เจ้าชายตื่นเช้ามาเพื่อพบว่าคนที่รออยู่หลังประตูคือแบคฮยอนที่จะทำหน้าที่ดูแลในระหว่างการประชุมซึ่งมันก็เป็นความถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้ว
“เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือกระหม่อม?”
“นิดหน่อยน่ะ”
“เจ้าชายคยองซู” แบคฮยอนเรียก “ใจของกระหม่อมภักดีต่อพระองค์ตั้งแต่วันที่ท่านผู้ปกครองคนก่อนได้มอบหน้าที่ไว้ให้แล้วนะพะย่ะค่ะ”เขาย้ำ
“ขอบใจนะแบคฮยอน”
การเจรจาของทั้งสองฝั่งแม้เป็นการพูดคุยกันภายในดาวแต่เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดข้อตกลงในภายหลังจึงได้เชิญผู้พิจารณากฎหมายจากกลุ่มสมาพันธ์ทั้งสามดาวมาด้วย
“มาครบแล้วใช่ไหมตัวแทนจากทั้งสอง” เสียงหนึ่งผู้เป็นตัวแทนเอ่ยถาม “จากที่กลุ่มของเสนาธิการโอได้ยื่นเรื่องถึงการพิจารณาความเหมาะสมของการขึ้นปกครองดาวของเจ้าชายโด คยองซู ว่าตัวพระองค์ยังไม่พร้อมที่จะขึ้นปกครองในตอนนี้ตัวพระองค์มีคำพูดใดจะกล่าวแย้งรึไม่” ผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งตรงการที่ประชุมเอ่ยถาม
“ก่อนที่เราจะแย้งความคิดนั้น เราอยากรู้เหตุผลที่ฝั่งเสนาธิการโอบอกว่าทำไมเราถึงไม่เหมาะสม”
หลังจากนั้นชายร่างสูงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้น “กระหม่อมได้ยื่นเหตุผลหลักๆสามข้อไว้หนึ่งคือเจ้าชายคยองซูยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอจะตัดสินใจดำเนินการทางการเมืองยังขาดภาวะการเป็นผู้นำอยู่มาก เกรงว่าหากเมื่อขึ้นปกครองไปแล้วการตัดสินใจแบบไร้ภาวะผู้นำนั้นจะส่งผลร้ายต่อดาวต่อพลเมืองได้”
ใบหน้าเสนาธิการโอมีความยิ้มเยาะออกมาขึ้นเรื่อยๆยามที่เอ่ยถึงข้อกล่าวหานั้น “สองในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เจ้าชายคยองซูขึ้นปกครองพระองค์ไม่สามารถจัดการปัญหาการลุกล้ำเขตแดนในพื้นที่พิพาทได้ ซ้ำยังทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปด้วยเช่นกัน”
“สามสืบเนื่องจากข้อที่สองทำให้พระองค์ไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากพลเมืองกลับมาได้มากเท่าที่ควรพระองค์ทำให้พลเมืองต้องยื่นเรื่องขอลี้ภัยสงครามไปยังดาวข้างเคียง มันไม่ได้ส่งผลแค่ที่นี่เท่านั้นยังเป็นการผลักภาระให้กับดาวร่วมสมาพันธ์ด้วย”
คิดไว้แล้วว่าไม่มีทางที่คนพวกนี้จะไม่ยกเหตุผลที่แสดงต่อความเดือดร้อนไปยังดาวข้างเคียงข้อสุดท้ายที่ยกขึ้นมาเป็นประเด็นดูเหมือนจะได้รับความเห็นด้วยจากคนของสมาพันธ์แต่กระนั้นเขาก็คิดคำตอบไว้แล้วเช่นกัน
