ฮันจูวอนไม่ใช่คนที่นึกเสียใจที่ตัวเองเกิดมา เรื่องนั้นมีคนรู้สึกแทนเขาไปชั่วชีวิตแล้ว ในขณะเดียวกัน ฮันจูวอนก็ไม่ใช่คนที่ยินดีกับการได้ลืมตาดูโลก เรื่องนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แบบเดียวกับที่ลูกสาวคนเล็กของบริษัทใหญ่ต้องคู่กับตำรวจหนุ่มอนาคตไกล เหมือนที่หล่อนต้องกลายเป็นแม่ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับทารกในอ้อมแขน และสุดท้ายก็ถูกลิขิตให้กลายเป็นเพียงความทรงจำบนป้ายหลุมศพเย็นเยียบ งานวันเกิดทั้งหลายไม่ได้ดีเด่อะไร นอกเสียจากเป็นข้ออ้างให้คนลืมความทุกข์ใจไปปีละครั้ง เอาความคาดหวังใส่กล่องผูกโบสวยแล้วบอกตัวเองว่านั่นคือความรัก แม้รู้ดีแก่ใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ฮันจูวอนไม่ฉลองวันเกิดและไม่ไปงานวันเกิดใคร โชคดีที่ไม่มีคนให้ความสนใจกับเรื่องนั้น หากไม่นับข้อความอวยพรจากควอนฮยอกและมื้อค่ำตามแต่ฮันกีฮวานจะสะดวก วันเกิดของเขาล้วนผ่านไปเช่นวันหนึ่งในฤดูร้อน
ดังนั้นเมื่ออีดงชิกส่งข้อความมาบอกว่ารอเขาออกเวรอยู่หน้าสถานีตำรวจ เรื่องนี้จึงเป็นอย่างสุดท้ายที่จูวอนนึกถึง อันที่จริงให้คิดว่าอีกฝ่ายบังเอิญมาทำธุระที่คังวอนแล้วไปก่อเรื่องเข้ายังจะดูสมเหตุสมผลกว่า ทว่าสีหน้าแช่มชื่นของอดีตสารวัตรที่ยืนพิงรถอย่างสบายใจเฉิบนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงอะไร จูวอนจึงได้แต่พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถามเสียงเรียบว่า “มาได้ยังไงครับ”
มุมปากของดงชิกยกขึ้นรับกับประกายระยิบระยับในดวงตา จูวอนเตรียมตัวฟังประโยคหน้าไม่อายที่จะตามมาในไม่กี่อึดใจ นี่ไม่ใช่การคาดเดาจากประสบการณ์ห้าเดือนในฐานะคู่หู แต่เป็นความเคยชินจากระยะเวลาหนึ่งปีที่ฮันจูวอนพบว่าตนเลี้ยวรถไปมันยางทุกสุดสัปดาห์ที่ว่างและลงเอยที่บ้านของอีกฝ่าย เขาตั้งใจว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับคำตอบอย่าง “ผมคิดถึงสารวัตรฮันจนทนไม่ไหว” หรือ “อยากมาเจอหน้าไม่ได้เลยเหรอครับ” แต่อีดงชิกกลับหัวเราะเบา ๆ และเปิดประตูรถให้เป็นการเชื้อเชิญ
“ไปทะเลกันครับ”
คำพูดสั้น ๆ แค่นั้น แม้สมองจะตั้งคำถามสารพัน แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนกลบเสียงอื่นไปสิ้น ขนาดแขนขาก็ยังพาตัวของจูวอนขึ้นไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยบนฝั่งผู้โดยสารเองเรียบร้อย จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดและเปียโนของชูมันน์ดังจากลำโพง เขาถึงรู้ตัวว่าเผลอกลั้นลมหายใจไปนาน ความรู้สึกประหม่าค่อย ๆ ซึมออกมาพร้อมเหงื่อชื้นบนฝ่ามือ แน่นอนว่าเขาไว้ใจอีกฝ่าย ส่วนคนที่ไม่น่าเชื่อใจเลยสักนิดก็คือตัวเขาเอง
“จะงีบสักเดี๋ยวก็ได้นะ” อีดงชิกเอ่ย ก่อนจะทำท่าเหมือนอดกระเซ้าไม่ไหว “ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ สารวัตรฮันของเรา”
ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลยามไม่คิดอะไรมาก ภาษากันเองที่เริ่มหลุดออกมาบ่อยครั้ง หรือรูปประโยคทางการที่เอาไว้เย้าแหย่โดยเฉพาะ ทั้งหมดล้วนปลอบประโลมใจจูวอนเหมือนกระเป๋าเสื้อโค้ตอุ่น ๆ ในหน้าหนาว แม้แต่เพลงคลาสสิกที่เปิดนั่นก็เป็นความใส่ใจอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มจึงยอมให้ตัวเองเอนกายพิงเบาะและพักผ่อนชั่วครู่ได้ในที่สุด
แสงไฟริมทางผ่านไปเหมือนดาวตก จูวอนมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านม่านราตรี
“ทำไมถึงไปทะเลล่ะครับ”
อีดงชิกเหลือบมองคนถามแวบหนึ่ง สีหน้าเหลือเชื่อปรากฏบนใบหน้าที่ฉายแววอารมณ์ดีอยู่เสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกขนานแท้
“ก็วัน ๆ สารวัตรฮันเอาแต่เดินขึ้นเขานี่นา” เจ้าตัวว่า “คังวอนมีทั้งภูเขาทั้งทะเล มาแล้วก็ต้องเห็นให้ครบสิครับ”
คำตอบพรรค์นี้ถูกจูวอนจัดให้อยู่ในหมวด “ถ้าเชื่อก็เป็นหมาแล้ว” แต่เนื่องจากเขาเป็นคุณชายผู้สุภาพ จึงได้แต่ถนอมวาจาเช่นนั้นไว้ในใจ
/
รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกเสียงกุกกักจากอีดงชิกที่เอื้อมไปหยิบของบางอย่างจากเบาะหลังปลุก หน้าของจูวอนเริ่มเห่อร้อนด้วยความอาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ผล็อยหลับระหว่างนั่งรถคือเมื่อใด แต่คนที่ขับรถมาตลอดทางกลับร้อง “โอ๊ะ” เบา ๆ เหมือนเป็นฝ่ายละอายที่ทำเขาตื่นเสียมากกว่า อีดงชิกถือถุงกระดาษไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนใช้มืออีกข้างเอื้อมมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้เขา จูวอนได้กลิ่นวานิลาจาง ๆ ยามอีกฝ่ายผละไป
“ผมดีใจนะเนี่ย สารวัตรฮันจูวอนกล้านอนหลับปุ๋ยตอนผมขับรถด้วย” ริ้วรอยตรงหางตาของอีดงชิกสะท้อนความจริงใจในคำพูดเต็มร้อย “เอ้า ถึงแล้วครับ ลงมาเถอะ”
คนอายุมากกว่าลงจากรถไปเร็วกว่าที่ฮันจูวอนจะตอบโต้ทัน แต่แบบนั้นอาจจะดีกับเขาแล้ว หากให้โต้แย้งไปว่าไม่เห็นจะน่าดีใจตรงไหน ในเมื่อเขากล้านอนค้างในบ้านของอีกฝ่ายมาเป็นปีแล้วด้วยซ้ำ คำพูดแบบนี้สิที่น่าอายยิ่งกว่านอนน้ำลายยืดเป็นไหน ๆ
ลมทะเลที่เจือไอเค็มของเกลือทว่าเย็นสบายพัดเรือนผมของพวกเขาจนยุ่งเหยิง อีดงชิกไว้ผมยาวกว่าสมัยทำงานด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าขี้เกียจตัด ขณะที่จูวอนยังคงรักษาความยาวของทรงผมและหน้าม้าไว้อย่างมืออาชีพ พวกเขาเดินลงไปยังชายหาดที่มีผู้คนประปราย บ้างก็ยืนถ่ายรูปกันเป็นกลุ่ม บ้างก็นั่งเคียงคู่กันบนผ้าที่ปูบนทราย จูวอนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านชายหญิงที่เอนซบกันบนม้านั่ง ขณะที่อีดงชิกซึ่งเดินนำหน้าไปไกลแล้วหันกลับมาโบกมือเร่ง สายลมพัดชายเสื้อเชิ้ตตัวหลวมที่สวมทับเสื้อกล้ามสีขาวปลิวสะบัด ถุงกระดาษที่คล้องไว้กับข้อมือแกว่งไกวเบา ๆ
“สถานที่ไม่น่าไว้วางใจเลยนะครับ” จูวอนกระแอมหลังจากมองรอบ ๆ นอกจากแสงไฟตรงทางเดินด้านหลังและป้ายร้านค้า พื้นที่บริเวณนั้นดูจะไม่มีใครผ่านไปผ่านมา ได้ยินเพียงเสียงคลื่นและเห็นดวงไฟเล็กจิ๋วจากเรือกลางทะเลเท่านั้น
