเขานั่งอยู่หันหน้าออกไปยังชายหาดซึ่งอยู่ต่ำลงไปเล็กน้อยพอดี เมื่อมองออกไป ท้องฟ้ายังคงมัวหม่นเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลเบื้องล่าง ขณะที่คลื่นลูกเล็กลูกน้อยซัดกระทบฝั่งแล้วแตกกระจายเป็นฟองขาว เห็นจากไกล ๆ แลดูคล้ายชายผ้าระบายบนกระโปรงพลิ้ว ยมทูตตั้งใจดูและฟังเสียงจังหวะนั่นราวตกอยู่ในภวังค์ แม้ไม่ทราบความเห็นของมนุษย์คนอื่นเกี่ยวกับที่แห่งนี้ แต่ตัวเขาคิดว่าที่ที่เหมือนสุดขอบโลกเช่นนี้ไม่เลวทีเดียว
“ตรงนั้น ท้องฟ้ากับทะเลกำลังเอื้อมหากันอยู่” จู่ ๆ ชายชราก็เอ่ยขึ้น
ยมทูตหันมองใบหน้าด้านข้างของชายชราสลับกับทิวทัศน์ที่อีกฝ่ายพูดถึง หากมีสิ่งที่เรียกว่าหัวใจในตัวของเขาจริง ยมทูตคิดว่าตอนนี้มันอาจปริร้าวอยู่ก็เป็นได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เขาก็เผลอยกมือขึ้นมาลูบแถวอกซ้ายเลียนแบบกิริยาของมนุษย์ ต่างกันตรงที่ผู้คนที่เขาเคยเห็นว่ามีอาการเช่นนี้มักตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่การอุปมาอุปไมยเหมือนในนิยายปกอ่อนที่เคยยืนอ่านฆ่าเวลาในร้านหนังสือ
ชายชราดูจะสังเกตเห็นท่าทางของเขาเช่นกัน ถึงได้ถามว่าอยากดื่มอะไรร้อน ๆ หรือไม่ ก่อนจะหายเข้าไปในบ้านโดยไม่รอคำตอบ ยมทูตมองสุนัขที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า สงสัยว่าตกลงแล้วมันไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาหรือว่าจงใจเมินกันแน่ สายตาของมันเอาแต่มองตามโครงร่างของเจ้านายที่แวบไปแวบมาผ่านบานหน้าต่างด้านหลัง
“ไม่เคยถามซะด้วยสิว่ายมทูตเขาดื่มกันได้หรือเปล่า” เจ้าของบ้านโผล่มาอีกครั้ง ถือแก้วที่มีควัยฉุยในมือคนละข้าง ยมทูตรับมันมาหน้าตาเฉย ได้กลิ่นที่คุ้น ๆ ว่าเป็นช็อกโกแลตจาง ๆ ก่อนจะจิบอึกหนึ่งเป็นการยืนยันรสชาติ สีหน้าของชายชราฉายแววประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้ถามอีกตั้งหลายเรื่องนี่ครับ” ยมทูตย้อน รู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่เหนือริมฝีปากจึงแลบลิ้นเลีย ทำให้ชายชราที่มองดูอยู่ก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง “พอนึกดูแล้ว จะว่าไปก็ไม่เคยถามสักอย่าง”
“ความจำดีเหลือเกินนะ” อีกฝ่ายถอนใจ “อย่างน้อยก็รู้แล้วล่ะ ว่ายมทูตขี้งอนได้ยาวนานขนาดนี้”
คำว่า “ขี้งอน” ทำให้ยมทูตรู้สึกเหมือนมีก้อนกรวดอยู่ในรองเท้า ปกติแล้วพวกเขาจะปิดกั้นความรู้สึกของกายเนื้อได้ แต่หลายครั้งก็ไม่ เมื่อนึกถึงความไม่น่าอภิรมย์เหล่านั้นออก อารมณ์ซึ่งเกินยับยั้งได้จะทะลักทลายออกมา เหมือนวันนั้นที่เขาผละจากบทสนทนาที่ร้านสะดวกซื้อไปดื้อ ๆ ความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสน่าจะใกล้เคียงกับการถูกมีดบาดหรือเหยียบเศษแก้วคมกริบ รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งที่ไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่กลับสะอึกสะอื้นปานขาดใจ
ดังนั้นการคิดเอาเองว่าเขางอนจึงลดทอนความรุนแรงของสิ่งที่เขาเผชิญมากทีเดียว แต่เรื่องนั้นจะโทษอีกฝ่ายก็ไม่ยุติธรรม
“รู้ไหมครับว่าพวกยมทูตนี่เป็นไงมาไง” เขาถาม
