ชานยอลรู้สึกตัวอีกครั้งก็เห็นว่าตัวเองนอนเป็นผักอยู่ในห้องสีขาวโพลนแล้วจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งไหนได้อย่างสนิทใจเจ้าของแผ่นดินแห่งนี้ดูท่าทางไม่ค่อยเชื่อใจเขาสักเท่าไหร่ แม้ว่าตัวเขาเองจะยอมใช้ร่างกายเป็นโล่ชีวิตช่วยเหลืออีกฝ่ายไว้จากฝีมือพวกศัตรูก็ตาม
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นพร้อมกับการมาเยือนของชายสามคนชานยอลรู้จักแค่คนแรกที่มีส่วนสูงน้อยกว่าใครเพื่อนแต่อีกสองคนที่เดินขนาบซ้ายขวานั้นเขาไม่รู้จัก และไม่คิดอยากจะรู้จัก
“
“....”
“....
“
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่ถ้าให้ชานยอลเทียบขนาดเขากับอีกฝ่ายแล้วคนที่เอ่ยออกคำสั่งนี้คงเตี้ยกว่าเขาราวๆสักเกือบสองคืบได้มั้ง
แม้ว่าจะดูไม่เห็นด้วยที่ต้องทิ้งเจ้าชายให้อยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าภักดีต่อฝ่ายไหนเช่นเขาแต่สองคนนั้นก็ไม่กล้าขัดคำสั่งผู้นำ ค้อมตัวทำความเคารพก่อนถอยอออกจากห้องไปเสียงประตูปิดลงทันทีที่เจ้าชายออกคำสั่งกับผู้ติดตามคนตัวเล็กไม่พูดอะไรกับเขาแต่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูสีเดียวกับผนังผิงมันและกอดอกมองเขาเหมือนกำลังพยายามอ่านเขาให้ออก
“
ช่วงเวลาที่ชานยอลกำลังเอ่ยคำพูดทำลายความเงียบก็ถูกเสียงของอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาและคำถามที่หลุดออกจากริมฝีปากรูปหัวใจนั้นทำให้กล้ามเนื้อบริเวณมุมปากของเขาถูกดึงขึ้นช้าๆ
“แค่คนที่ขอลี้ภัยสงคราม”
“
ชานยอลยกมือขึ้นทั้งสองข้างสื่อความหมายว่ายอมแพ้ให้กะไว้แล้วว่าต้องไม่เชื่อกัน “จะไม่เชื่อกระหม่อมก็ได้แต่กระหม่อมช่วยชีวิตพระองค์ไว้”อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่อยากใช้ไม้นี้การทวงบุญคุณไม่ใช่วิสัยที่นักรบเช่นเขาทำกัน
“
“
“
ชานยอลถอนหายใจให้กับวาจาจิกกัดเหลือเกินของเจ้าชายผู้ปกครองดินแดนเล็กๆแห่งนี้ถึงแม้จะมีตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงจ้าวแผ่นดินแต่เด็กอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กชานยอลจะไม่ถือเอามาเป็นอารมณ์ให้ต้องหงุดหงิดก็แล้วกัน
“
“เราเจอสิ่งนี้บนตัวคุณนอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่”
เจ้าชายชูแท่งทรงกระบอกที่แบคฮยอนบอกว่ามันมีลักษณะเหมือนดาบของพวกเจไดขึ้นมาแล้วก็ได้เห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของคนที่บาดเจ็บรอยยิ้มที่ฉีกออกมากขึ้นแต่ดวงตากลับดุดันน่ากลัวจนเจ้าชายเองถึงกับเผลอถอยหลังด้วยความตกใจ
“ยึดของผู้มีบุญคุณไปแบบนี้ เป็นนิสัยที่ไม่น่ากระทำนะฝ่าบาท”
“ตอบคำถามเรามาก่อนว่านี่คือไลท์เซเบอร์รึเปล่า?”
