เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ซากุระพลัดถิ่นpride22lonely
8 ธันวาคม 2484
  •   
         






    วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 สายลมของฤดูหนาวพัดผ่านไปให้ชื่นกาย แต่ผมจำได้ว่าพ่อมีสีหน้าเคร่งเครียด เย็นวันหนึ่งก่อนพ่อจะออกจากบ้านไป ท่านบอกผมกับน้องสาวให้เป็นเด็กดีกับแม่เข้าไว้ และท่านสัญญาว่าจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น

         ท่านเป็นตำรวจ และกำลังจะไปทำหน้าที่ ของตำรวจ ตอนนั้นผมยังเด็กนัก เด็กเกินที่จะรับรู้และสนใจว่าบ้านเมืองของตัวเองกำลังวุ่นวายเพราะฤทธิ์สงคราม

         ก่อนหน้านั้นประมาณสามชั่วโมง เป็นวันที่7 ธันวาคม เวลา23.45 น. ญี่ปุ่นได้ส่งเอกอัครราชทูตเข้ามาพบท่านผู้นำ เพื่อเจรจาขอยกพลขึ้นบก ระลอกโครมครืนสินเธาว์สยามถูกกองทัพแดนอุทัยปกคลุมประหนึ่งกองทัพมารวสวัตตี รัตติกาลยามไร้ซึ่งผู้นำ หน่อเนื้อไทยต่างหวาดประหวั่น กระนั้นแผ่นดินของข้านี้ต้องปกปักษ์ไว้ สืบยิ่งชีพ

         สองนาฬิกา น้ำตาหยดร่วง จ้าวไพรีเอเชียบูรพายุรยาตราฝ่ากระสุนและกลิ่นดินประสิวจากเหล่าผู้กล้าบนหาดทราย ทั่วด้าวแดนด้ามขวานทองหยาดนองไปด้วยเลือดสองชาติ แว่วเสียงจ้าระหวั่นขวัญแขวนประโคมโหมเป็นคลื่นห่าซัดเข้าฝั่ง และดูดกลืนร่างไร้วิญญาณวีรชนทั้งหลายที่เด็ดดับกลับสู่มาตุภูมิภพร่างแล้ว ร่างเล่า

         เสียงเสียดแทรกอากาศหวีดหวิวปะทะร่างหนึ่ง บุรุษพิทักษ์สันติราษฎ์ที่กำลังเหนี่ยวไกปืนทรุดล้มลง เลือดซาบซึมหยดเผาะผล็อยลงผืนทรายก่อนจะโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้ จรัสสำลักเลือด ดาบตำรวจถูกกระสุนปืนเจาะเข้าตรงกลางอก มาคราวนี้คำสัญญาที่ให้ไว้กับแก้วตาดวงใจ กับครอบครัว เขารู้ดีว่าไม่อาจสนองคืนได้อีกแล้ว

         ถ้ารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ เขาไม่น่าสัญญาเลย

         ไม่ เขารู้ แต่เพราะอยากกลับไป เขาจึงต้องสัญญา

         "พี่จรัส!"

         ในดงกระสุนครามครัน ตำรวจผู้น้องถลาเข้ามาหาจรัสอย่างไม่กลัวตาย ร่างที่หายใจรวยรินผะแผ่วลงไปทุกทีลืมตามองคนที่ประคองตนขึ้นมา จรัสสบตาเพื่อนร่วมสงคราม ต่างคนต่างรู้แก่ใจดี ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือวาดหวังว่าคน ๆ นี้จะรอดกลับไปฝากคำบอกลาของเขาแก่คนอันเป็นที่รักสุดหัวใจ

         "ฝากบอกลินว่าขอโทษ บอกลูก ๆ ฉันด้วยว่าพ่อคนนี้รักพวกลูกมาก"

         "...มึงก็ด้วย ไอน้องชาย"

         จากนั้นจรัสก็หลับตาลง

         ระลอกอีกคลื่นหนึ่งที่ซัดเข้าฝั่งแล้วจางหายไป ตลอดกาล








    หลังจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่คลาไคลไปได้สามวันสามคืนเต็ม ผืนขวานทองผู้บอบช้ำถูกยื่นเสนอให้ร่วมลงนามสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น แม้ไม่ได้ถูกขานว่าเป็นผู้ปราชัยเสียทีเดียว แต่การจำนนก็ไม่ได้แตกต่างไปจากถูกบีบบังคับในสิ่งที่ผู้มากอำนาจต้องการ มิฉะนั้นไทยคงไม่สามารถเรียกว่าไทยได้อีกต่อไป