ชายชราทำท่าครุ่นคิดพลางเป่าเครื่องดื่มร้อนไปด้วย ไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาเกาะเลนส์แว่นสายตาจนเป็นฝ้าบาง ๆ ยมทูตเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายถอดหมวกออกแล้ว และตอนนี้เส้นผมก็ชี้ไปคนละทิศละทางจนอยากช่วยปัดให้เป็นทรงดี ๆ สักทีหนึ่ง
“นั่นเป็นปริศนาใหญ่ทีเดียวนะ” สุดท้ายคำตอบมีเพียงเท่านั้น หากยมทูตจัดอยู่ในจำพวกขี้น้อยใจ มนุษย์คนนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดื้อดึงอย่างไม่ต้องสงสัย
“แต่คุณเขียนถึงมันได้ยาวเป็นเล่มเลยนี่” ยมทูตแย้ง แม้ว่าในนิยายที่ตีพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน ยมทูตที่ชายชราบรรยายถึงจะไร้รูปร่างและไม่มีหน้าค่าตา เขาคนนั้นมีตัวตนผ่านคำว่า “ข้าพเจ้า” ระหว่างทำการสังเกตมนุษย์แล้วนำมาบอกเล่าอีกทอดหนึ่ง ยมทูตตัวจริงไม่แน่ใจว่ายมทูตในนิยายตั้งใจจะพูดเรื่องเหล่านั้นให้ผู้อ่านรับรู้จริงหรือเปล่า ตอนลองอ่านครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนแอบดูข้อความในสมุดบันทึกของคนอื่นอยู่ ส่วนเพื่อนร่วมงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านิยายเล่มนี้ช่างห่างเหินและจืดชืดเกินไป เมื่อเทียบกับเรื่องแต่งมากมายที่มียมทูตเป็นตัวชูโรง เพราะตัวเอกดันไม่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เลยสักคน แม้แต่วิญญาณคนตายที่ตนต้องไปนำทางก็ด้วย
อาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมงานพวกนั้นไม่เคยพบผู้แต่งหนังสือเรื่องนี้มาก่อน ยมทูตคิดว่านี่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว เว้นแต่ว่าทุกคนแอบแหกกฎแล้วไปผูกมิตรกับคนเป็นกันหมด พอเขาออกความเห็นแบบนั้นไป ปรากฏว่าคู่สนทนาพากันหลบตาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
ทว่าการพูดถึงนิยายดูจะทำให้ชายชราประหลาดใจไม่น้อย เขาอุทานว่า “โอ้” เบา ๆ ตอนหันมาจ้องยมทูตผ่านแว่นตามัว ๆ ของตัวเอง จากนั้นถึงถอดมันออกมาเช็ดกับชายเสื้อเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“ไอ้เรื่องนั้นน่ะ” ชายชราเอ่ย พลางพลิกแว่นตาในมือดูว่าสะอาดใช้ได้หรือยัง “ผมเขียนเพราะคิดถึงคุณเท่านั้นเอง”
ถึงคราวยมทูตร้อง “โอ้” ออกมาบ้าง พอมนุษย์ที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยินก็หัวเราะหึออกมาอีกครั้งก่อนจะซ่อนรอยยิ้มกว้างหลังแก้วเซรามิก หลังจากเห็นหลายครั้งเข้า เขาก็โล่งใจระคนทึ่งที่อีกฝ่ายดูเพลิดเพลินกับการพูดคุยนี้อยู่เหมือนกัน ชายชราอาจเป็นของเขาอย่างนี้อยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ยมทูตไม่เคยได้รู้ หรือไม่อย่างนั้นเวลาหลายสิบปีอาจทำให้เหลี่ยมมุมแหลมคมมนลง แบบเดียวกับที่กระแสน้ำทำให้แก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลายเป็นลูกปัดสีสดใส
“ลืมไม่ลงเลยสินะครับ”
“ลืมไม่ลงอยู่แล้ว”
พวกเขานั่งมองสุนัขใหญ่ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วสะบัดขนอย่างแรงสามสี่ที มันเดินอย่างเชื่องช้าตามวัยไปดื่มน้ำจากอ่างดินเผาที่มีพืชใบเขียวอยู่เต็ม แทนที่จะดื่มจากชามสเตนเลสสะอาดสะอ้าน ชายชราถอนหายใจเมื่อเห็นมันย่ำไปบนดินโคลนเฉอะแฉะตรงที่ไม่มีหญ้าขึ้นในสวน จมูกเที่ยวดมฟุดฟิดไปทั่ว