“ที่แท้ก็กลัวผมพามาทำอะไรมิดีมิร้ายนี่เอง” อีดงชิกพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยออกใจพลางจิปาก “ถ้าจะกลัวอะไร กลัวทรายเข้ารองเท้าดีกว่ามั้งครับ”
จูวอนก้มมองรองเท้าหนังที่เคยมันวับ แต่บัดนี้มีทรายชื้น ๆ เกาะอยู่ทั่ว ขณะที่ตัวคนพูดแหย่แอบเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ อีกทั้งยังไม่ยี่หระกับทรายที่เปื้อนไปทั้งเท้าแม้แต่น้อย
เสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงถอนหายใจของฮันจูวอน อีดงชิกฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นของที่ถือติดตัวมาตลอดทางให้
ชายหนุ่มเปิดถุงกระดาษ ที่มาของกลิ่นวานิลาหอมหวานคือคัพเค้กหน้าตาธรรมดาชิ้นหนึ่ง ครีมสีขาวด้านบนออกจะบูดเบี้ยวเล็กน้อย พูดยากว่าเป็นเช่นนี้แต่แรกหรือเพราะประสบภัยระหว่างทาง จูวอนได้แต่จ้องมองมันอย่างบื้อใบ้ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากกว่าจะทำใจพูดออกมาได้
ทว่ายังไม่ทันได้พูด ราวกับว่าชั่วชีวิตนี้คนเชื่องช้าอย่างเขาไม่มีทางตามอีดงชิกทันตลอดไป อีกฝ่ายก็ยกมือป้องปากแล้วตะโกนสุดเสียงไปยังผืนทะเล แข่งกับคลื่นที่ซัดสาดอย่างไม่ยอมใคร
“จูวอนอา ขอบคุณที่เกิดมานะ!”
ราวกับว่าชีวิตสามสิบปีของจูวอนดำเนินมาเพียงเพื่อชั่วขณะนี้เท่านั้น
“จากนี้ไปก็มีความสุขให้มาก ๆ ล่ะ ฮันจูวอน!”
อีดงชิกหอบหายใจปนหัวเราะจนตัวโยน รอยยิ้มบางที่มอบให้เจ้าของวันเกิดคล้ายกับตอนที่เขาร้องเรียกจูวอนไว้ในวันนั้น ก่อนจะมอบคำอวยพรที่เรียบง่ายยิ่งกว่าความรักใดเขาเคยนึกฝันว่าจะได้รับในชีวิตนี้ ขณะนี้ก็เช่นกัน จูวอนอยากจะหัวเราะ อยากจะร่ำไห้ อยากจะกอดคนตรงหน้าไว้ให้แน่น อยากจะคุกเข่าลงแทบเท้า อยากจะ –
“นี่น่ะ” คนสูงวัยกว่าบุ้ยใบ้ไปที่คัพเค้กชิ้นนั้น พลางยกมือขึ้นเกาหูเก้อ ๆ “ผมไปยืมเตาบ้านจีฮวาอบเชียวนะ โดนไอ้เจ้าจีฮุนมันซักแทบตาย ที่จริงอยากจะปักเทียนสักเล่มอยู่เหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าสารวัตรฮันคงคิดว่าโอเวอร์ไป ก็เลย…”
อีดงชิกชะงัก เป็นครั้งแรกในเนิ่นนานที่เขาตกเป็นฝ่ายอึ้งจังงัง สาเหตุเพียงเพราะจูวอนที่น้ำตาคลอเบ้าจู่ ๆ ก็กัดขนมไปค่อนชิ้นในคำเดียว ทั้งยังเคี้ยวด้วยอารมณ์ที่บอกยากว่าโกรธหรือตั้งใจไม่ให้เหลือสักเสี้ยวกันแน่ ก่อนหน้านั้นเขาก็แค่ลองเดิมพันดู แม้แต้มต่อในใจจะโน้มเอียงไปทางตรงกันข้าม หากจูวอนจะพูดขอบคุณอย่างเคร่งขรึมและเก็บคัพเค้กวันเกิดกลับบ้านโดยไม่ชิมสักคำ นั่นก็เข้าใจได้อยู่แล้ว คุณชายน้อยอาจจะไม่ชอบของหวาน หรืออาจจะไม่ไว้ใจฝีมือคนที่ทำเป็นแต่รามยอนอย่างเขา
ถ้าเพียงแต่อีดงชิกจะรู้ว่าสาเหตุที่จูวอนรีบกินขนาดนั้น แท้จริงเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากให้เขาหยุดพูดได้แล้ว แต่ในเมื่อไม่อาจใช้วิธีที่อยากทำใจจะขาดได้ จูวอนจึงต้องเลือกหนทางให้ปากของตัวเองไม่ว่างแทน ด้วยเหตุนี้แก้มของเขาถึงได้ป่องเหมือนปลาปักเป้าที่กำลังโมโหขณะจัดการคัพเค้กจนหมดชิ้น
“หวังว่าจะพอกินได้นะครับ” อีดงชิกเอ่ยคล้ายหยั่งเชิง