         ท้องฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยแยกไม่ออกระหว่างสีของขอบน่านมหาสมุทร เวลานี้กลับชัดเจน เป็นสีของควันส่งอาลัยรมณ์แก่เหล่าผู้จากไป ผู้จากไปที่ถูกใครต่อใครยกย่องว่าคือวีรชน วีรชนที่ไม่อาจหวนคืนมา วีรชนที่นอนสงบนิ่งให้เพลิงห่อหุ้มร่างในโลงบนเชิงตะกอนมอดไหม้กลายเป็นเศษธุลี วีรชนที่ได้สิ่งตอบแทนคือความตาย

         ไม่มีน้ำตาสักหยดหลั่งริน ยืนมองพ่อที่จากไปอย่างเงียบ ๆ มือข้างขวาจับมือของน้องสาวที่กำลังร้องไห้ มือข้างซ้ายเกาะกุมมือของแม่ที่กำลังลูบหัวปลอบประโลมพวกเรา ทั้งที่แม่นั้นเสียใจเจียนตายไม่ต่างกัน แต่แม่ก็เข้มแข็ง เข้มแข็งมาตลอด

         ความร้อนที่แผ่ออกมาจากเชิงตะกอนสีหม่นไหม้ไล้สัมผัสเนื้อของปุถุชน ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิต คนที่เหลือยังมีชีวิต

         เพลิงไฟเริ่มโรยแรงเป็นคนเฒ่า อีกฝากของเชิงตะกอนในดวงตาทุกครอบครัวสะท้อนภาพทหารญี่ปุ่นเคลื่อนพลผ่านไปอย่างสงบ ต่างจากที่บุกรุกแผ่นดินของเราก่อนหน้านั้นอย่างลิบลับ ผมก่นด่าพวกนั้นอยู่ในใจ สาปแช่งชักหักกระดูกอย่างไม่ปรานี ความขมขื่นหลอมรวมรู้สึกเกลียดชังเหลือคณาฝากฝังมันเอาไว้ในหัวใจที่แตกสลาย โดยไม่อาจได้พรั่งพรูพร่ำพรรณมันออกไป เพราะยังมีแม่ มีน้องสาว ฉะนั้นผมต้องอดทน

         จะอ่อนแอไม่ได้









    'ต้นแสง' คือชื่อเล่นที่คุณแม่ตั้งให้ มาจากชื่อต้นแสงจันทร์ รอบบ้านของเรามักครึกครึ้มไปด้วยร่มเงาของพวกมัน ผมรู้จักตั้งแต่จำความได้ ใบของมันมีสีเหลืองนวลอ่อนโยนและระยับยิบพราวเมื่อต้องดวงโฉมแอร่มตาในคืนวันเพ็ญ ที่ผมได้ชื่อนี้เพราะแม่อยากให้ลูกชายเป็นเด็กเลี้ยงง่ายเหมือนต้นแสงจันทร์ ซึ่งพ่อเป็นคนปลูกให้

         สามปีแล้วที่คนปลูกจากไป และเป็นสามปีที่เราต้องทนเห็นความโหดร้ายของสิ่งที่เรียกว่า คน ทำกับ คน ด้วยกัน

         หลังจากญี่ปุ่นเข้ามา รัฐบาลไทยออกนอกหน้าอย่างเกรียงไกรว่าอยู่ข้างฝ่ายอักษะ และผู้นำเองที่คุ้นเคยเกลอเก่าอย่าง ญี่ปุ่น ก็ดูภูมิใจไม่ใช่น้อย ก่อนหน้าเมื่อแรกเริ่มรบราในเดือนที่ยกพลขึ้นบกไทย พวกนั้นได้โจมตีฐานทัพสหรัฐอเมริกาบนอ่าวเพิร์ล ข่าวนี้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วราวกับโรคห่า แม่เหมือนรู้อนาคตเพราะท่านบอกว่าสมัยมหาสงครามยุโรป เยอรมันได้กระทำการอุกอาจกับสหรัฐไม่ต่างจากญี่ปุ่น ด้วยการโจมตีเรือพลเรือนที่มีคนสัญชาติอเมริกันสัญจรอยู่ด้วย ซึ่งนั่นเหมือนเป็นการจุดชนวนมหาระเบิด เพราะเมื่อสหรัฐประกาศเข้าร่วมสงคราม ไม่นานทุกอย่างก็จบลง

         "พวกนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต หลาบจำไม่เคยมีอยู่ในสมอง"

