ชานยอลบังคับยานบินบังคับมือที่ยืมมาจากเซฮุนบินออกมานอกเขตเมืองและบังคับมันให้ร่อนลงจอดในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองสักหน่อยแต่สภาพบรรยากาศนอกเมืองนี้ก็ไม่ต่างกับในเมืองสักเท่าไหร่ แม้จะได้เห็นผู้คนบ้างประปรายแต่ก็ดูสงบเสงี่ยมเกินกว่าจะเป็นพลเมืองที่ออกมาเพื่อเดินชื่นชมหรือเพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านไปเฉยๆทุกคนดูรีบเร่งเหมือนจะรีบทำธุระของตัวเองให้เสร็จๆแม้แต่คนแก่หรือเด็กก็รีบก้าวเดิน
นี่มันไม่ปกติ
ชานยอลสังหรณ์ใจกับอะไรบางอย่าง ที่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออก บรรยากาศแบบนี้ในขณะที่เกิดการแตกแยกภายในและมีผู้ปกครองที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่การสร้างเสถียรภาพในเกิดกับดาวของตนแค่นี้ไม่น่าจะทำให้เกิดภาวะนำไปสู่สงครามได้ง่ายๆหากไม่ได้มีปัจจัยภายนอกที่ส่งเสริมขึ้นมา
ชายหนุ่มทิ้งยานบังคับไว้แล้วเดินออกมาจากพื้นที่เรื่อยๆเขาไม่รู้หรอกว่ากำลังเดินไปที่ไหนมีเพียงสัญชาตญาณของนักรบนักทหารเท่านั้นที่คอยบังคับเท้าทั้งสองข้างให้เดินไป มันไกลออกจากจุดจอดยานไปเรื่อยยิ่งไกลก็ยิ่งไร้ผู้คน
หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะไม่นำตัวเองมาสู่เรื่องราวที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวเข้าหรอกนะ
แล้วก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่คำขอร้องในใจของชายหนุ่มถูกเมินเฉย ประสาทหูที่ไวต่อเสียงแม้ห่างไกลเป็นเมตรแม้เสียงนั้นจะเจือจางแผ่นเบาเขาก็ได้ยินมัน เป็นข้อดีของคนบนดาวเขาเสียงที่ชายหนุ่มได้ยินเห็นจะเป็นเสียงของการสู้รบกันของกลุ่มคนพวกหนึ่งกับกลุ่มคนอีกพวกหนึ่งชานยอลบอกกับตัวเองในใจในขณะที่ขายาวๆก็ก้าวถี่เร็วขึ้นเพื่อให้ไปถึงต้นเหตุของเสียงที่มาว่าเขาแค่ไปสังเกตการณ์ไม่ได้เข้าไปช่วยหรือจะยื่นมือไปสอดเรื่องวิวาทของใคร
ตู้ม!!!!
เสียงระเบิดตู้มใหญ่ก่อนจะมาพร้อมแสงวาบและการระเบิดเป็นจุลของยานบินบังคับที่อยู่ด้านหลังพวกที่ยืนสู้รบกันภาพกลุ่มของคนที่ถือปืนทั้งสองฝ่ายกำลังยิงใส่กัน
“ไป!!แบคฮยอน พาเจ้าชายหนีไปก่อน!!”
เจ้าชายเหรอ?
“ไม่!! เราไม่ไป นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงใยเรา สู้ไปแบคฮยอนหากเจ้าละทิ้งหน้าที่ตรงหน้าและเมินเฉยต่อคำสั่งเราเราจะถือว่าเจ้ามิใช่คนของเราอีกต่อไป”
ปังๆๆ!!!