“ผมชอบครับ” จูวอนตอบโดยไม่สบสายตา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือด้วยความเคยชิน “แต่ว่าทำมาให้แค่ชิ้นเดียวมันออกจะ…”
พอได้กลับมาเป็นฮันจูวอนผู้อวดดี ดูเหมือนเขาจะหายใจหายคอคล่องขึ้นนิดหน่อย แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเขาคิดไปเองทั้งนั้น เพราะคำพูดของอีกคนช่างเหลือรับประทาน
“พอดีผมเลือกชิ้นที่สวยที่สุดให้คนพิเศษที่สุดน่ะครับ”
อีดงชิกกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง จูวอนพ่นลมหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า ฝีเท้ามั่นคงย่ำลงบนทราย ทีละก้าว ทีละก้าว จนกระทั่งตามอีกฝ่ายทัน ชายเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีฟ้าของอีดงชิกสัมผัสมือของเขาแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตัดสินใช้ใช้ปลายนิ้วคว้าจับมันไว้ระหว่างเดินเคียงข้างกัน
จูวอนได้ยินเสียงหัวเราะหึข้างหู จากนั้นเนื้อผ้าก็ถูกแทนที่ด้วยฝ่ามือกร้านที่อบอุ่นจนเกือบร้อน นิ้วมือที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแตะอย่างหวั่นใจสอดประสานกับนิ้วมือของอีกคนที่เปี่ยมด้วยความหนักแน่น สัมผัสจากนิ้วหัวแม่มือที่ลูบไปบนผิวของเขาทำให้สะท้านไปทั้งตัว
“ผมไม่แน่ใจว่าสารวัตรฮันอยากให้เลี้ยงวันเกิดหรือเปล่า ก็เลยชิงทำแบบนี้ก่อน” อีดงชิกเอ่ย จับมือของพวกเขาแกว่งเล็กน้อยตามจังหวะเดิน จูวอนยังจำงานเลี้ยงวันเกิดของชาวมันยางได้ดี โดยเฉพาะตอนที่ต้องแบกอดีตคู่หูขึ้นหลังกลับบ้านทั้งที่ตัวเองช่วยดื่มไปไม่รู้กี่แก้วแล้ว แค่นั้นยังไม่แย่เท่าตอนที่เขาต้องอดทนกับมือไม้วุ่นวายของอีกฝ่าย คำขู่เข็ญว่าจะจับใส่กุญแจมือมีแต่ทำให้อีดงชิกได้ใจเข้าไปอีก
“ขอบคุณครับ” จูวอนตอบ แน่นอนว่าอย่างเคร่งขรึมเต็มที่
“แต่ถ้าสะดวกใจล่ะก็ สุดสัปดาห์นี้ที่ร้านเขียงเนื้อ –”
“ไว้จะคิดดูครับ”
อีดงชิกหัวเราะฮ่า ๆ “รู้จักเล่นตัวซะด้วย สารวัตรฮันน่ารักขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย”
จูวอนไม่ตอบ เขาบีบมืออีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว แม้ไม่รู้ว่าการทำเช่นนั้นจะส่งสัญญาณแบบใดให้เจ้าตัว แต่ถ้าไม่ออกแรงทำเช่นนั้น ความคิดของเขาก็จะวนกลับไปที่วิธีการปิดปากอีดงชิกให้สนิทอีกครั้ง
สักวันหนึ่ง จูวอนคิด แต่ ณ เวลานี้เขายินดีฟังเสียงร้องว่าอากาศดีจังเลย ทะเลสวยจังเลย และถ้อยคำเรื่อยเปื่อยของคนข้างตัว ขณะที่แอบผ่อนฝีเท้าและลดระยะก้าวเดิน ด้วยหวังว่าทางเดินนี้จะยาวขึ้นอีกสักหน่อย
“งั้นผมจะรอนะครับ สารวัตรฮัน” อีดงชิกหันมากล่าว เปล่งประกายท่ามกลางฉากหลังที่สะท้อนริ้วคลื่นสีเงินระยับ
ของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด ของพรรค์นั้นอาจเปลี่ยนไปได้ทุกปี
วันเกิดที่ดีที่สุด เรื่องนั้นคงไม่มีวันรู้จนกว่าครั้งสุดท้าย
แม้การเกิดเป็นฮันจูวอนจะไม่นับว่าดีที่สุด ทว่าก็ดีเหลือเกิน
“ครับ คุณอีดงชิก”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in