นี่ก็ผ่านมาแล้ว 9 เดือนนับตั้งแต่ฝันตอบรับของขวัญพิเศษที่จะไปเยือนปราสาทซินเดอเรลล่าจากนางฟ้าแม่ทูนหัวที่ฝันเรียกด้วยชื่อเล่นว่า “โอกาส” ฝันยังจำได้ดีเมื่อตอนที่ฝันขออนุญาตแม่ครั้งแรกเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ฝันรู้มาตลอดว่าแม่เป็นห่วง แม่ยังไม่อยากให้ไป เพราะด้วยการที่เราเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยไปต่างแดนเองเลยซักครั้ง ไกลที่สุดที่เคยไปกับญาติๆก็แค่ปักกิ่งเมื่อตอนอยู่ ม.3 นี่จะไปไกลถึงอเมริกา ห่างกันตั้งครึ่งโลก! แถมยังไปคนเดียว ไม่มีเพื่อนไปด้วยเลยซักคน ถือว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวฝันเอง และแม่ด้วย แต่ในที่สุดแม่ก็เห็นว่าฝันพร้อมแล้วที่จะไปผจญภัยตามเส้นทางความฝันนี้ แม่จึงตกลง
คืนก่อนวันเดินทางเป็นคืนที่วุ่นวายที่สุด เพราะฝันเพิ่งจะสอบปลายภาคเสร็จมาหมาดๆ แม้จะเตรียมตัวเรื่องข้าวของมาแล้วเนิ่นๆ แต่ด้วยความที่จะออกจากบ้านไปตั้ง 2 เดือนกว่าเป็นครั้งแรก เลยมีหลายอย่างให้คิด ไหนจะเรื่องเสื้อผ้า หยูกยาสามัญประจำบ้านทั้งหลาย (ซึ่งฝันได้ข่าวมาว่าที่อเมริกาเข้มงวดมาก เรื่องนี้เลยต้องไปขอใบรับรองจากแพทย์กันยกใหญ่ เผื่อเขาตรวจ เราจะได้มีหลักฐานยืนยันว่ายาชนิดนี้ไม่ได้ซื้อมากินเองมั่วๆนะ มีลายเซ็นแพทย์ด้วยเห็นไหม) รวมไปถึงผงปรุงรสอาหารไทยอีกเป็นโหล ตั้งแต่รสลาบ ต้มยำ ต้มข่า ไปจนถึงรสแกงเลียง เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยการทานแต่เพียงแซนด์วิช หรือแฮมเบอร์เกอร์เป็นแน่
สำหรับฝัน คืนนั้นเป็นคืนที่แสนสั้น เราสองแม่ลูกนั่งจัดของกัน (ที่ถูกควรจะพูดว่าฝันนั่งจัด ส่วนแม่นั่งเป็นเพื่อน และช่วยตรวจสอบของสำคัญที่ต้องเอาไปด้วยมากกว่า) จนเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน แม่ก็บอกให้ฝันไปนอนซะ เพราะเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งเราก็ต้องออกเดินทางกันแล้ว ฝันคิดว่าที่แม่มาอยู่กับฝันทั้งคืนทั้งที่วันต่อมาก็ต้องไปทำงานนั้น คงเพราะมันจะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้คุยด้วยกัน และเห็นหน้ากัน ก่อนที่ทั้งเวลา และสถานที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับเราตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์ ตั้งแต่เด็กจนโต แม่ฝันจะบอกราตรีสวัสดิ์ฝันทุกคืน แม่เรียกฝันว่า “เจ้าตัวเล็ก” แม้ฝันจะตัวไม่เล็กแล้วก็ตาม ฝันเคยถามแม่ว่าทำไมถึงยังเรียกอย่างนี้อยู่ แม่จะตอบด้วยประโยคเดิมที่คุ้นเคยว่า “ก็ไม่ว่าจะยังไง หนูก็เป็นเจ้าตัวเล็กของแม่นี่นา”
และแล้ววันที่ฝันกาปฏิทินรอก็มาถึง เมื่อตรวจสอบของจำเป็นหนสุดท้ายเป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคิดว่าไม่ลืมอะไร คณะน้อยๆ พ่อ แม่ ลูก ของเราก็พร้อมออกเดินทางไปสนามบิน แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อก้าวพ้นประตูบ้าน จะพบทั้งคุณตา คุณลุง และคุณป้าทั้งหลายพร้อมใจกันออกเดินทางไปส่งหลานสาวคนนี้ข้ามฟ้าไปต่างประเทศ เป็นความทรงจำที่ชวนให้น้ำตาปริ่มจริงๆ ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ใครๆก็อยากให้คนสำคัญของตัวเองมายืนข้างๆกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แค่เขามายืนข้างๆและยิ้มให้ เราก็มีทั้งกำลัง และความมั่นใจเต็มเปี่ยมแล้ว ฝันเคยคิดมาตลอดว่าการชวนใครมาส่งเราที่สนามบินตอนรุ่งเช้าเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง เพราะแปลว่าเขาจะมีเวลาพักผ่อนน้อยลง เหนื่อยมากขึ้น และหากเขามาส่งเราไม่ได้ รังแต่จะทำให้เขารู้สึกแย่ที่จะต้องปฏิเสธคำชักชวนในช่วงเวลาสำคัญของเราเช่นนี้ จึงไม่เคยออกปากชวนใครเลย แต่ในทางกลับกัน แม่กลับมาบอกฝันว่า การที่เราชวนใครซักคน แปลว่าเราให้ความสำคัญกับเขา ฝันไม่รู้เหมือนกันว่า ความคิดของใครเป็นฝ่ายที่ถูก ฝันรู้แต่ว่าตอนนี้ฝันมีความสุขมากที่ถูกรายล้อมไปด้วยทุกคน
นาฬิกายังคนเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ในขณะที่เวลาของฝันที่จะอยู่ตรงนี้กับญาติๆน้อยลงไปทุกที ฝันยืนอยู่ด้านหน้ารูปปั้นยักษ์ถือกระบองที่ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ของเราในสนามบินแห่งนี้ ฝันลองมองไปในทิศทางเดียวกันกับที่ยักษ์ตนนี้มอง ภาพแบบไหนที่เห็นได้จากสถานที่นี้บ้างนะ จะรู้สึกอย่างไรนะเมื่อเห็นผู้คนร้องไห้กอดกันเมื่อจาก และยิ้มพร้อมน้ำตาเมื่อมาพบกันใหม่ ชีวิตคือการเดินทาง เราออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ แต่แล้วเราก็ต้องกลับมาที่ “บ้าน” ของเราอยู่ดี
ถึงเวลาแล้ว ฝันมองหน้ายักษ์ตนนี้อีกหน อีกไม่นานเราจะได้เจอกันใหม่ สูดหายใจลึกแล้วก้าวเดินออกไป วินาทีนี้ ฝันคิดออกแล้วว่าในกระเป๋าเดินทางที่ฝันเอามาด้วยนั้น ฝันไม่ได้พกเสียงแม่มาด้วยนี่นา คำถามหนึ่งจึงก้องอยู่ในหัว และเริ่มดังขึ้งเรื่อยๆตามก้าวเดินที่ห่างออกไป ว่าคืนต่อๆไป จะต้องทำยังไงให้ได้ยินเสียง “ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าตัวเล็ก” ก่อนนอนนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in