เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
fade from one's mind [Omega verse]pride22lonely
Restart
  •          
       





                     วินาทีนี้  ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองถูกอำนาจบางอย่างบังคับให้หยุดเต้น  หยุดหายใจ  หยุดคิด  หยุดการกระทำทุกอย่าง  และใช้เพียงสายตาจับจ้องไปที่เขาคนนั้น  เท่านั้น

                     ณ  งานเลี้ยงที่ใจกลางโถงเริงรื่นด้วยผู้คน   ทั้งชายและหญิงต่างประดับอาภรณ์สำหรับกิจราตรีประชันกับโคมไฟลูกคริสตัลวาวระยิบนับร้อยบนเพดานกำลังกระทบแสงพ่างพราว  เล่นเอาหลายคนที่เผลอมองสายตาพร่าเบลอไปตาม ๆ กัน  แต่สำหรับลูอิส แลคลัส  เขาไม่ได้รู้สึกมึนเบลอเพราะแสงไฟนั่นเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะ ลูกมนุษย์ที่เป็นเพื่อนของเลียร์ ลูกชายของเขาต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกหน้ามืดกะทันหันแบบนี้

                   "ผมนาอีฟ ฟ็องแนแดชซ์  ครับ  มองซิเออร์แลคลัส"

                    ผมเอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของเด็กคนนั้น ด้วยหัวใจและจิตใต้สำนึกปั่นป่วนไปหมด  มันร่ำร้องหนักหน่วงพอ ๆ กับยับยั้งชั่งใจ  ว่าอยากรู้จักตัวตนของเขา  มากกว่านี้สิ  มากกว่านี้อีก  แต่ก็ต้องข่มใจตัวเองตอนที่ผละมือออกจากกัน

                    นาอีฟ  ส่งยิ้มตาหยีให้คนที่ทำหน้าเฉยชาใส่  เขาเป็นชายหนุ่มร่างระหง  มีดวงตาและเส้นผมเป็นสีหินที่ผมชอบ  แต่ไม่เคยบอกใคร  นั่นคือ  สโมกกี้ควอตซ์หรือแร่สีควันบุหรี่  โดยเฉพาะดวงตาคู่สุกใสสีน้ำตาลอมเหลืองที่แสดงความใคร่รู้ออกมา  คงจะสงสัยว่าในหัวของผมตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่  ช่างเข้ากับสูทแจ็กเกตผ้าวูลแสนเรียบง่ายของเจ้าตัวเหลือเกิน

                     "คือ... ฉันทำอะไรให้พ่อของนายไม่พอใจหรือเปล่าเลียร์?"

                    ในที่สุด  ก็ยอมกล้าที่จะหันไปกระซิบถามเพื่อนสนิทข้างกาย  เลียร์ถึงกับหลุดขำพรืด  หลังจากสังเกตสังกาท่าทีของสองคนนี้ตั้งแต่ต้น  ไม่นึกเลยว่ามันจะลงเอยอย่างขลุกขลักกว่าที่คิดแบบนี้  แต่ก็ต้องหยุดขำให้ไวพลัน  ก่อนที่คนทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจะเล่นงานตน

                    "ใจเย็นสหาย  คนเราก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จัก  จริงมั้ย?"

                      พอแก้ต่าง  เลียร์แอบเห็นภาษาทางสายตาของนาอีฟปราดหนึ่งว่า จริงเหรอ?  จากนั้นแล้วเจ้าตัวจึงถอนหายใจโล่งอก  ประหนึ่งปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง  นี่คงเป็นข้อดีที่ทำให้เขากันนาอีฟเข้ากันได้  เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรเพื่อนคนนี้ก็เหมือนจะเชื่อสิ่งที่เขาพูดหมด  แต่คงเพราะไม่เคยพูดโกหกตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาด้วย  นี่แหละ  มิตรภาพจึงยืนยาวมาถึงทุกวันนี้

                      "ถ ถ้าอย่างนั้น"  ก็ใช่ว่าจะโล่งใจสักทีเดียว  นาอีฟยังคงดูกลัวผมที่เป็นพ่อของเลียร์ไม่หาย แต่เด็กคนนี้ก็ยังอุตส่าห์ชำเลืองมองหน้า  ผมมองดวงตาสีบุหรี่นั่นกลับ  แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่า  พูดสิ


                      "ผมขอตัวไปคุยกับศาตราจารย์เกรกสักครู่นะครับ ไว้จะกลับมา..."