เป็นภาพที่น่าขัดใจเสียจริง เห็นๆอยู่ว่าฝ่ายไหนน่าจะเป็นฝ่ายแพ้กลุ่มของเจ้าชายหนุ่มนั่นมีเพียงแค่หยิบมือแถมฝีมือยังดูว่าจะไม่เอาไหนอีกด้วยส่วนอีกฝ่ายนั้นก็เหมือนขนกำลังทั้งกองรบมาสู้ด้วยเกือบทั้งกอง ช่างเป็นภาพที่น่าขัดหูขัดตาเสียจริงทั้งๆที่คิดแล้วว่าต้องแพ้ ทั้งๆที่คิดแล้วว่าจุดจบสุดท้ายของเจ้าชายนั่นคงจะเป็นโลกอีกภพแน่นอนและทั้งๆที่ท่องไว้ตลอดว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวไม่เข้าเรื่องแต่ขาของเขามันก็ขยับไปเอง
มันวิ่งเข้าสู่สนามรบขนาดย่อมราวกับว่าไม่ได้ยินคำสั่งของสมองเลยทุกอย่างที่เขาทำดูเหมือนจะหลุดจากการควบคุม เขาคว้าปืนจากศพของทหารอีกฝั่งได้ก็กระหน่ำยิงแบบไม่ทันให้ฝ่ายขึ้นนำตั้งตัวทหารฝั่งตรงข้ามเจ้าชายล้มตายระเนระนาดราวกับโดมิโนที่ถูกผลักให้ล้มชานยอลยังคงการกระทำอุกอาจด้วยการรัวปืนไม่ยั้งใส่ฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับเดินไปเอาตัวเองบังตัวเจ้าชายจากดินแดนนี้ไว้ยอมเป็นโล่ที่มีชีวิตเพื่อป้องกันกระสุนให้อีกฝ่าย
การกระทำที่บ้าบิ่น เกินกว่าชานยอลในยามปกติคิดจะทำ
“เจ้า...เป็นใคร?”
“ไว้ถามทีหลังได้ไหมเจ้าชาย เห็นมั้ยว่ากระหม่อมไม่ว่างตอบ”
เพียงแค่คนนี้เข้ามาช่วยจากที่ดูเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่าก็พอที่จะต้านทานกองรบนั้นได้ชายร่างสูงคนนี้เก่งฝีมือเขาอาจจะเทียบเท่าหัวหน้ากองรบอีกฝั่งได้รึไม่ก็อาจจะเหนือกว่านั้น
“ชิ!!ส่งปืนที่ท่านถือมาให้ข้า”ชานยอลทิ้งปืนที่ไร้กระสุนลงแล้วหันมาเจรจากับคนที่ตัวเองยืนกำบังให้
“ว่าไงนะ?”
“ก็ท่านไม่ได้ใช้มันมิใช่รึนอกจากถือข่มขวัญศัตรูแล้วข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าชายจะได้ยิงใครสักคน”
“เจ้า!!!”
“เร็วสิ!!!”
เจ้าชายโยนปืนให้อีกคนอย่างหัวเสียอยากจะเอาปืนนั่นยิงเจาะกะบาลคนตัวสูงกว่าให้กระจุยเหมือนที่เขาทำกับทหารของอีกฝ่ายอยากหลงลืมว่าเขาเป็นผู้ช่วยเหลือแล้วกระหน่ำยิงให้ร่างกายอีกฝ่ายเป็นผุยผงคำสบประมาทที่ไม่เคยได้ยินจากใครเขากลับได้รับมันจากชายคนนี้ช่างเป็นความคับแค้นใจยิ่งนัก
“ยานบินท่านอยู่ไหน?”
“ถามทำไม?”
“หนีอย่างไรเล่า!!ขนมาสู้เป็นกองทัพแบบนี้ต่อให้มีคนเก่งมาช่วยอีกสิบคนก็ไม่ไหวหรอกต้องหนีเอาตัวรอดก่อน”
“เราจะไม่หนี”
อ๊ากกกกกกก!!!
สิ้นคำดึงดันของเจ้าชายบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นโล่ให้เขาก็ถูกยิงเข้าที่ต้นแขนอย่างจังชานยองร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เจ็บจริงๆให้ตายสิไอ้ปืนเลเซอร์บ้านี่เจ็บกว่าถูกปืนกระสุนเสียอีก
“ท่าน!!!”