“รู้จักมันเหรอ?” ชานยอลถาม
“คุณเป็นเจได?” เจ้าชายถามต่อด้วยใจที่สงบลงแม้อีกฝ่ายจะจับไม่ได้ว่าตัวเขานั้นยังไม่หายตกใจกับแววตาที่มองยามที่เขาถือไลท์เซเบอร์ออกมาให้ดู“เจไดคือกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อสันติภาพและความยุติธรรมใช่รึเปล่า? คุณ...แท้จริงแล้วที่เข้ามาช่วยเรามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
ถ้าในยามปกติชานยอลคงไม่ยิ้มออกมาในสถานการณ์แบบนี้แน่ๆ“ท่าทางคำถามมากมายนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาในการตอบพอสมควรนะกระหม่อม”
นัยยะของคำตอบคือคำถามที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของชายหนุ่มอีกทีหากผู้ปกครองตัวน้อยมีแก่ใจหยิบยื่นดอกไม้แม้เพียงดอกเดียวคำตอบของเขาก็คงเป็นช่อดอกไม้ที่พร้อมจะส่งคืนตอบแทนกลับไปให้เท่าทวีคูณแต่ถ้าอีกฝ่ายเมินเฉยคำตอบของเขาก็พร้อมจะเปลี่ยนกลับเหมือนกัน
“เรายินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยทุกคน....แต่คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?ในขณะที่คนบนดาวขอลี้ภัยสงครามออกไปแต่กลับมีใครก็ไม่รู้ขอลี้ภัยจากข้างนอกมาที่ดาวนี้?”
“ผมจะเป็นผู้ลี้ภัยที่มีประโยชน์ให้พระองค์” ชานยอลยืนยัน
การพบกันของทั้งสองคนเป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินกว่าจะตัดสินอะไรได้ เจ้าชายถอนหายใจก่อนยื่นอาวุธคืนกลับไปให้เจ้าของชานยอลรับมันมาและเปิดสวิตซ์ข้างแท่งโลหะตวัดมันเพียงครั้งเดียวไฟสีฟ้าก็ก่อตัวเป็นแท่งยาวสีฟ้าระยิบระยับนั้นสะกดสายตาเจ้าชายให้จ้องมองมันเป็นแบบนี้นี่เองเหรอไลท์เซเบอร์อาวุธขอเจได
“เพื่อตอบแทนที่พระองค์ให้ที่พักพิงคนไร้ที่ไปกระหม่อมจะช่วยพระองค์เอง”
เซฮุนไม่ได้รับการติดต่อกลับมาจากรุ่นพี่ชานยอลอีกเลยแต่หลังจากที่หายไปเกือบอาทิตย์พร้อมยานขับในเช้าของวันที่ห้าหรือหกหลังจากขาดการติดต่อไปเจ้ายานขับเคลื่อนก็ถูกพากลับมาจอดสงบนิ่งอยู่บนฐานจอดยานเมื่อสืบถามหาว่าใครเป็นผู้นำมาคืนก็ไม่มีใครรู้ เก่งนักล่ะในการปรากฏตัวแบบไม่ให้ใครสืบหาตามตัวได้
“คงจะเจอเป้าหมายที่ทำให้ต้องมาถึงที่นี่แล้วสินะ”
