RECAP โอกินาว่า ใน 5 ภาพ (★ω★)/
Hai-Sai! เจอรอยยิ้มแบบนี้เข้าไปใครจะลืมลงกันเล่า! ╰(▔∀▔)╯ เพราะน้องชีซ่าจะยิ้มแฉ่งต้อนรับเราทุกที่ ตั้งแต่หน้าประตูยันซองขนม เป็นทั้งเทพพิทักษ์ ผู้คุ้มครอง แล้วยังจะเป็นมาสคอตขวัญใจของเกาะแห่งนี้ด้วย และความเก๋อยู่ตรงที่ว่าศิลปินแต่ละคนสามารถที่จะรังสรรค์น้องออกมาในสไตล์ของตัวเอง ทำให้ไม่มีการเจอชีซ่าครั้งไหนเหมือนกันเลย มันคือความสนุกที่จะได้เห็นชีซ่าตัวนี้แยกเขี้ยวตาหยี อีกตัวหนึ่งแลบลิ้นด้วย ส่วนตัวข้างๆก็ยกขาหน้าอย่างกับจะขอให้อุ้มยังไงยังงั้น บางตัวที่ตีกลองก็มีนะเออ ก็ไม่รู้ว่าน้องมีพลังวิเศษจริงๆมั๊ย แต่ที่แน่ๆก็คือเรามีความสุขและได้ยิ้มตามทุกครั้งที่ได้เห็น ...จริงๆนะ^^
ทุกๆเมืองมักจะมีอาหารขึ้นชื่อหรือเป็นเอกลักษณ์เด่นของเขา แต่ใครจะเชื่อว่าโอกินาว่าถึงขั้นมี ‘โซบะ’ เป็นของตัวเองกัน! ヽ(°〇°)ノ มื้ออาหารแรกในแดนปลาดิบเกิดขึ้นที่ร้านขายโซบะเล็กๆหน้าตาบ้านๆในซอยใกล้ที่พัก หลังจากสั่งเมนูไปไม่นาน เซอร์ไพรส์แรกที่ได้รับ คือ หน้าตามันไม่เหมือนโซบะที่คุ้นเคยเอาเสียเลย ตามมาด้วยเซอร์ไพรส์ที่สอง คือ แล้วมันดันอร่อยกว่าโซบะทั่วไปอีกต่างหาก! ความหอม ความนุ่มของเส้น ความกลมกล่อมของน้ำซุป และเนื้อหมูที่ละลายในปาก ทุกส่วนประกอบในชามส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างลงตัว บางครั้งประตูสู่การเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ ก็มาจากประตูร้านอาหารธรรมดาๆแบบนี้นี่เองเนอะ
โอ้โห เขาเอาอะไรมามั่นใจว่าเราจะได้เจอวาฬน่ะ Σ( ̄。 ̄ノ) โอกินาว่าเป็นที่ที่เหมาะสมต่อการนั่งเรือออกไปชมวาฬหลังค่อมมากๆ ซึ่งก็มีหลากหลายทัวร์ให้เราได้เลือกสรร ทั้ง Zamami Whale Watching Association, Cerulean Blue Okinawa, Joy Create Okinawa Tea-Da และ Marine House SEASIR ซึ่งแน่นอนว่าการเดินเรือออกไปกลางทะเลเวลาแดดเปรี้ยงนั้นร้อนสุดๆ แต่ทันทีที่วาฬออกมาอวดโฉมแล้วเราก็จะถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นทันที มันคือความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีขนาดตัวยาวกว่า 15 เมตรและหนักกว่า 30 ตันที่เป็นเจ้าของผืนน้ำแห่งนี้ การที่ได้เห็นมันหมุนตัวและฟาดหางไปมาอย่างเป็นอิสระทำให้รู้สึกว่าเราตัวเล็กจิ๋วไปโดยปริยาย แล้วก็ถ้าโชคดีพออาจจะได้เห็นเจ้าวาฬตัวน้อยด้วยล่ะ
