วินาทีนี้ ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองถูกอำนาจบางอย่างบังคับให้หยุดเต้น หยุดหายใจ หยุดคิด หยุดการกระทำทุกอย่าง และใช้เพียงสายตาจับจ้องไปที่เขาคนนั้น เท่านั้น
ณ งานเลี้ยงที่ใจกลางโถงเริงรื่นด้วยผู้คน ทั้งชายและหญิงต่างประดับอาภรณ์สำหรับกิจราตรีประชันกับโคมไฟลูกคริสตัลวาวระยิบนับร้อยบนเพดานกำลังกระทบแสงพ่างพราว เล่นเอาหลายคนที่เผลอมองสายตาพร่าเบลอไปตาม ๆ กัน แต่สำหรับลูอิส แลคลัส เขาไม่ได้รู้สึกมึนเบลอเพราะแสงไฟนั่นเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะ ลูกมนุษย์ที่เป็นเพื่อนของเลียร์ ลูกชายของเขาต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกหน้ามืดกะทันหันแบบนี้
"ผมนาอีฟ ฟ็องแนแดชซ์ ครับ มองซิเออร์แลคลัส"
ผมเอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของเด็กคนนั้น ด้วยหัวใจและจิตใต้สำนึกปั่นป่วนไปหมด มันร่ำร้องหนักหน่วงพอ ๆ กับยับยั้งชั่งใจ ว่าอยากรู้จักตัวตนของเขา มากกว่านี้สิ มากกว่านี้อีก แต่ก็ต้องข่มใจตัวเองตอนที่ผละมือออกจากกัน
นาอีฟ ส่งยิ้มตาหยีให้คนที่ทำหน้าเฉยชาใส่ เขาเป็นชายหนุ่มร่างระหง มีดวงตาและเส้นผมเป็นสีหินที่ผมชอบ แต่ไม่เคยบอกใคร นั่นคือ สโมกกี้ควอตซ์หรือแร่สีควันบุหรี่ โดยเฉพาะดวงตาคู่สุกใสสีน้ำตาลอมเหลืองที่แสดงความใคร่รู้ออกมา คงจะสงสัยว่าในหัวของผมตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ช่างเข้ากับสูทแจ็กเกตผ้าวูลแสนเรียบง่ายของเจ้าตัวเหลือเกิน
"คือ... ฉันทำอะไรให้พ่อของนายไม่พอใจหรือเปล่าเลียร์?"
ในที่สุด ก็ยอมกล้าที่จะหันไปกระซิบถามเพื่อนสนิทข้างกาย เลียร์ถึงกับหลุดขำพรืด หลังจากสังเกตสังกาท่าทีของสองคนนี้ตั้งแต่ต้น ไม่นึกเลยว่ามันจะลงเอยอย่างขลุกขลักกว่าที่คิดแบบนี้ แต่ก็ต้องหยุดขำให้ไวพลัน ก่อนที่คนทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจะเล่นงานตน
"ใจเย็นสหาย คนเราก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จัก จริงมั้ย?"
พอแก้ต่าง เลียร์แอบเห็นภาษาทางสายตาของนาอีฟปราดหนึ่งว่า จริงเหรอ? จากนั้นแล้วเจ้าตัวจึงถอนหายใจโล่งอก ประหนึ่งปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง นี่คงเป็นข้อดีที่ทำให้เขากันนาอีฟเข้ากันได้ เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรเพื่อนคนนี้ก็เหมือนจะเชื่อสิ่งที่เขาพูดหมด แต่คงเพราะไม่เคยพูดโกหกตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาด้วย นี่แหละ มิตรภาพจึงยืนยาวมาถึงทุกวันนี้
"ถ ถ้าอย่างนั้น" ก็ใช่ว่าจะโล่งใจสักทีเดียว นาอีฟยังคงดูกลัวผมที่เป็นพ่อของเลียร์ไม่หาย แต่เด็กคนนี้ก็ยังอุตส่าห์ชำเลืองมองหน้า ผมมองดวงตาสีบุหรี่นั่นกลับ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่า พูดสิ
"ผมขอตัวไปคุยกับศาตราจารย์เกรกสักครู่นะครับ ไว้จะกลับมา..."
