แผ่นหลังกว้างที่เคยพักพิง…สั่นเทา
รอยยิ้มที่เคยสดใส…แห้งเหือด
ความอบอุ่นของมือหนา…เย็น…
เย็น…
ราวกับคนผู้นี้ได้ขังตัวเองอยู่ในห้องสีเทาที่ปิดกั้งมิให้แสงแดดเล็ดลอดเข้าไป
มิให้…เสียง…ภาพ…หรือสิ่งใดเข้าไปได้
หนาวไหม…เหงาหรือเปล่า…
มันดีแล้วเหรอที่ปิดกั้นตัวเอง…
ตอบมาสิ…ถ้าไม่ตอบ
จะขอพังมันเข้าไป…
มือที่กำแน่นข้างกายของผู้ที่อยู่นอกห้องสีเทายกขึ้นมาทาบลงที่ข้างแก้มของบุคคลตรงหน้า ก่อนจะออกแรงโอบใบหน้าที่อยู่สูงกว่าหน่อยนั้นด้วยสองมือและดึงเข้ามาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์ จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าหม่นที่บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ในแววตาของเขาเชื่อว่าคงมีภาพของอีกคนสะท้อนอยู่อย่างชัดเจน
มันเป็นความกล้า…ที่เขาเคยทิ้งไปนานแล้ว
ความกล้า…ที่จะจ้องมองอีกคนด้วยความตั้งใจ
“กล้าจ้องตากูแล้วพูดว่าไม่เป็นไรได้หรือเปล่า”
เสียงนุ่มที่กดต่ำมากกว่าปกติเอ่ยประโยคกึ่งคำถามออกมา ใบหน้าดูนิ่งเรียบผิดกับความว้าวุ่นใจที่มี
ไม่ได้ต้องการจะรู้อะไร…สิ่งที่ต้องการมีเพียง…
อยากเป็นคนที่มึงยอมแสดงด้านอ่อนแอให้เห็น…
เป็นคนที่มึงจะนึกถึง….
เป็นคนที่มึงพึ่งพิงได้…
“พูดออกมาสิ..”
“………”
ชายหนุ่มที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่แรกยังคงไม่พูดอะไร มีเพียงสายตาที่ทอดมองกลับมาที่เปลี่ยนไป…ราวกับเจ้าตัวพยายามอดกลั่นบางอย่างที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา แต่ในชั่วอึดใจสายตานั่นก็หลบเลี่ยงหนีเขาไป
“มะม่วง”
“ขอโทษ…”
คำพูดที่หลุดออกมาไม่ใช้คำตอบที่เขาต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่อีกคนตั้งใจจะให้หมายความตามคำ เขาดูออก… คนคนนี้ยังคงพยายามหนี…หนีไปพร้อมกับการแบกรับความหนักอึงของความวุ่นวาย…ความกังวล…ความเศร้า…
“พอเถอะนะ”
ทิกเกอร์ยิ้มบางออกมาและค่อย ๆ ลูบที่ข้างแก้มขึ้นไปถึงกลุ่มผมของน้ำตาลเข้มอีกคน เมื่อทำเช่นนั้น หน้าที่เบือนไปน้อย ๆ พร้อมกับสายตานั้นก็หันกลับมาทางเขาอีกครั้ง จากนั้นน้ำใสก็เริ่มโผล่พ้นขอบตาออกมา ปากได้รูปเม้มแน่น แล้วหัวหนัก ๆ ของเจ้าตัวก็โค้งลงมาก้มซบที่ไหล่ของเขาเบา ๆ
“ขออยู่อย่างนี้สักพัก…แค่นี้…แค่พักเดียว”
“อืม…….”
เสียงทุ้มสั่นเครือพร้อมกับร่างกายที่ดูอ่อนยวบ น้ำหนักส่วนหนึ่งของเจ้าตัวทิ้งลงมาให้เขาได้ช่วยแบกรับ เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ และคลี่ยิ้มเมื่อรับรู้ว่าตนได้ช่วยแบ่งเบาภาระของอีกคน แต่…แค่นี้มันน้อยไป เขารู้ดีว่ามันไม่พอที่จะทำให้อีกคนกลับมายิ้มออกอีกครั้ง
“แค่นี้…ไม่พอหรอกมั้ง”
“……….”