ความช่วยเหลือจากผู้ลี้ภัยที่ให้ชื่อกับเจ้าชายว่าชาร์ลนั้นมีประโยชน์ต่อพระองค์มากชาร์ลเป็นกองกำลังสำคัญในการต่อรองและสร้างความเชื่อมั่นด้านการทหารให้แก่พระองค์เจ้าชายคยองซูไม่ได้จะยกย่องว่าแค่มีชาร์ลเรื่องต่างๆก็ดูง่ายขึ้นแต่ว่าคนคนนั้นกลับได้สร้างความมั่นใจให้แก่เหล่ากองทัพที่ก่อนหน้านั้นเริ่มถอดใจและหมดหวังเมื่อกำลังใจจากทหารเริ่มแข็งแกร่งขึ้นมาทุกอย่างก็ดูจะง่ายขึ้นเป็นเท่าทวีคูณตัวพระองค์เองก็รู้สึกว่ายังพอจะมีหนทางให้การต่อรองเจรจากับฝ่ายปฏิวัติได้โดยที่ไม่ต้องใช้กำลัง
หากแต่ความคลางแคลงใจที่ต่อชายผู้ลี้ภัยนั้นก็ยังไม่หมดไปมันกลับเพิ่มพูนความอยากรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆแบคฮยอนบอกว่าอย่าไว้ใจคนคนนั้นมากนักซ้ำยังคอยย้ำเตือนสติอีกว่ามีผู้นำหลายคนต้องเสียใจเมื่อเขานั้นไว้ใจคนอื่นง่ายเกินไป
“เรารู้ดีแบคฮยอน เราเองก็จับตามองเขาอยู่ตลอดแถมยังมีเจ้าคอยย้ำเตือนเราสม่ำเสมอเช่นนี้อีก”
“ขออภัยกระหม่อมมิได้ตั้งใจสั่งสอนพระองค์”
“ช่างเถอะ...คอยเตือนเราบ่อยๆก็ดีแล้ว”ปลายเสียงถัดมาของเจ้าชายเปรยออกมาเบาหวิว “เราจะเข้าห้องเอกสารแล้วมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ”เจ้าชายหมุนตัวและเดินออกมาก่อนเสียงฝีเท้าดังแผ่วเบาตามทางเดินไปเรื่อยๆจนสุดที่หน้าห้องเอกสาร เปิดไปสู่พื้นที่ส่วนตัว
“ไง...เจ้าชาย”การเอ่ยทักเจ้าชายด้วยน้ำเสียงยียวนแบบทุ้มต่ำนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“ชาร์ล”
“กระหม่อมเอง...ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม?”ร่างสูงกว่ามองต่ำลงเพื่อที่จะได้สบตาคนที่คุยด้วย รอจนเจ้าชายเดินนำเข้าไปก่อนจึงตามเข้าไปแม้ไม่ได้บอกว่าได้แต่การไม่ปฏิเสธก็ไม่ต่างอะไรกับคำอนุญาตขานยอลจึงเดินตามเข้าไป
“ธุระอะไรที่ผู้ลี้ภัยเช่นเจ้าจะคุยกับเรา” เจ้าชายถาม
ชานยอลขมวดคิ้วกับวาจาแปลกประหลาดที่ฟังดูเหมือนได้กลับคุยกับเจ้าชายคนก่อนหน้าที่จะยอมให้ที่พักพิงแก่เขาอีกแล้ว“วันนี้ท่านถูกใครสะกิดเรื่องราวของผมขึ้นมารึเปล่า?” ชานยอลจ้องเขม็ง
“หากยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงข้าก็จะเรียกเจ้าเช่นนี้แหละผู้ลี้ภัย”
ชานยอลถอนหายใจ เป็นที่แน่ชัดว่าคงถูกใครเป่าหูมาอีกแน่ๆ“ช่างเถอะเรื่องนั้น...ผม...เอ่อ ...กระหม่อมไปตรวจสอบอะไรมานิดหน่อยเรื่องที่ท่าน เอ่อ....เอาเป็นว่าขอไม่ใช้ราชาศัพท์นะเรื่องที่ท่านเคยกังวลใจเกี่ยวกับคนในที่กำลังทำตัวเป็นคนสองฝั่งนั้นเริ่มมีเค้าแล้วล่ะ”
“รู้ตัวคนรึเปล่า?”