ไว้จะกลับมา... เป็นคำพูดที่นาอีฟสลับสายตามองเลียร์พอดี ผมจึงไม่รู้ว่าเขาบอกผมหรือบอกลูกชาย แต่ผมก็รู้สึกดีใจว่าอย่างไรผมต้องได้คุยกับเขาอีก และคราวนี้ผมตั้งใจจะเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนแน่นอน
เราสองคนพ่อลูก ยืนมองด้านหลังของลูกมนุษย์ที่ค่อย ๆ ถูกฝูงชนกลืนกินจนลับสายตาไป และคงเป็นผมที่เผลอยืนมองอยู่นานสองนาน มองราวกับว่าจะรอจนกว่าอีกฝ่ายเดินกลับมา เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นเป็นหน้าเจ้าลูกตัวดีเสนอเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยรอยยิ้มยียวน
"ผมว่าแล้วว่าอัลฟ่ามนุษย์ต้องทำให้พ่อโดนตก"
ผมอึ้ง แต่ก็ไม่อึ้งนานพอที่ลืมผลักหน้าเลียร์ออกไปให้ออกไปรัศมีรำคาญ
"ฉันยังเป็นพ่อของแกอยู่มั้ย--"
"พ่อดูสนใจอีฟนะ อยากฟังผมเล่าหน่อยมั้ย?"
ผมเงียบ แต่เลียร์รู้ว่าคำตอบดีว่าการตกลงของพ่อคนนี้คือการเงียบ เจ้าตัวดีแสนรักของผมยิ้มกริ่มพึงใจ แล้วเริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมเล่าทันที
"ผมรู้จักอีฟตอนเราเรียนGrade10ห้องเดียวกัน ก็อย่างที่เห็น ดูภายนอกค่อนข้างเป็นคนขี้กลัว แต่จริง ๆ แล้วหมอนี่ร้ายใช่ย่อยเลยนะครับ"
ผมทำสายตาประมาณว่ามองภาพที่ว่าร้ายของอีฟไม่ค่อยจะออก กระทั่งเลียร์พูดขยายความหลังจากนั้น "ครอบครัวของเขาอยากให้เป็นแพทย์ครับ แต่อีฟหักหน้าครอบครัวด้วยการเลือกที่จะเรียนต่อด้านสัตว์วิทยาแทน ที่ไปคุยกับ ศจ.เกรก ก็คงถูกเรียกไปเกลี้ยกล่อมนั่นแหละ"
พอจะเข้าใจมนุษย์ที่เป็นอัลฟ่า เพราะหนึ่งต่อห้าหมื่นในจำนวนประชากร ถ้าเทียบกับแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์แล้ว ถือว่าเป็นเพชรงามที่มีค่าและหายากมาก ความสามารถและพรสวรรค์ที่ว่าดีก็กลายเป็นคำสาป หากต้องแบกรับความหวังของคนในครอบครัว ที่วาดหวังอยากให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่อยากเป็น
"ที่ชวนมางานนี้ เพราะอยากให้อีฟผ่อนคลาย?"