                     ไว้จะกลับมา... เป็นคำพูดที่นาอีฟสลับสายตามองเลียร์พอดี  ผมจึงไม่รู้ว่าเขาบอกผมหรือบอกลูกชาย  แต่ผมก็รู้สึกดีใจว่าอย่างไรผมต้องได้คุยกับเขาอีก  และคราวนี้ผมตั้งใจจะเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนแน่นอน

                     เราสองคนพ่อลูก  ยืนมองด้านหลังของลูกมนุษย์ที่ค่อย ๆ ถูกฝูงชนกลืนกินจนลับสายตาไป  และคงเป็นผมที่เผลอยืนมองอยู่นานสองนาน  มองราวกับว่าจะรอจนกว่าอีกฝ่ายเดินกลับมา  เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นเป็นหน้าเจ้าลูกตัวดีเสนอเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยรอยยิ้มยียวน

                     "ผมว่าแล้วว่าอัลฟ่ามนุษย์ต้องทำให้พ่อโดนตก"

                      ผมอึ้ง  แต่ก็ไม่อึ้งนานพอที่ลืมผลักหน้าเลียร์ออกไปให้ออกไปรัศมีรำคาญ

                     "ฉันยังเป็นพ่อของแกอยู่มั้ย--"

                     "พ่อดูสนใจอีฟนะ  อยากฟังผมเล่าหน่อยมั้ย?"

                     ผมเงียบ  แต่เลียร์รู้ว่าคำตอบดีว่าการตกลงของพ่อคนนี้คือการเงียบ  เจ้าตัวดีแสนรักของผมยิ้มกริ่มพึงใจ  แล้วเริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมเล่าทันที

                    "ผมรู้จักอีฟตอนเราเรียนGrade10ห้องเดียวกัน  ก็อย่างที่เห็น  ดูภายนอกค่อนข้างเป็นคนขี้กลัว  แต่จริง ๆ แล้วหมอนี่ร้ายใช่ย่อยเลยนะครับ"

                    ผมทำสายตาประมาณว่ามองภาพที่ว่าร้ายของอีฟไม่ค่อยจะออก  กระทั่งเลียร์พูดขยายความหลังจากนั้น  "ครอบครัวของเขาอยากให้เป็นแพทย์ครับ  แต่อีฟหักหน้าครอบครัวด้วยการเลือกที่จะเรียนต่อด้านสัตว์วิทยาแทน  ที่ไปคุยกับ ศจ.เกรก ก็คงถูกเรียกไปเกลี้ยกล่อมนั่นแหละ"

                     พอจะเข้าใจมนุษย์ที่เป็นอัลฟ่า  เพราะหนึ่งต่อห้าหมื่นในจำนวนประชากร  ถ้าเทียบกับแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์แล้ว  ถือว่าเป็นเพชรงามที่มีค่าและหายากมาก  ความสามารถและพรสวรรค์ที่ว่าดีก็กลายเป็นคำสาป  หากต้องแบกรับความหวังของคนในครอบครัว ที่วาดหวังอยากให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่อยากเป็น

                    "ที่ชวนมางานนี้  เพราะอยากให้อีฟผ่อนคลาย?"

                    ผมถาม  แต่ใจจริงอยากถามว่า  ลูกได้ช่วยเหลืออะไรเด็กคนนี้ที่เป็นเพื่อนบ้างหรือเปล่ามากกว่า  เลียร์กลับยักไหล่  ผมหรี่ตามองดวงตาสีขี้เถ้าของเลียร์  สีเดียวกับของตัวเองอย่างคาดโทษ

                   "งานเลี้ยงไร้สาระ  ที่ฉลองให้กับการสอบติดมหา'ลัยลูกชายของท่านผู้ช่วยเอกอัครทูตผมไม่มีทางชวนอีฟมาหรอก  และถ้าอีฟไม่ถูกบังคับให้มาฟังคำเกลี้ยกล่อมจากคนรู้จักของพ่อแม่  ผมก็จะบอกให้อีฟอยู่บ้านซะ"