         แม่ว่าพวกญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นใจ แววตาแม่คุกกรุ่นตลอดเวลา เมื่อต้องทนมองพวกนั้นทารุณเชลยในค่ายคุมขังอันเป็นเพิงพักพิง

         กาญจนบุรีเป็นบ้านเกิดของคุณยาย ครอบครัวของผมย้ายมาอาศัยชั่วยามแต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าจนถึงเมื่อไร เพราะแม่ไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านที่จังหวัดสุราษฎ์ธานีร่วมกับทหารญี่ปุ่น กระนั้นเมื่อเรามาถึงก็ได้รู้ความจริงว่าเวรกรรมที่มีต่อกันยังไม่จบสิ้น ไม่ใช่แค่เรา แต่ทั้งแผ่นดินไทย ทั้งโลก

         "วันนี้ดาป่วย ดาต้องอยู่บ้านนะลูก"

         แม่บอก พลางเงยหน้ามองน้องที่ชะเง้อชะแง้ทำหน้าตางอแงอยู่ตรงชานบ้าน ผมยกมือโบกเบา ๆ ให้ลดา ลดาส่งสายตาเว้าวอนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหายเข้าไป ผมหวังว่าน้องจะพักผ่อนเอาแรง

         "รีบไปรีบกลับมา เข้าใจมั้ยลูก"

         แม่บอก แล้วท่านก็ยกมือของตัวเองขึ้นมาลูบหน้าลูกชาย ผมรับคำก่อนจะอิงแก้มลงกับฝ่ามืออันหยาบกร้านแต่อ่อนโยนของแม่ สัญญากับตัวเองในใจอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าบอกว่าลูกชายคนนี้แอบสัญญา เพราะตั้งแต่พ่อจากไปตอนนั้น แม่ดูกลัวกับการสัญญามาก

         ผมผละตัวออกจากแม่ สบตากับท่านอีกครั้งแล้วเดินจากมา ในมือกำ มัดยา แน่น

         ห้วงกระแสแห่งสงครามยังบังเกิดความเอื้ออาทรต่อกัน สงครามทำให้พวกเราและบางส่วนสงสารเชลยที่ถูกจับมาใช้แรงงานเยี่ยงทาส มีทั้งชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย มลายู จีน และชนกลุ่มน้อยอีกมากที่พวกทหารแดนอุทัยจะสรรหามา คนในหมู่บ้านคุณยายแอบช่วยเท่าที่ช่วยได้ มีเรื่องอาหารการกิน ของใช้ส่วนตัวจำพวกสบู่ ยาสูบทำมือ และยารักษาโรคที่ผมกำลังแอบเอาเข้าไปให้ 'อาเทอร์' ดีที่บ้านเรามียอดปรุงยาอย่างคุณตา ท่านนี่แหละที่เป็นคนเริ่มระดมพลช่วยเหลือเชลย

         อาเทอร์เป็นแพทย์เชลยชาวอังกฤษที่พอพูดไทยได้ ผมรู้จักเขาผ่านทางเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ตายไปเมื่อปีก่อน เชลยทุกคนที่นี่ไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินดิน การปลดปล่อยของคนเหล่านี้คือความตาย

        ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงสัจธรรมข้อนั้น พระพุทธศาสนาสอนว่าทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย จริงอยู่ แต่การตายแบบนี้มันสมควรแล้วหรือ? ในด้านมนุษยธรรม มันไม่ยุติธรรมต่อจิตใจของคนที่สูญเสียเลย

         ทิ้งห่างจากตัวหมู่บ้านเป็นป่ารกร้างขนาบทาง กลิ่นสาบโลนของมนุษย์ด้วยกันลอยโชยมาแตะตรงปลายจมูก มันเป็นกลิ่นของมนุษย์ที่ไร้ลมหายใจแล้ว และถูกกลบฝังอย่างฉุดชุ่ยใต้สะพานที่กำลังก่อร่างเป็นทางรถไฟ  รณะ เด็ดดับร่วงกราวดุจใบไม้มากมาย ถูกย่ำยีเหยียดหยามให้พวกมันใช้ข้ามฝั่งไปยังผืนดินแห่งทะเลเจดีย์ สีแสดชาดฉาบท้องฟ้าเข้าย่ำพระอาทิตย์อัศดง เหมือนทะเลเลือดที่สุราษฎร์ เหมือนเลือดของเชลยนับร้อยนับพันที่ถูกดินกลบหน้า เงาของผมทอดยาวลิบลิ่วคล้ายคนตัวสูงเก้งก้าง ผมเดินมองเงาตัวเองเพื่อดึงโสตออกจากกลิ่นความตาย กลิ่นแห่งความอดสู จนกระทั่งถึงหน้าค่าย เพราะมัวแต่พยายามลืมกลิ่นหืนหืด เลยกลายเป็นว่าตัวเองลืมคิดใบเบิกทาง ใบเบิกทาง เป็นศัพท์ลับ เราไว้ใช้เมื่อต้องหากิจธุระ เพื่อขอเข้าไปในค่ายทหารญี่ปุ่นในคราวจำเป็น