เสียงร้องอารามตกใจของเจ้าชายดังพอๆกับเสียงหวีดร้องของคนที่บาดเจ็บ“คราวนี้จะหนีได้รึยัง ถ้าไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงชีวิตทหารของพระองค์บ้างเถอะ”
คำพูดจิกกัดนั้นช่วยเตือนสติที่คิดจะเอาชนะของเจ้าชายขึ้นมามองไปรอบๆเห็นทหารของตัวเองกำลังสู้สุดใจขาดดิ้นเพียงเพราะเขาที่ไม่ยอมหนีเพื่อเอาตัวรอด ดึงดันที่จะยอมหักไม่ยอมงอ
“ถอยก่อน!!!แบคฮยอน!!”
ผู้รับใช้คนสนิทรับคำสั่งล่าถอยตามคำสั่งยิงปืนใส่อีกฝ่ายเพื่อถ่วงเวลาให้ทุกคนรีบกลับไปที่ยานของตน พวกมันก็ยิงส่งตามหลังมาไม่ลดละจนสุดเขตพื้นที่พิพาทปลายเท้าของกลุ่มคนอีกฝ่ายนั้นยังคงอยู่ในส่วนเขตต่อสู้แต่ก็หาได้กล้าล้ำเส้นเข้ามาไม่เพราะถ้าถูกล้ำเส้นเข้ามามันก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเจ้าชายที่จะเอาเรื่องกับกองกำลังของอีกฝ่ายได้อาจจะนำไปสู่การขอยึดพื้นที่พิพาทนั้นไว้เป็นของตนเองได้อีกด้วย
การยอมเสียพื้นที่ไปให้อีกฝ่ายใครละจะยอม
“แบคฮยอนตามหมอที”
“เดี๋ยวนี้แหละกระหม่อม”
ทันทีที่ขึ้นยานได้ร่างสูงใหญ่นั้นก็สลบไปเพราะพิษบาดแผลเจ้าชายส่งต่อผู้บาดเจ็บให้กับหมอประจำดาวรักษาแม้แผลไม่ใกล้จุดสำคัญแต่ก็เป็นบาดแผลใหญ่
แผ่นหลังของเจ้าชายคยองซูนั้นยามที่ได้จ้องมองจากข้างหลังตอนอยู่เพียงลำพังช่างแคบและเล็กเกินกว่าจะแบกรับปัญหาที่หนักหนานี้ได้มีเพียงผู้รับใช้เช่นเขาที่ได้เห็นมันหดเล็กลงประจำเขาเป็นทหารที่มารับใช้ในสมัยที่ผู้ปกครองคนก่อนเริ่มปล่อยวางอำนาจและพยายามสั่งสอนบุตรชายเพื่อจะส่งต่อให้ได้ขึ้นปกครองแล้วได้เห็นทุกการกระทำของเจ้าชายมาตลอดเป็นดังเช่นผู้นำคนก่อน เป็นผู้นำที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ฉลาดแต่ก็ยังเด็กนักสำหรับสงครามบัลลังก์เลือดนี่
“ขออนุญาตกระหม่อม”
“...ว่าไง?”
“เราเจอสิ่งนี้บนตัวของชายปริศนานั่น”
แบคฮยอนโค้งต่ำพร้อมทั้งยื่นวัตถุทรงกระบอกนั้นมาตรงหน้าผู้ปกครองเจ้าชายหันมองสิ่งที่อยู่บนมือคนรับใช้สนิท หยิบมันขึ้นมาพิจารณาเขาไม่เคยเห็นมันจากที่ไหนมันดูคล้ายจะเป็นเพียงแค่แท่งเหล็กที่มีรูปร่างสวยงามธรรมดา เพียงแต่ความรู้สึกยามจับแท่งเหล็กนั้นมันไม่ธรรมดาก็เท่านั้น
“มันคืออะไร?”
“ไม่แน่ชัดกระหม่อม แต่มันมีอย่างหนึ่งที่กระหม่อมนึกออก”
แบคฮยอนมองหน้าคนที่ยืนขมวดคิ้วสงสัยมาให้ก่อนเอ่ยตอบความค้างคาใจอีกฝ่าย“มันเหมือนไลท์เซเบอร์”
“ไลท์เซเบอร์คืออะไร?”