ผมถาม แต่ใจจริงอยากถามว่า ลูกได้ช่วยเหลืออะไรเด็กคนนี้ที่เป็นเพื่อนบ้างหรือเปล่ามากกว่า เลียร์กลับยักไหล่ ผมหรี่ตามองดวงตาสีขี้เถ้าของเลียร์ สีเดียวกับของตัวเองอย่างคาดโทษ
"งานเลี้ยงไร้สาระ ที่ฉลองให้กับการสอบติดมหา'ลัยลูกชายของท่านผู้ช่วยเอกอัครทูตผมไม่มีทางชวนอีฟมาหรอก และถ้าอีฟไม่ถูกบังคับให้มาฟังคำเกลี้ยกล่อมจากคนรู้จักของพ่อแม่ ผมก็จะบอกให้อีฟอยู่บ้านซะ"
ผมไม่พูดอะไรออกไป แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเลียร์ แล้วอยู่ ๆ ก็แอบคิดว่าทำไมต้องตอบรับคำเชิญมางานนี้ด้วย ในฐานะลูกหลานเกลอเก่า และก็นึกขึ้นได้ว่าถูกบังคับมา ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเพื่อนของลูก ผมเลยพอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ ว่ามันน่าอึดอัดขนาดไหนที่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของคนอื่นเกือบทุกเรื่องตลอด ราวกับตัวเองไม่ใช่เจ้าของชีวิต
เจ้าของชีวิต...?
"เลียร์ แกกำลังคิดจะทำอะไร"
"พ่อรู้ทันผมทุกเรื่องเลยให้ตายสิ"
เลียร์สั่นหน้าระอา ถ้าเกิดว่าเราสองคนไม่ได้ยืนอยู่กลางงานที่มีมนุษย์และแวมไพร์ปะปนกันมากมาย ผมจะจับเจ้าตัวดีนี่ทุ่มพื้นสักรอบ
"แล้วรู้อะไรล่ะครับ? ลูอิส" เลียร์ถามกลับพร้อมส่งยิ้ม ผมรู้ว่ากำลังถูกยั่วโมโห แต่ก็อดข่มไว้ไม่ได้อยู่ดี
"คนอย่างแกไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว แม้แต่คนที่เรียกว่าพ่อ ฉันรู้เลียร์ ซึ่งการที่นายเอาเพื่อนที่เป็นมนุษย์อัลฟ่าที่ใครต่อใครก็บอกว่าหายากมาแนะนำให้ฉันรู้จัก แล้วเล่าเรื่องของเขา มันแปลกวิสัยแกเกินไป เลียร์"
เลียร์ แลคลัส ลูกชายที่เกิดจากผู้หญิงที่ผมเลือกเป็นคนเลือกคู่ชีวิต กำลังปรบมือและทำสีหน้าพึงพอใจอย่างสูงสุด เมื่อเขาสามารถดึงผมเข้าสู่ลู่ทางได้ โดยที่พ่อของเขาเป็นฝ่ายหลุดหล่นไปเอง
"ถูกครับพ่อ" เด็กคนนั้นเขยิบเข้ามา เพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้เลียร์สูงเทียงเคียงลาดไหล่ของพ่อแล้ว "ผมทนเห็นพ่อแต่งงานครั้งที่สองกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้ สู้ให้พ่อหลงรักใครสักคนจนตระกูลต้องพังพินาศยังจะดีกว่า"
ประโยคนั้นเป็นเพียงเสียงกระซิบที่รู้กันแค่เราสองคน เป็นอีกหนที่ผมรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า 'หลงรัก' ความรู้สึกแบบนั้น แบบที่เคยมีต่อจูเลียกลับมาอีกแล้วงั้นหรือ?