“ยมทูตเองก็มีเรื่องที่ลืมไม่ลง ถึงได้กลายมาเป็นยมทูตครับ” เขาไม่รู้ว่าชายชราจะเชื่อถ้อยคำของเขามากน้อยแค่ไหน แต่สุดท้ายก็พูดออกไปแล้ว “ยิ่งไปกว่านั้น เราจำไม่ได้ว่าอะไรหายไป เลยหวังว่าถ้าทำงานนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ที่ตัวเองลืมไม่ลง”
เงียบไปอึดใจใหญ่ ชายชรากอดอกพร้อมส่งเสียงเหมือนกำลังใช้ความคิด แวบหนึ่งยมทูตคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะระเบิดหัวเราะออกมาหรือชมว่านี่เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจสำหรับนิยาย เมื่อเข้าถึงความเป็นมนุษย์ไปทีละนิด เขาพบว่าความหวาดหวั่นประเภทนี้ช่างน่ากลัวเกินทน
แต่ชายชราไม่ได้ทำอย่างที่ว่ามา เขาเปลี่ยนเอาแขนมายันเก้าอี้แล้วเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเหมือนแมวกำลังยืดเส้นยืดสาย ในขณะเดียวกันก็เหมือนชายหนุ่มที่เด็กกว่านี้ราวสี่สิบปียามพวกเขาพบกันครั้งแรก เมื่อสบตากันตรง ๆ อย่างกล้าหาญ ยมทูตอดคิดไม่ได้ว่านัยน์ตาคู่นั้นแสนอบอุ่นใจดี
“แล้วคุณจำได้หรือยังล่ะ” ชายชราถาม
แหงสิ ยมทูตคิด
“ของมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ” ยมทูตย้อน
ตอนนั้นเองที่ชายชราหัวเราะลั่น ยมทูตที่ตั้งตัวไม่ทันเผลอยกนิ้วมาเกาแก้มเก้อ ๆ ให้อีกฝ่ายเสริมว่า “เพราะอย่างนี้ไง ไอ้จุดบนแก้มคุณถึงได้กวนใจผมนัก” แต่เขารับรู้ได้จากน้ำเสียงว่านั่นไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
“เอาล่ะ” ชายชรายืดหลังตรงและพูดจาเป็นการเป็นงาน “ถ้างั้นเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
ก่อนที่ยมทูตจะทันตอบ ชายชราก็หยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างหลังออกมาราวกับนักมายากล เมื่อเขาลุกขึ้นอีกครั้ง ความคล่องแคล่วก่อนหน้านี้ดูจะลดลงเล็กน้อย เจ้าตัวอธิบายว่าร่างกายคนแก่ก็น่าขันแบบนี้พลางสบถว่า “ข้อเข่าเฮงซวย” อย่างไม่จริงจัง แต่ด้วยเหตุนั้น ยมทูตจึงผ่อนฝีเท้าให้ได้ความเร็วใกล้เคียงกันไปบนพื้นดินที่มีน้ำขังเป็นแอ่งเนื่องจากเส้นทางถนนสิ้นสุดลงเมื่อพ้นตัวบ้าน ขณะที่สุนัขสีน้ำตาลทองวิ่งเหยาะ ๆ ตามติดเจ้าของของมันไม่ห่าง แสงจากดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นเมฆมาเสี้ยวหนึ่งก็กระทบขนยาวของมันเป็นประกาย
พวกเขาหยุดอยู่บนเนินเตี้ย ๆ ที่โอบล้อมด้วยหญ้าสูง ดอกของมันชูช่อยาวและเอนไหวไปตามลมพัด เหนือแมกไม้ขึ้นไป เมฆกำลังเคลื่อนตัวเร็วรี่เพื่อเปิดทางให้แสงสว่าง ยมทูตได้ยินเสียงชายชราหอบหายใจเหนื่อย เขาเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใดกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ นาฬิกาหน้าตาสวยงามที่คัดสรรมาสวมใส่ไร้ประโยชน์อยู่บนข้อมือ
เขาเงี่ยหูฟังอย่างใจเย็นจนกระทั่งลมหายใจของอีกฝ่ายช้าลงจนเป็นปกติ เพราะงานที่ทำ ทักษะการสังเกตเรื่องนี้จึงกลายเป็นความสามารถติดตัวของยมทูตไปโดยปริยาย
“ตอนนั้น…” ชายชราเอ่ย สลับมาทิ้งสะโพกไปตามไม้เท้าที่ยันพื้น “ทำไมถึงหายไปนานจนถึงวันนี้กันนะ”