“เป็นอาวุธกระหม่อม”
“ไม่เห็นเคยได้ยิน”
“อาวุธของกลุ่มคนพวกหนึ่งที่ตอนนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ายังมีอยู่หรือสาบสูญไปแล้ว”แบคฮยอนดินชักนำผู้ปกครองให้ออกมาคุยไกลหูไกลตาผู้คนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าการพูดเรื่องนี้จะส่งผลดีรึเสียให้กับผู้ที่ได้ยินได้ฟัง
“นามกลุ่มคนผู้นั้นคือเจได พวกเขาใช้พลังในการต่อสู้และนั่นก็คืออาวุธ ผู้ที่ไม่ใช่เจไดก็จะเปิดมันไม่ได้มีแต่ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนพลังแล้วเท่านั้นที่จะใช้ไลท์เซเบอร์ได้”ผู้รับใช้ชี้ไปที่ปุ่มเล็กๆที่อยู่ข้างตัววัตถุทรงกระบอก“นั่นคงเป็นสวิตซ์เปิดปิดดาบ”
คยองซูกดมันแต่ก็ไม่เกิดสิ่งใดปรากฏขึ้นมา “ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ไลท์เซเบอร์ก็ได้กระหม่อมอาจจะเป็นเพียงของที่ทำเหมือนขึ้นมา หรือถ้าเป็นของจริงก็คงมีแต่ชายผู้นั้นที่ใช้มันได้”
ทำไมพลเมืองดีคนนั้นถึงได้มีพิรุธและความลับเยอะแยะมากมายขนาดนี้“ตัวตนเขาก็สืบหาไม่ได้ใช่ไหม?”
“ไม่เชิงครับ ถัดไปจากเขตพิพาทราวเกือบกิโลเมตรเราเจอยานบินบังคับจอดอยู่ตรวจสอบผู้ครอบครองแล้วคือโอเซฮุน หลานชายห่างๆของเสนาธิการโอ”
“เสนาธิการโอสมาชิกของกลุ่มเปลี่ยนแปลงระบอบเหรอ?”
“ใช่กระหม่อม”
“หรือเขาจะเป็นคนของทหารที่ส่งมาสืบข่าวฝั่งนี้”
“มองในแง่นั้นไว้ก่อนก็ไม่เสียหายกระหม่อมให้ย้ายเขาไปรักษาที่ห้องขาวแล้ว ที่นั่นจะทำให้เราจับตาดูเขาง่ายขึ้น”
เจ้าชายพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้นแบคฮยอนโค้งคำนับแล้วเดินกลับไปจากทางที่เดินผ่านมา มีสายตาจากผู้ปกครองส่งไปจนสุดทางเจ้าชายคยองซูเริ่มเดินอีกครั้งเขาผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเวลาที่ต้องขบคิดอะไรไปด้วยการเดินทางไปตรวจสอบเขตพิพาทนั้นไม่มีใครรู้มากไปกว่าคนสนิทข้างกายเจ้าตัวสองสามคนกับนายทหารที่ร่วมเดินทางไปด้วยถึงแม้จะเตรียมกองกำลังไว้ส่วนหนึ่งเพื่อที่หากว่ามีการปะทะกันจะได้ไม่เพรี้ยงพร้ำมากนักแต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นกลับมีทหารมากมายจากอีกฝั่งเตรียมกำลังคนรอต้อนรับหมายเอาชีวิตเขาไว้ก่อนแล้ว
หนอนบ่อนไส้
ในกลุ่มคนที่สนับสนุนเขาต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่นอน ศึกในที่ว่าน่ากลัวยังไม่เท่าคนที่ไว้ใจที่บอกว่าจะเคียงข้าง ปกป้อง สนับสนุนหักหลังทำตัวเป็นคนสองฝั่ง
เกมส์การเมืองช่างน่ากลัวและอันตรายยิ่งกว่าการสู้รบเพื่อปกป้องดินแดนจากพวกจักรวรรดิหรือพวกช่วงชิงดินแดนเสียอีก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in