เจ้าชายยืนขึ้นรัศมีของผู้ปกครองแผ่ซ่านออกมาราวกับจะลบคำสบประมาทที่ต่อว่าว่าตัวเพราะองค์นั้นไม่คู่ควรแก่บัลลังก์ ”ในข้อกล่าวหาที่หนึ่ง เราเรียนรู้ทุกอย่างมาจากบิดาเรา เราเห็นทุกความเป็นไปของพลเมืองบนดาวเล็กๆดวงนี้ ตลอดเวลาก่อนที่ผู้ปกครองคนก่อนจะปลดระวางตัวเองก็เป็นเราที่ช่วยในการตัดสินใจในงานสำคัญมาหลายอย่างดังเรื่องการเปิดดาวการเป็นตัวแทนสมาพันธ์การปกครองสามดาวที่ดำรงมาตั้งแต่ก่อนได้อำนาจ พวกท่านก็เห็น”
บ่าที่เล็กลงเมื่ออยู่ตามลำพัง ตอนนี้มันกลับยิ่งใหญ่เสียจนสามารถแบกรับเรื่องเหล่านั้นได้ “ข้อสอง เรื่องราวบนเขตพิพาทนั้นมีมาก่อนที่เราจะเกิดเสียอีกมันไม่ได้เกิดในยุคสมัยเรา เราไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้นมาการแก้ไขข้อพิพาทที่กินระยะเวลายาวนานนี้เราเคยบอกพวกท่านไปแล้วท่านเสนาฯว่าต้องถอนกำลังออกมา” เจ้าชายสอดส่ายมองไปทั่ว “เราเขียนข้อเสนอเรื่องการถอนกำลัง การทำสนธิสัญญาและการเสนอการแบ่งเขตอย่างเท่าเทียมกันในที่ประชุมก่อนหน้านั้นแล้วแต่ก็เป็นพวกท่านเองที่ไม่เห็นด้วย”
“พวกระหม่อมไม่เห็นด้วยที่จะต้องแบ่งส่วนที่เป็นของคนบนดาวให้ใคร”
“เพราะฉะนั้นข้อสามที่สืบเนื่องจากข้อที่แล้วจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้เขียนคำร้องขอให้มีการลี้ภัยออกไป” เจ้าชายสูดลมหายใจ “เราเกรงว่าหากมีการปะทะกันไปเรื่อยๆเช่นนี้ผลเสียจะไปตกอยู่ที่พลเมืองและการขอให้มีการลี้ภัยออกไปได้นั้นก็อยู่ในกฎหายที่ทำร่วมกันกับสมาพันธ์”
เสียงซุบซิบที่จับใจความไม่ได้ดังมาจากกลุ่มผู้พิจารณา การโต้แย้งของพระองค์ดูเหมือนจะทำให้ฝ่ายเสนาธิการฯเริ่มหุบยิ้มลงเรื่อยๆใบหน้าที่เคยแสดงว่าตนอยู่เหนือพระองค์เริ่มหายไปแทนด้วยความทะมึนทึงเขียวครึ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
ตัวแทนผู้ตัดสินกระแอมเรียกให้ทั้งหมดสนใจก่อนที่จะเอ่ยพิจารณา“ว่าด้วยข้อกล่าวหาที่ฝั่งเสนาธิการโอยื่นเรื่องให้มีการระงับและไตร่ตรองถึงความสารถและความจำเป็นในการปกครองของเจ้าชายคยองซูทางสมาพันธ์ได้พิจารณาจากเหตุผลและหลักฐานแล้ว”
นับเป็นช่วงเวลาที่ลุ้นสุดตัวของเจ้าชาย มือที่กุมไว้แน่นนั้นเริ่มสั่นพระองค์ทุ่มเทกับมันมาก หากว่าผลที่ได้มันไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ทุกอย่างที่ตั้งใจมาก็จบ “ขอพลังทั้งหมดจงสถิตอยู่กับพระองค์”เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมกับมือใหญ่ที่ยื่นมากุมไว้ทำให้เจ้าชายรีบหันกลับไปมอง
“ชาร์ล”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ข้างกายพระองค์เปลี่ยนไป ไม่ใช่แบคฮยอนที่อยู่ข้างๆแต่กลับเป็นคนที่มองหาตั้งแต่เช้าแค่คำพูดเดียวก็ดูเหมือนในใจของเจ้าชายจะสงบลงมากนี่ก็เป็นเพราะพลังของเจไดอย่างที่เขาบอกกันรึเปล่านะ?