         "เธออีกแล้ว" 

         ทหารหน้าประตูพูดขึ้นเมื่อเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนเดิมเดินตรงเข้ามา แต่เขาก็รู้ว่าเด็กคนนี้จะพูดว่าอะไร

         "วันนี้มารับน้องเธอหรือ?" นายทหารถาม ภาษาไทยค่อนข้างกระท่อนกระแท่นติดสำเนียงบ้านเกิด ตอนแรกผมฟังไม่เข้าใจ แต่หลัง ๆ มาก็เริ่มฟังออกบ้าง คงเป็นเพราะว่าชาวญี่ปุ่นที่นี่เริ่มพูดภาษาไทยคล่องขึ้นด้วย

         ผมส่ายหน้า คนญี่ปุ่นทำหน้าแปลกใจ

         "วันนี้ผมถูกผู้ใหญ่ให้มาตามเด็ก ๆ กลับบ้านแทน"

         ทหารญี่ปุ่นคนนั้นยิ้มใจดี รอยยิ้มชวนหัวใจปลดเปลื้องขัดกับความรู้สึกที่เกลียดเข้าไส้เหลือคณา บางทีมันก็ทำให้ตระหนักได้ว่า สงครามต่างหากที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นกากเดน

         "ก็เห็นกลับไปแล้ว หรือยังกลับไม่ครบ?"

         ต้นแสงอึกอัก นึกลังเลว่าควรโกหกหรือไม่ แต่ ใบเบิกทาง ไม่ใช่การโกหก เพราะถ้าทำลงไปแล้วเกิดถูกจับได้ขึ้นมา ครอบครัวของเขารวมถึงคนในหมู่บ้านต้องโดนคนพวกนี้ทำโทษแน่

         "เอาเถอะ เข้าไปดูก่อนก็ได้ แล้วรีบ ๆ ออกมาล่ะ"

         โชคช่วยเมื่อทหารผู้นั้นเลือกที่จะไม่รอคำตอบ เขาคงเห็นสีหน้าร้อนรนเลยไม่อยากขัดให้เสียเวลา จึงเปิดประตูเหล็กให้ ผมยิ้มดีใจและขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่น จากนั้นจึงรีบเข้าไป พอหลีกพ้นสายตาก็หยิบห่อยาจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไว้แนบอก เดินต่อไปได้สักหน่อยก็ถึงทางแยกร้างคน หยุดยืนชั่วครู่ พลางหันซ้ายแลขวา ก่อนจะปลีกตัวไปอีกทางอย่างรวดเร็ว พยายามให้ทุก ๆ ฝีก้าวของตัวเองเต็มไปด้วยความระแวดระวัง มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า ยามโพล้เพล้เป็นช่วงที่ทหารญี่ปุ่นกำลังทำความเคารพองค์กษัตริย์ของตน จึงไม่เห็นใครมาเพ่นผ่านเลยสักคน หรืออาจมี แต่ก็เป็นพวกผลัดเวรทั่วไป ซึ่งคนพวกนั้นเองที่ต้องคอยสังเกตไว้ให้ดี

         ผมนึกถึงตัวเองเมื่อสามปีก่อนที่ยังไม่สนใจโลกความเป็นจริง เด็กไทยที่เข้าไปเล่นกับลูกทหารญี่ปุ่นก็เหมือนกับผมตอนนั้น ลิงโลดละเล่นอย่างสนุกสนานเริงใจ สงครามคือการแบ่งแยกของผู้ใหญ่ลำพองอำนาจ แต่มันไม่สามารถแบ่งแยกหัวใจของเด็กเดียงสาได้

          กลิ่นสาบหืนเดิมกระแทกจมูกของผมอีกครั้งจนอยากจะอาเจียนให้ได้ ผมกลืนน้ำขมลงคออย่างฝืดเคือง การยกมือป้องจมูกตัวเองไม่สามารถทำให้กลิ่นเจือจางลงได้เลย คนที่ถูกขังต้องเจอกับสิ่งนี้ทุกวัน จำได้แม่นมั่นว่าตอนรู้จักอาเทอร์ครั้งแรก ผมร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกรับไม่ได้จับใจ จนถึงตอนนี้คราคราวมานั่งคุยปันทุกข์แบ่งสุขกับอาเทอร์ น้ำตาของผมคลอหน่วยเสมอ