                   ผมไม่พูดอะไรออกไป  แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเลียร์  แล้วอยู่ ๆ ก็แอบคิดว่าทำไมต้องตอบรับคำเชิญมางานนี้ด้วย  ในฐานะลูกหลานเกลอเก่า และก็นึกขึ้นได้ว่าถูกบังคับมา  ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเพื่อนของลูก  ผมเลยพอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาได้  ว่ามันน่าอึดอัดขนาดไหนที่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของคนอื่นเกือบทุกเรื่องตลอด  ราวกับตัวเองไม่ใช่เจ้าของชีวิต

                    เจ้าของชีวิต...?

                    "เลียร์  แกกำลังคิดจะทำอะไร"

                    "พ่อรู้ทันผมทุกเรื่องเลยให้ตายสิ"

                   เลียร์สั่นหน้าระอา  ถ้าเกิดว่าเราสองคนไม่ได้ยืนอยู่กลางงานที่มีมนุษย์และแวมไพร์ปะปนกันมากมาย  ผมจะจับเจ้าตัวดีนี่ทุ่มพื้นสักรอบ

                   "แล้วรู้อะไรล่ะครับ?  ลูอิส"  เลียร์ถามกลับพร้อมส่งยิ้ม  ผมรู้ว่ากำลังถูกยั่วโมโห  แต่ก็อดข่มไว้ไม่ได้อยู่ดี

                   "คนอย่างแกไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว  แม้แต่คนที่เรียกว่าพ่อ  ฉันรู้เลียร์  ซึ่งการที่นายเอาเพื่อนที่เป็นมนุษย์อัลฟ่าที่ใครต่อใครก็บอกว่าหายากมาแนะนำให้ฉันรู้จัก  แล้วเล่าเรื่องของเขา  มันแปลกวิสัยแกเกินไป  เลียร์"

                    เลียร์ แลคลัส  ลูกชายที่เกิดจากผู้หญิงที่ผมเลือกเป็นคนเลือกคู่ชีวิต  กำลังปรบมือและทำสีหน้าพึงพอใจอย่างสูงสุด  เมื่อเขาสามารถดึงผมเข้าสู่ลู่ทางได้  โดยที่พ่อของเขาเป็นฝ่ายหลุดหล่นไปเอง

                    "ถูกครับพ่อ" เด็กคนนั้นเขยิบเข้ามา  เพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้เลียร์สูงเทียงเคียงลาดไหล่ของพ่อแล้ว  "ผมทนเห็นพ่อแต่งงานครั้งที่สองกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้  สู้ให้พ่อหลงรักใครสักคนจนตระกูลต้องพังพินาศยังจะดีกว่า"

                    ประโยคนั้นเป็นเพียงเสียงกระซิบที่รู้กันแค่เราสองคน เป็นอีกหนที่ผมรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า 'หลงรัก' ความรู้สึกแบบนั้น แบบที่เคยมีต่อจูเลียกลับมาอีกแล้วงั้นหรือ?

                    และใช่ ในขณะเดียวกัน อีกไม่นานผมก็กำลังจะแต่งงานกับเมอร์เรียล น้องสาวของผม ซึ่งที่จริงเราหมั้นหมายกันตั้งแต่จำความได้ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเลือกจูเลีย แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่เป็น 'โอเมก้า' กระทั่งชีวิตรักของเราต้องจบลงเมื่อสองปีก่อน เพราะจูเลียจากไปในแบบที่ไม่มีวันหวนกลับ

                    พอคิดถึงตรงนี้  โอเมก้า ในแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ก็ช่างคล้ายกับ  อัลฟ่าในมนุษย์เหลือเกิน  แต่นอกเหนือ  หายาก  จุดแตกต่างที่แบ่งแยกชัดเจนของสองสิ่งก็ยังมีอยู่  นั่นคือการถูกคาดหวัง

                    "ลูอิส"