“ให้ยกฟ้อง และคืนอำนาจการปกครองให้แก่เจ้าชาย โด คยองซู”
“ดีใจด้วยฝ่าบาท”
“ขอบใจนะแบคฮยอน” ขอบใจจริงๆ
“กระหม่อมมีเรื่องจะสารภาพ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเสนาธิการโอล่ะก็ไม่ต้องแล้วนะ” ใบหน้ายิ้มแย้มที่น้อยครั้งจะได้เห็นถูกส่งมาให้ผู้รับใช้“เจ้าคิดว่าเราจะไม่รู้อะไรเลยเหรอ?”
“แล้วทำไมถึงยังเก็บกระหม่อมไว้” แถมยังให้อยู่ข้างกายพระองค์อีก
ยิ้มกรุณที่ถูกส่งมอบให้ผู้ที่ตำแหน่งต่ำกว่าเป็นดั่งปณิธานที่เกิดขึ้นในใจผู้ที่ในอดีตได้ทำตัวเป็นคนสองฝั่ง“เราเห็นเจ้ามาตั้งแต่เรายังเด็ก มันเป็นความผูกพันนะแบคฮยอนเจ้าเป็นมิตรสหายและที่พักพิงเพียงหนึ่งเดียวในตอนนั้น และข้าก็หวังจะให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป”ว่าจะจังรักภักดีกับใครไปตลอดชีวิตที่เหลือจากนี้
“ฮึ!! เมื่อกี้บอกกระหม่อมว่าตอนนั้นแสดงว่าตอนนี้ฝ่าบาทก็ไม่ได้มีหม่อมฉันเพียงลำพังสินะกระหม่อม”
“ก็คงงั้น”
ผู้ที่ตกเป็นประเด็นยืนถัดไปไม่ไกลจากนายบ่าวสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ แบคฮยอนมองไปที่ชายคนนั้นแล้วหันกลับมาทำความเคารพกับผู้นำยอมถอยออกไปเหลือไว้แค่สองคนที่ดูเหมือนอยากจะคุยกันตามลำพัง
“ท่านผู้ลี้ภัย”
ชานยอลมองตามร่างเล็กนั้นตั้งแต่บุคคลที่สามเดินออกไปแล้ว “เมื่อกี้ขอบใจนะ”ร่างสูงพยักหน้ารับคำ
“แล้วฝ่าบาทจะทำอย่างไรต่อ”
“เรียกว่าท่านก็ได้ถ้ารู้สึกไม่ชินปาก”
“ช่างเถอะ...กระหม่อมจะพยายาม”ชานยอลหมายถึงพยายามที่จะไม่หลุดทำตัวไร้มารยาทใส่น่ะนะ “แม้จะชนะแต่ก็ใช่ว่าพวกนั้นจะยอมถอยง่ายๆ”
“เรื่องนั้นเรารู้” แม้สิ่งที่รอตรงหน้าจะไม่ใช่ความสุขที่ฝันหาแต่ตอนนี้สิ่งที่ต่อสู้มานานมันได้สร้างความปิติให้เขานี่หน่าหากเขาจะยิ้มบ้างมันก็เป็นเรื่องสมควรที่จะทำ “อยากจะอยู่ที่นี่อีกมั้ย?”
ผู้ปกครองพูดเข้าเรื่อง “ถ้าหากอยู่เกินสามปีเราจะให้การรับรองท่านว่าเป็นคนของเรา” น้ำเสียงยามที่พูดคำว่าคนของเราในหมายหมายของโด คยองซูนั้นเรียกยิ้มจากคนตัวสูงออกมา
“หากไม่รับน้ำใจก็คงไม่ดี”
“หากไม่รับน้ำใจเราคงเสียใจ”
“งั้น...กระหม่อมขอรับความใจดีของพระองค์ไว้ทั้งหมดเลยแล้วกัน”
End.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in