         และนี่เป็นสิ่งที่ผมพอจะทำได้ ผมจึงทำด้วยความเต็มใจเปี่ยมล้น จนกว่าสงครามนี่จะจบลง ผมจะคอยเคียงข้างคนที่ถูกพลัดพราก

         "อ อาเทอร์--"

         ผมเกือบปิดปากตัวเองไม่ทัน จุดนัดพบของเราสองคนมาตอนนี้ไม่ได้มีอาเทอร์คนเดียวอีกต่อไป ทหารญี่ปุ่นสามคนยืนล้อมชายร่างสูบผอมที่นั่งกองอยู่บนพื้นในสภาพอิดโรย เสียงตะโกนโหวกเหวกคนพวกนั้นทำให้รู้ว่าเจตนาต้องการหมายมาดเอาเรื่องแน่ ผมที่ยืนหลบฟังอยู่มุมเพิงเก็บฟืนไม่อาจรู้ได้ว่าคือเรื่องอะไร เพราะนายทหารทุกคนพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด

         ใบหน้าของอาเทอร์บิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว เบ้าตาลึกโหลเหลือบมองคนที่รายล้อมอย่างหวาดระหวั่น ผมได้ยินอาเทอร์พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่สองสามคำ จากนั้นก็เห็นคนพวกนั้นเริ่มลงมือทำร้ายตัวเขา เสียงโหยหวนทรมานของฝรั่งคนนั้นทำให้ผมยกมือขึ้นปิดหู     ได้ยินอีกแล้ว     ผมบอกตัวเองย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อย่างกับคนเสียสติ ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าวอย่างอัดอั้นเต็มประดา

         ร่างของอาเทอร์ล้มกลิ้งลงไป นั่นจึงทำให้ผมได้สติกลับคืน ได้ตื่นมาเห็นทั้งการตบหัว การชกต่อยเต็มสองตาอีกครั้ง เสียงสบถด่าภาษาแม่กรีดแทงเป็นแผลลึกอยู่ในหัวใจ น้ำตาของผมมันไหลออกมาเมื่อไรไม่รู้ตัว ผมรู้ตัวแค่ว่าเท้ากำลังก้าวออกไป และจะยื่นมือเพื่อไขว่คว้าอาเทอร์เอาไว้ก็เท่านั้น ผมทนกับการเสียใจที่ต้องเห็นเพื่อนโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

         "ต้นแสง"

         ผมหันกลับมาเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อ สิ่งที่เห็นคือนายทหารญี่ปุ่นตัวสูงคนหนึ่งก่อนจะถูกดึงตัวกลับมากะทันหัน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าหัวใจตัวเองตกวูบไปอยู่ตรงตาตุ่ม นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างหักห้ามไม่ได้ ผมถูกผู้ชายคนนั้นกดลาดบ่าให้นั่งลงไปกับพื้น คงจบสิ้นแล้ว แต่ก็ต้องเลิกคิดแบบนั้นเมื่อเขาทำสัญญาณมือบอกให้เงียบก่อน

         "คุณรู้ชื่อ..."

         คำว่า 'ของผม' กลืนหายลงไปในคอที่แห้งผาก เมื่อถูกคนแดนอุทัยเหลือบมองตรงมา โทนสีนัยน์เดียวกันสองคู่สบอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเป็นต้นแสงเองที่ละสายตาออกไป ใบหน้าเรียบนิ่งของชายญี่ปุ่นคนนี้ยากเกินกว่าจะเข้าใจว่ามาดีหรือร้าย

         "อาเทอร์ บอก..."

         ผมตกใจ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเจ้าของชื่อแผดเสียงเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่เพราะในอกมันปั่นป่วนจนเจียนจะสติแตกให้ได้ ผมไม่อยากทนแล้ว ผมอยากกรีดร้องให้มันระบายสิ่งที่มีทั้งหมดออกไป ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย

         ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลง แม้จะยังได้ยินอยู่ แต่คราวนี้ผมกลับคิดว่าเสียงของอาเทอร์นั้นช่างห่างออกไปเหลือเกิน