ใครๆก็รู้ว่าทะเลโอกินาว่าสวยมาก แต่ธรรมชาติฝั่งบนบกก็สวยไม่แพ้กันเลยจริงๆ °˖✧◝(⁰▿⁰)◜✧˖° มีโอกาสได้ไปที่ Bios no Oka หลังจากโดนชื่อสถานที่นี้เตะเข้าที่ตาตอนหาที่เที่ยวแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็รู้สึกประทับใจตั้งแต่ที่ลานจอดรถ เพราะต้นไม้ที่ปลูกเรียงกันอยู่ตรงนั้นแปลกสุดๆ ต้นอะไรไม่รู้มีก้านชี้ตั้งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกับมีเทียนนับหมื่นเล่มปักอยู่ทั่วทั้งต้นเลย ส่วนด้านในจะมีพันธุ์พืชในเขตกึ่งเขตร้อนที่ได้รับการจัดตกแต่งอย่างวิจิตร ทั้งไม้ดอกไม้ประดับยืนประชันความสวยกันอย่างไม่น้อยหน้า พร้อมกับสัตว์น้อยใหญ่เต็มไปหมด ซึ่งเราสามารถเลือกที่จะเดิน นั่งรถไฟหรือรถลากโดยน้องควายก็ได้ ส่วนในโซนทะเลสาบก็มีเรือให้นั่งชมวิวรอบๆ หรือถ้าอยากจะพายเรือแคนูเองเพลินๆก็ฟินสุดๆ อิ่มตาอิ่มใจกันไปครึ่งวันเลยต้องขอปิดท้ายด้วยการอิ่มท้องด้วย ‘Jushi onigiri’ ข้าวปั้นสไตล์โอกินาว่า และไอศกรีม Blue Seal ไอศกรีมเชื้อชาติอเมริกันสัญชาติโอกินาว่า รสบิสกิตเกลือที่แสนจะโด่งดังของที่นี่ เข้มข้น กลมกล่อม หอมหวาน แถมยังเจือความเค็มนิดๆทิ้งไว้บนลิ้นให้นึกถึงทะเลโอกิฯเล่นๆอีกต่างหาก ใครจะไปอดใจไหวกัน!
ความผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของ ‘ริวกิว’ คือเสน่ห์ที่เย้ายวนที่สุดของเกาะแห่งนี้ เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรก็จะได้กลิ่นอาย... ไม่ใช่ของญี่ปุ่น... แต่เป็นของตัวโอกินาว่าเอง! Σ>―(〃°ω°〃)♡→ ความประหลาดใจแรกที่ทำให้นึกถึงเอกลักษณ์ข้อนี้คือ ‘ชุดริวโซ’ ที่ฉีกภาพชุดกิโมโนในหัวไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยสีสันที่สดใสตัดกันสุดๆ ช่วยขับให้ลายของผ้าบิงกาตะดูสวยเด่น แถมชุดนี้ไม่มีการใส่โอบิด้วย เพราะปรับให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศของที่นี่ แล้วไหนจะเรื่องการแสดงศิลปะพื้นบ้านที่เรียกว่า ‘เอซา’ อีก ท่วงท่าที่ร่ายรำออกมาแสดงถึงความแข็งแรงราวนักรบ แต่ก็เต็มไปด้วยความสง่างาม ทั้งอาหารและของหวานก็ไม่เป็นรองใคร สถาปัตยกรรมต่างๆสามารถถ่ายทอดทั้งเรื่องราวความเป็นมาและประวัติศาสตร์ความภูมิใจของเกาะได้เป็นอย่างดี และเหนือไปกว่านั้นคือชาวโอกินาว่า ที่แสนจะใจดี น่ารัก และเป็นกันเอง (*♡∀♡) ทุกส่วนผสมมารวมกันอย่างลงตัวก่อเกิดเป็นความละมุน และอบอุ่นหัวใจทิ้งไว้ให้คนที่เคยมาสัมผัสได้พาความรู้สึกดีๆนั้นกลับบ้านไปด้วย และบางที... เราอาจจะได้กลับมาเจอกันใหม่ก็ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in