ทั้งสายตาที่ทอดมองทะเลและน้ำเสียงเศร้าสร้อยแผ่วเบาทำให้ยมทูตไม่รู้ว่าชายชราเพียงแค่รำพึงกับตนเองหรือต้องการคำตอบจริง ๆ แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบ ในเมื่อมันเป็นคำถามที่เขาคาดการณ์และรอคอยมาตลอดคำถามหนึ่ง
“หลังจากได้ยินคุณพูดแบบนั้นแล้ว ผมเกิดกลัวขึ้นมาจริง ๆ ว่าถ้าเจอกันอีก คุณอาจจะตายก็ได้” ยมทูตสารภาพ “มันฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี แต่พอความทรงจำชัดเจนขึ้น ผมก็ยิ่งกลัว ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะทำให้คุณตายโดยตรง เพราะเรื่องแบบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ความคิดที่ว่าคุณต้องตายมันทำให้ผมเจ็บปวด”
พอพูดออกไปแล้ว เขาถึงตระหนักว่าตนเป็นยมทูตที่พิลึกใช้ได้ เช่นเดียวกับไม่เป็นมืออาชีพอย่างน่าละอาย เขาไม่กล้าหันไปตรวจสอบปฏิกิริยาของชายชราด้วยซ้ำ จนกระทั่งรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่น ๆ และนิ้วที่สอดประสานเข้ากับนิ้วของเขาเอง
“แต่วันนี้คุณก็มาแล้วนี่” ชายชราว่า สีหน้าและแววตาไม่มีร่องรอยของความเสียใจ “เพราะงั้นตั้งใจทำงานเถอะ”
ยมทูตรู้ดีว่ามันช่างเป็นตลกร้ายเหลือเกิน เขาโดนจับได้อย่างหมดท่า แต่ชายชราแค่ยักไหล่เหมือนนี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เรื่องหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเหมือนกำลังร้องเพลง “ไม่เป็นไร”
พวกเขาเดินลงจากเนินเขา มือของยมทูตจับมือของชายชราไว้มั่น เขาแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก้าวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉงมากขึ้นเมื่อจูงมือกันเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตนเป็นผู้มอบความช่วยเหลือแต่อย่างใด ก็เหมือนกับคราวแรกสุด ทั้งชายหนุ่มผู้อารีวัยยี่สิบปลายและชายชราวัยใกล้เจ็ดสิบยังคงพึ่งพาได้เสมอ หากลองพูดว่า “ไม่เป็นไร” แล้ว นั่นไม่ใช่เพียงคำปลอบโยน แต่เป็นคำมั่นสัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี และตอนนี้ชายชราก็กำลังนำทางเขาอีกครั้ง โดยมีสุนัขใหญ่วิ่งฉิวแซงหน้าไปอย่างร่าเริง
“โอ๊ะ” จู่ ๆ ฝีเท้าของชายชราก็ชะงักพร้อมเสียงอุทาน “ดูสายรุ้งนั่นสิ”
เส้นโค้งที่มีสีสันเรียงซ้อนกันเป็นแถวพาดผ่านท้องฟ้าที่เริ่มกระจ่าง ยมทูตเคยเห็นมันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยพบสายรุ้งที่สมบูรณ์แบบเหนือเส้นขอบฟ้าเช่นนี้มาก่อน ข้างกายเขา ชายชราสูดหายใจลึกเต็มปอดแล้วผ่อนลมออกช้า ๆ
“ดีจัง” เขาเอ่ย อาจจะกับสายรุ้งเส้นนั้น กับคลื่นทะเล หรือไม่ก็กับท้องฟ้า
ยมทูตเปล่งเสียงเห็นด้วย จู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาพบกันทั้งในวันหิมะตก วันที่หนาวเย็น และวันฝนโปรยที่ค่อย ๆ กลายเป็นวันที่อากาศแจ่มใส เขาออกแรงบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าชายชราก็ทำแบบเดียวกันพอดี พวกเขาเก็บรอยยิ้มไว้กับตัว จากนั้นจึงออกเดินเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านอีกครั้ง
— the end
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in