         ผมเริ่มร้องไห้เป็นครั้งที่สอง มือที่กำมัดยาแน่นหลุดคลาย ก่อนจะตัดสินใจวางทิ้งลงบนตัก วางสิ่งที่ตั้งใจทุกอย่างทั้งหมดเอาไว้ตรงนี้ด้วยคำนึงเพียงชั่วครู่ยาม แล้วใช้ที่ปลดพันธะเกาะกุมสองฝ่ามือของผู้ชายตรงหน้าซึ่งกำลังปิดโสตรับฟังให้ผมอยู่ ใบหน้าของเขาพร่าเบลอเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาในทุกขณะ มือคน ๆ นี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน

         "ไม่เป็นไร ร้องไห้ออกมาเถอะ ไม่เป็นอะไรแล้ว"

         ผมร้องไห้ ร้องไห้อย่างเงียบงัน หรือเป็นเพราะผมถูกเขาปิดกั้นเอาไว้ ไม่อาจรู้ได้ จึงไม่ได้ยินเสียงเจ็บปวดของตัวเอง แต่ผมก็ไม่อยากได้ยิน เพราะถ้าได้ยิน จากนี้ไปก็คงเข้มแข็งเหมือนเดิมไม่ได้อีก ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น

         ผมเสียใจที่พ่อจากไป เสียใจมาตลอด อยากยื้อชีวิตของท่านเอาไว้ เหมือนที่ยื้อชีวิตคนเหล่านี้

         ผมรู้ตัวเองดี รู้มาตลอดว่าอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความอ่อนแอของตัวเองได้ ตลอดมาผมจึงเลือกที่จะไม่ร้องไห้กับเรื่องของพ่อ แต่ตอนนี้คงจะไม่ได้แล้ว ในที่สุดผมก็เป็นอิสระจากความเศร้าเสียที

         หยาดฝนเม็ดสุดท้ายสิ้นสุดไปเมื่อฤดูฝนปีที่แล้ว เมื่อไร ตอนไหน ไม่มีใครรู้ แต่ต้นแสงรู้ว่าตอนนี้น้ำตาหยดสุดท้ายของตนกำลังหมดไป และพอทุกสิ่งทุกอย่างจบลง เด็กหนุ่มก็ได้เช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนด้วยหลังมือของตัวเอง จนดวงตาสามารถกลับมามองคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง

         "ออกไปได้แล้ว"

          ทหารคนนั้นบอก ผมพยักหน้ารับ เราสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เขาเดินนำหน้าออกไปก่อนผมจึงเห็นปลอกแขนเครื่องหมายกาชาดที่ทหารคนนั้นสวมเอาไว้ จึงรู้อย่างง่ายดายว่าผู้ชายคนนี้เป็นแพทย์ทหาร

          เงาของร่างสามทหารไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างอาเทอร์ขึ้นมา ร่างกายฝรั่งคนนี้บาดเจ็บหนัก แต่พอเรามองหน้ากัน อาเทอร์กลับยิ้มยินดีออกมาได้

         "โอ้...สวรรค์ ดีใจที่เธอมานะ"

         คล้ายอาเทอร์กระซิบ แต่นั่นเพราะว่าเขาไม่มีแรงเหลือเฟือ แถมยังถูกเล่นงานตามใบหน้า ตามตัว จนห้อเลือดบวมช้ำ ผมเผลอสบถด่าออกมา และเพิ่งรู้ตัวว่าผู้ชายที่ช่วยตัวเองเอาไว้ก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย แน่นอนว่าต้องได้ยินสิ่งที่ผมพูด แต่เขาจะเข้าใจหรือไม่ อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ผมรู้สึกผิด

         "ดีใจที่ได้เจอเช่นกัน ซากุระซัง"

          เผลอหันมองผู้ชายที่ถูกเรียกชื่อ 'ซากุระ' โดยไม่ตั้งใจ เราสองคนสบตากันพอดี ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปหาอาเทอร์ผ่านหน้าของผมไปพลางใช้มือประคองหน้าของคนเจ็บอย่างเบามือ ตามมาด้วยช่วงลำคอ ตัว แขนขา และจบด้วยข้อเท้า ซากุระตรวจดูทุกส่วน จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา

         "คราวนี้คุณรู้จักลดอาการบาดเจ็บของตัวเอง กระดูกเลยไม่ร้าวนะอาเทอร์"

         นัยน์ตาแดงก่ำอาเทอร์ฉายความโล่งอก ผมที่รอฟังอยู่ก็เบาใจขึ้นบ้าง

         "เด็กคนนี้ไงที่ผมเล่าให้คุณฟัง"