ชานยอลส่ายหัว “ยังไม่เจอหลักฐานระบุตัวตนหากแต่สัญชาตญาณผมบอกให้ระวังคนที่ชื่อแบคฮยอนนั่น”
“นี่แน่ะ...ท่านผู้ลี้ภัย” เจ้าชายเอ่ย ยกสองมือน้อยขึ้นมากุมกันไว้“เราไม่มีความเชื่อเรื่องพลังหรือสัญชาตญาณแบบท่านหรอกนะ เราเป็นผู้ปกครอง เรามองหาความจริงที่ยืนยันได้มากกว่าสัญชาตญาณอีกอย่าง...แบคฮยอนคือคนที่อยู่กับเรามานานกว่าท่านเขาคือคนที่ช่วยเหลือเราในยามก่อนไว้มากมาย”
ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายตีรื้นขึ้นมา เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเจ้าชายนั้นยังไม่เชื่อใจเขามากเท่าที่ตัวเขาเองยื่นมือช่วยเหลือแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่จิตใจเขาจะรู้สึกแปลกๆนี้สิ่งที่ทำให้ชานยอลต้องขมวดคิ้วใส่เจ้าชายและตัวเองคือน้ำเสียงแผ่วเบาที่ฟังดูเป็นทุกข์ของเจ้าชายในประโยคถัดไปมากกว่า
“แต่ถ้าหากท่านมีหลักฐานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
การเจรจาต่อรองกับฝ่ายปฏิวัติจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้หากการเจรจาเป็นไปด้วยดีเขาจะได้บัลลังก์คืนมาไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกว่าผู้ปกครองดาวหลักฐานลับที่ท่านผู้ลี้ภัยหายตัวไปหลายวันเพื่อรวบรวมมาให้ก็พอที่จะยื่นต่อรองได้แบบที่แทบจะไม่เสียผลประโยชน์เลยสักนิดเจ้าชายคยองซูไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่แบคฮยอนเขารู้ตัวดีว่าในเวลานี้ตัวเองมีจิตใจเอนเอียงไปที่ฝ่ายไหน แต่แค่ไม่อยากยอมรับมันความปลอดภัยขั้นสูงที่ได้รับมาตลอดช่วงสำคัญนี้ก็เป็นเพราะคนผู้นั้น เขาแทบไม่มีช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเองหรือใครเพียงลำพังสักนิดยกเว้นในช่วงเวลาเข้าบรรทมแม้จะอยู่ในห้องว่างเปล่าปราศจากผู้ปกป้องหากแต่เมื่อพ้นประตูนี้ไปกลับเรียงรายไปด้วยนักรบฝีมือดี
“ท่านยังไม่นอน?” ยังไม่ทันทีประตูจะปิดลงเสียงทักทายต่ำแบบเดิมที่เริ่มคุ้นชินก็ดังขึ้น
“อืม...ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะทำให้เรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตยามค่ำคืนไปแล้ว”
“เพราะความกังวลใจ ทำให้ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้”
เจ้าชายคยองซูไม่ตอบ เขาเงียบไปนานก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา “เรื่องแบคฮยอน...ท่านมีหลักฐานมาให้เรารึยัง?”
“ถ้าพระองค์เชื่อใจเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐาน” ชานยอลตอบ“กลับเข้าไปนอนเถิด พวกผู้ที่อยู่ฝั่งท่านกำลังทำหน้าที่กันอยู่ท่านเองก็ควรพักผ่อนเพื่อหน้าที่ในวันพรุ่งนี้”คลายมือจากการยืนกอดอกยื่นมันออกมาข้างหน้าผู้ที่ศักดิ์สูงกว่าตัวน้อยชานยอลปล่อยให้การกระทำที่ออกมาจากจิตสำนึกนั้นดำเนินไป มือยาวๆของเจ้าตัวที่ยกขึ้นมาเสมอใบหน้าเจ้าชายไล้มันไปตามโครงหน้าแต่มิได้สัมผัสถูกเนื้อตัว
“เข้าไปนอนเถอะ”
ร่างกายมันทำตามที่อีกฝ่ายบอกไปอัตโนมัติประตูปิดลงพร้อมกับอาการเสียศูนย์ที่เจ้าตัวไม่เคยได้แสดงออกมาเมื่อกี้จะมีใครเห็นมั้ย ในความมืดมิดของฟ้ายามค่ำคืนจะช่วยซ่อนอาการเมื่อกี้ได้รึเปล่า
ช่างเป็นค่ำคืนที่อยากให้กลางคืนมันดำมืดขึ้นจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลยอยากซ่อนความน่าอายนั้นไปกับความดำมืดของกลางคืนเสียจริง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in