                    ผมเงยหน้า  มองเลียร์ที่ถือวิสาสะเรียกพ่อของตัวเองอย่างล่วงเกิน  แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะว่าอะไร เพราะผมก็เลี้ยงเด็กคนนี้ให้ต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างที่ควรเป็น

                     "ฉันไม่ได้สอนให้เป็นแวมไพร์เจ้าเล่ห์จอมวางแผนแบบนี้  ให้ตายสิ"  ผมเจือเสียงดุ  แต่ตัวเองกลับหัวเราะหึในลำคอ  ผมไม่รู้สึกโกรธเลยที่ถูกทำให้กลายเป็นแบบนี้  กลับกันรู้สึกดีเสียอีก

                    "พ่อไม่กลัวเหนื่อยที่จะสร้างความสุขของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งใช่มั้ยครับ?"  เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เห็นแววตาจริงใจของเด็กคนนี้  แต่เลียร์ไม่ใช่แวมไพร์ขี้โกหก  ผมยกมือลูบหัวเด็กคนนี้เบา ๆ สางผมสีน้ำตาลเข้ม  สีเดียวของจูเลียอย่างอ่อนโยน

                     เลียร์ได้สีตาขี้เถ้ามาจากผม  แต่ได้เส้นผมและสีผมมาจากแม่ของเขา  จูเลียบอกว่าเราสองคนหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ

                     "ถ้ากลัวเรื่องพรรค์นั้น  แกก็คงไม่ได้เกิดมาหรอกเลียร์"  ผมว่า  สีหน้าเลียร์จึงดีขึ้นมาเล็กน้อย

                    "ผมว่า  คงได้เวลาเอาอีฟออกมาจากศาตราจารย์เกรกได้แล้ว"

                     ลูกชายตัวดีตีสีหน้ารู้หน้าที่  ผมแค่นยิ้มแล้วพยักเพยิดไปทางที่คาดว่านาอีฟจะคุยอยู่กับศาสตราจารย์คนนั้น

                    "ฝากด้วย"  ผมบอกไล่หลัง

                    "แน่นอนครับ"







                  หลังจากห่างหายไปได้สักพัก  ผมก็เห็นเลียร์กลับมาพร้อมนาอีฟที่ทำสีหน้าปั้นยากมากกว่าตอนที่แนะนำตัว  กระนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มเอาไว้ได้  จนผมเริ่มใจหายอยู่หน่อยแล้ว  ว่านี่คงเป็นนิสัยของเจ้าตัว

                  และแน่นอนว่าผมไม่ได้คิดไปเอง  ว่านาอีฟทำหน้าดีใจเมื่อเห็นผม  เพราะเขาวิ่งตรงมาหาราวกับต้องรีบทำตามคำสัญญาที่ให้ว่า  ไว้จะกลับมา  และในที่สุดเขาก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

                   "คุณลืมบอกชื่อผม  เอ้อไม่!  จริง ๆ ผมต้องถามคุณสิ"

                    "คือ คือ ผมก็รู้จักชื่อคุณนะ แค่ว่า..."

                    "ลูอิส... ฉันชื่อลูอิส  แลคลัส"  รีบบอกเท่าที่จะทำได้  ก่อนที่นาอีฟจะลืมวิธีพูดแบบเดิม  เพราะมัวแต่กลัวทั้ง ๆ ที่อยากทำความรู้จักแบบนี้

                    "อ่า  ใช่  คุณชื่อลูอิส"

                    นาอีฟกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม  และผมที่มองรอยยิ้มนั่นรู้สึกหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง

                    ตลอดชีวิต  ผมไม่เคยคิดว่ามนุษย์ที่ไร้ความจีรังจะมีความงดงาม  ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดว่าอัลฟ่ามนุษย์ผู้นี้จะงดงามถึงเพียงนี้

                    แรงดึงดูดอะไร? ผมไม่รู้     

                    ผมรู้แค่ว่านับจากนี้ไป จะเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ อีกครั้ง







    ========================

    ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
    กะไว้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสั้นเพื่อปูเรื่องเปิดสำหรับเรื่องในอนาคตที่จะเขียนค่ะ ความยาวเรื่องไม่เกิน 3 ตอนจบแน่นอน ヽ( ´¬`)ノ















Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in