         อาเทอร์ว่าพลางลูบหัวเด็กหนุ่ม แม้ว่ากายนี้เจ็บจวนจิตจะแตกสลาย แต่พอมีเด็กคนนี้อยู่เคียงข้างในเวลาที่น่าบัดซบอดสูแบบนี้ เขาก็ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อกลับไปหาลูกชายที่รอคอยพ่ออยู่อีกฝากฝั่งของแผ่นดิน ต้นแสงคล้ายกับลูกของเขามาก พอมองมาที่ซากุระอีกครั้งหนึ่ง อาเทอร์เห็นสีหน้าของทหารหนุ่มว่าตนได้รับรู้แล้ว ผ่านสายตาของคนเอเชียคู่นั้น

         "อาเทอร์ ทำไมพวกนั้นถึงทำร้ายคุณ"

         ในที่สุดผมก็ถามออกไป คนในอ้อมแขนผมไอโขลกขนานใหญ่ก่อนจะหยัดตัวขึ้นมานั่ง โดยมีแขนของผมประคองอยู่เนือง ๆ

         "พอดีมียาตัวสำคัญหายไป พวกนั้นเลยคิดว่าฉันขโมยน่ะสิ ก็ฉันเป็นหมอนี่นะ"

         ผมไม่เชื่อ ไม่เชื่ออย่างสุดใจว่าผู้ชายคนนี้จะเอาไป ไม่มีเหตุผลที่เชลยจะอยากทำให้ตัวเองต้องลำบากเพิ่ม ไม่มีเลย

         "ผมพอช่วยอะไรได้มั้ย?"

         "ต้นแสงที่รัก แค่การที่เธอนำยาแสนวิเศษมามอบให้พวกเรา นั่นคือการต่อชีวิตแล้ว"

         อาเทอร์แย้มยิ้ม แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพทุกข์ทนในอาภรณ์ที่รุ่งริ่ง และการได้อาบน้ำคือพระพรจากพระเจ้าก็ตาม แต่อาเทอร์ก็ดูดีสำหรับผมเสมอ หัวใจของเขาสวยงามมาก ผมบีบมือของชายคนนี้แน่น ส่งผ่านคำภาวนาที่ได้เรียนรู้จากคน ๆ นี้แก่อาเทอร์ แก่ผู้เจ็บปวด และความปราถนาดีจากนายทหารที่นั่งอยู่เคียงข้าง ซากุระทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป

         "ผมจะพยายาม"

         "ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้รู้จักเธอ นี่ต้นแสง ในเมื่อเธอรู้จักซากุระซังแล้ว สนิทกันไว้สิ เธอกับเขาบ้าบิ่นเหมือนกันที่ยอมมาช่วยเหลือเชลย"

         "ผมไม่ได้ยอมช่วย ผม'ช่วย'ต่างหากอาเทอร์" ซากุระท้วง ซึ่งผมก็เห็นด้วยกันกับเขา อาเทอร์หัวเราะที่เห็นพวกเราคิดเหมือนกัน เขาบอกว่าอย่างไรเสียก็บ้าบิ่นเหมือนกันอยู่ดี

         "ซากุระซังคุณพอจะช่วยทำแผลให้อาเทอร์ได้มั้ย?"

          ผมถาม เพราะตอนนี้ก็เลยเวลาไปมากพอสมควรแล้ว ไม่อยากให้คนรออยู่ที่บ้านต้องเป็นห่วงเพียงเพราะลูกชายกลับบ้านช้าแม้เพียงนาทีเดียวก็ตาม ซากุระพยักหน้ารับ นั่นทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาทันใด

         "ทำได้แน่นอน อย่างดีที่สุดด้วย"

         "ขอบคุณครับ ผมฝากด้วย"

         เราสองคนผลัดเปลี่ยนกันประคองอาเทอร์ ผมยกมือไหว้คนฝรั่งอย่างเด็กติดนิสัยไหว้ผู้ใหญ่ ผมลุกขึ้นกำลังจะเดินจากไป แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้มอบยาที่แม่วานฝากให้กับอาเทอร์เลย แต่อยู่ ๆ ผมก็เกิดความชั่งใจ เพราะถ้าหากให้ตอนนี้อาเทอร์ที่ถูกเพ่งเล็งอยู่แล้วอาจโดนสงสัยมากขึ้นไปอีก เขาอาจไม่บอกทหารพวกนั้นว่าได้ยานี้มาอย่างไร ซึ่งนั่นอาจทำให้ผู้ชายคนนี้เดือดร้อนหนักกว่าเดิม

         ผมชั่งใจอีก จากนั้นก็หันตัวกลับมา เดินตรงไปหาซากุระ

         "เชื่อใจคุณได้ใช่มั้ย? ซากุระ"