“อยากได้อะไรอีก บอกมาสิ”
“……….”
ร่างสูงที่ยังคงเอาหัวซุกเขาอยู่ไม่แม้แต่จะพูดหรือเงยหน้ากลับขึ้นมา มีเพียงกลุ่มผมที่วูบไหวเบา ๆ คนที่เป็นเสาค้ำจึงได้แต่ใช้มือของเขาลูบหัวอีกคนอย่างอย่างเบามือ แต่ไม่นานนักเจ้าตัวก็เริ่มขยับเขยื่อนพร้อมกับแขนแกร่งที่วาดออกฉวยเอาร่างของเขาเข้าไปกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้อ…ให้ตายเถอะ”
“…..กอดนะ”
คนที่อยู่ในอ้อมกอดแปลกใจไม่น้อย แต่เมื่อคำพูดของอีกคนกรอกเข้าหูร่างกายก็ผ่อนลงและยอมโอนอ่อนให้อีกคนกอดแต่โดยดี
หากเป็นในเวลาปกติเขาคงไม่ยอมให้เพื่อนคนนี้กอดเขา หากแต่ตั้งแต่ที่ถามว่าเจ้าตัวอยากได้อะไรอีกเขาก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว…ว่าจะให้ทุกอย่าง
“เฮ้อ ให้ตายสิ มาขอหลังกอดไปแล้วเนี่ยนะ”
สุดท้ายก็ได้แต่ระบายยิ้มและถอนหายใจเบา ๆ ยกแขนขึ้นกอดอีกคนกลับหลวม ๆ พร้อมลูบหลังมันไปมาพลางพูดปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าครั้งใด ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกนะ…ไม่เป็นไร…ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว…”
“……..”
“กูอยู่ตรงนี้นะ ไม่ไปไหน…อยู่อย่างนี้แหละ ไม่ต้องพูดก็ได้…แต่ฟังกูและรับรู้เถอะนะ”
พร่ำบอกคำพูดที่มีความหมายคล้ายกันซ้ำไปซ้ำมาราวกับพยายามย้ำปณิธานที่เคยบอกกับอีกคนไว้ตั้งแต่วันนั้น
“…..ขอโทษนะ”
“พอแล้ว…ไม่มีอะไรต้องขอโทษ”
มะม่วงพูดเสียงอู้อี้และกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น เจ้าตัวคงไม่ใช่แค่รู้สึกแย่ที่ต้องแสดงสภาพอ่อนแอของตนต่อหน้าเขาเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะคำห้ามที่เขาเคยประกาศไว้เช่นกัน…
ไม่นานในชั่วอึดใจชายหนุ่มก็พูดคำพูดที่ทำให้เขาละทิ้งความคิดกังวลแทนอีกคนไปและทำให้เขายิ้มออกอีกครั้ง
“ขอบคุณ…”
“ดีมาก…เก่งมาก เสร็จแล้วเดี๋ยวกูพาไปกินบิงซู!”
“….เอามะม่วงนะ เลี้ยงด้วย”
“คร้าบ ๆ “
บทสนทนาที่ดูราบเรียบแต่ดูมีชีวิตชีวาทำให้ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง พวกเขายังคงโอบกอดกัน พยายามส่งผ่านอุณหภูมิร่ายกายพร้อมกับความรู้สึกของกันและกัน ความอบอุ่น…ความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้สามารถปลดเปลืองจากความไม่บายใจทั้งปวงเพียงแค่ได้รับรู้ว่ายังคงมีอีกคนอยู่ข้างกายตลอด…
แผ่นหลังกว้างที่เคยพักพิง…โน้มลงมา ทิ้งตัวมาที่เขา
รอยยิ้มที่เคยสดใส…คงจะกลับมาในไม่ช้า
ความอบอุ่นของมือหนา…มือหนาที่โอบเขาเอาไว้
กลับมาอบอุ่น…
อบอุ่น…
ดีแล้ว…อย่างนี้แหละดีแล้ว…
ออกจากห้องสีเทานั่น มารับความอบอุ่น…ที่ตัวกูยังมีอยู่นี่ไปเถอะนะ
เอามันไปให้หมด…และกลับมายิ้มให้กูเหมือนเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in