และใช่ ในขณะเดียวกัน อีกไม่นานผมก็กำลังจะแต่งงานกับเมอร์เรียล น้องสาวของผม ซึ่งที่จริงเราหมั้นหมายกันตั้งแต่จำความได้ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเลือกจูเลีย แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่เป็น 'โอเมก้า' กระทั่งชีวิตรักของเราต้องจบลงเมื่อสองปีก่อน เพราะจูเลียจากไปในแบบที่ไม่มีวันหวนกลับ
พอคิดถึงตรงนี้ โอเมก้า ในแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ก็ช่างคล้ายกับ อัลฟ่าในมนุษย์เหลือเกิน แต่นอกเหนือ หายาก จุดแตกต่างที่แบ่งแยกชัดเจนของสองสิ่งก็ยังมีอยู่ นั่นคือการถูกคาดหวัง
"ลูอิส"
ผมเงยหน้า มองเลียร์ที่ถือวิสาสะเรียกพ่อของตัวเองอย่างล่วงเกิน แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะว่าอะไร เพราะผมก็เลี้ยงเด็กคนนี้ให้ต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างที่ควรเป็น
"ฉันไม่ได้สอนให้เป็นแวมไพร์เจ้าเล่ห์จอมวางแผนแบบนี้ ให้ตายสิ" ผมเจือเสียงดุ แต่ตัวเองกลับหัวเราะหึในลำคอ ผมไม่รู้สึกโกรธเลยที่ถูกทำให้กลายเป็นแบบนี้ กลับกันรู้สึกดีเสียอีก
"พ่อไม่กลัวเหนื่อยที่จะสร้างความสุขของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งใช่มั้ยครับ?" เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เห็นแววตาจริงใจของเด็กคนนี้ แต่เลียร์ไม่ใช่แวมไพร์ขี้โกหก ผมยกมือลูบหัวเด็กคนนี้เบา ๆ สางผมสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวของจูเลียอย่างอ่อนโยน
เลียร์ได้สีตาขี้เถ้ามาจากผม แต่ได้เส้นผมและสีผมมาจากแม่ของเขา จูเลียบอกว่าเราสองคนหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ
"ถ้ากลัวเรื่องพรรค์นั้น แกก็คงไม่ได้เกิดมาหรอกเลียร์" ผมว่า สีหน้าเลียร์จึงดีขึ้นมาเล็กน้อย
"ผมว่า คงได้เวลาเอาอีฟออกมาจากศาตราจารย์เกรกได้แล้ว"
ลูกชายตัวดีตีสีหน้ารู้หน้าที่ ผมแค่นยิ้มแล้วพยักเพยิดไปทางที่คาดว่านาอีฟจะคุยอยู่กับศาสตราจารย์คนนั้น
"ฝากด้วย" ผมบอกไล่หลัง
"แน่นอนครับ"
หลังจากห่างหายไปได้สักพัก ผมก็เห็นเลียร์กลับมาพร้อมนาอีฟที่ทำสีหน้าปั้นยากมากกว่าตอนที่แนะนำตัว กระนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มเอาไว้ได้ จนผมเริ่มใจหายอยู่หน่อยแล้ว ว่านี่คงเป็นนิสัยของเจ้าตัว
และแน่นอนว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ว่านาอีฟทำหน้าดีใจเมื่อเห็นผม เพราะเขาวิ่งตรงมาหาราวกับต้องรีบทำตามคำสัญญาที่ให้ว่า ไว้จะกลับมา และในที่สุดเขาก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
"คุณลืมบอกชื่อผม เอ้อไม่! จริง ๆ ผมต้องถามคุณสิ"
"คือ คือ ผมก็รู้จักชื่อคุณนะ แค่ว่า..."
"ลูอิส... ฉันชื่อลูอิส แลคลัส" รีบบอกเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่นาอีฟจะลืมวิธีพูดแบบเดิม เพราะมัวแต่กลัวทั้ง ๆ ที่อยากทำความรู้จักแบบนี้
"อ่า ใช่ คุณชื่อลูอิส"
นาอีฟกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และผมที่มองรอยยิ้มนั่นรู้สึกหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง
ตลอดชีวิต ผมไม่เคยคิดว่ามนุษย์ที่ไร้ความจีรังจะมีความงดงาม ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดว่าอัลฟ่ามนุษย์ผู้นี้จะงดงามถึงเพียงนี้
แรงดึงดูดอะไร? ผมไม่รู้
ผมรู้แค่ว่านับจากนี้ไป จะเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ อีกครั้ง
========================
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
กะไว้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสั้นเพื่อปูเรื่องเปิดสำหรับเรื่องในอนาคตที่จะเขียนค่ะ ความยาวเรื่องไม่เกิน 3 ตอนจบแน่นอน ヽ( ´¬`)ノ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in