         ซากุระสบตาผม ดวงตาของเขาเรียบนิ่งเหมือนทะเลยามสงบ ผมไม่รู้เลยว่าคน ๆ นี้ดีหรือร้าย ไม่รู้เลย

         "ไม่จำเป็น แต่เธอจงรู้เอาไว้ว่าผมศรัทธาในพระบัญญัติของพระเจ้า"

          พระบัญญัติของพระเจ้า ที่ว่าด้วยรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง

           ซากุระสบตาผม ดวงตาของเขาเรียบนิ่งเหมือนทะเลยามสงบ เวลาผมมอง ผมมักจะคิดถึงหาดทรายที่เคยไปเล่นและดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากับพ่อเสมอ ณ ที่ตรงนั้น ทะเลช่างสงบมั่นคงเหลือเกิน

           และแล้วผมก็คงตัดสินใจได้ สักที










    ริ้วเกลียวคลื่นคลาไคลโซมซัดฝั่งคล้ายคนรอนแรมแรมจากแดนไกลกลับหวนคืนสู่บ้านเกิดที่แท้จริง ก่อนจะสลายหายไปเหลือทิ้งไว้แต่ร่องรอยที่เคยมา เหมือนคนรักที่พานพบ เหมือนสงครามที่เกิดขึ้นมาและจากไป ไม่มีอะไรอยู่คงทนกัลปวสาน หลงเหลือเอาไว้เพียงความรู้สึกที่สักวันก็คงเลือนลางหายตามไปเช่นกัน

          ผมเองก็ได้กลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจากลา เท้าเปลือยเปล่าเหยียบอยู่บนหาดทราย ที่ครั้งหนึ่งเคยนองไปด้วยหยดเลือดของเหล่าวีรชน แต่หาดทรายยังคงเป็นผืนสีขาวเหมือนเดิม แม้ว่ามันจะผ่านอะไรมามากมาย ทั้งน้ำตา คำบอกลา คำสาปแช่งของเหล่าผู้สูญเสีย และผู้จากไป ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่เรื่องราวบนผืนทราย ณ ที่แห่งนี้ต่างหาก

         หลังจบสงคราม แผ่นดินไทยได้รับการปลดแอกจากญี่ปุ่นผู้ปราชัยย่อยยับและถูกพลิกโฉมหน้าให้กลายเป็นผู้ชนะสงครามจากการร่วมมือ ‘ขบวนการเสรี’ หลังจากนั้น ผมและซากุระต่างจากกันไปตามหนทางของตัวเอง เพราะซากุระ จึงทำให้หลังจากนั้น เมื่อโตขึ้นผมก็เลือกที่จะเรียนและทำงานด้านเภสัชศาสตร์สมุนไพร เพราะเขา จึงเป็นผมทุกวันนี้

          ผม ที่เติบโตท่ามกลางโลกที่เจอสงครามได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งการสูญเสีย และมิตรภาพระหว่างคนสองชาติภายใต้ความขัดแย้ง

         ครั้งหนึ่ง พวกเราเคยนั่งคุยกันใต้ต้นแสงจันทร์ ผมเล่าที่มาของชื่อตัวเองให้ซากุระฟัง และลองให้ซากุระได้ดมกลิ่นดอกไม้จากต้นของมันด้วย ซากุระชอบมาก ถึงขนาดที่นำต้นอ่อนของมันกลับไปปลูกที่บ้านเกิดของตัวเองหลังสงครามยุติลงแล้ว ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า 'ซากุระ' คือต้นไม้ที่มีดอกสวยสดงดงาม ชื่อของเราทั้งคู่ได้มาจากชื่อของต้นไม้เหมือนกัน น่าเสียดาย ซากุระบอกว่าต้นไม้ประเทศเขาไม่สามารถปลูกในภูมิประเทศร้อนชื้นอย่างไทยได้ เพราะต้นซากุระต้องเกิดและเติบโตอยู่ในเขตอบอุ่นเท่านั้น แต่เขาก็สัญญาว่า ไว้จะมารับผมไปดูดอกซากุระด้วยกันสักในวันหนึ่ง

          พอมาถึงตรงนี้ ผมก็ขบคิดว่าเขาคงเป็นดอกไม้พลัดถิ่น

         ซากุระเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง ที่เวลาเบ่งบานสะพรั่งจะงดงาม มีสีแตกต่างกันไปตามชนิด สีขาวและสีชมพู

         ผมไม่เคยได้เห็นต้นจริงๆ ของมัน แต่ผมรู้ว่ามันต้องสวยงามมาก

         สักวันเราคงได้กลับมาเจอกันอีก

         ซากุระ พลัดถิ่นของผม…









































เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in