เพลงนี้เล่าถึงเวลาสร้างสรรค์งานเขียนอะไรบางอย่าง ที่เราต้องเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักกว่าจะได้ออกมาแต่ละคำ กว่าจะประกอบร่างสร้างเป็นประโยค กว่าแต่ละประโยคจะเชื่อมโยงกันจนกลายเป็นเรื่องเล่าหลายหน้ากระดาษ เราต่างมีช่วงเวลาที่ต้องทะเลาะกับตัวเอง เพราะการเขียนทำให้เราดำดิ่งลึกลงไปสุดใจ จนบางทีก็ต้องเจ็บปวดกับการพยายามเค้นความรู้สึก ขุดคุ้ยเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำในวันวานออกมา ถึงแม้สิ่งที่เราเขียนมันจะดูไร้สาระในสายตาใครบางคน ถึงแม้จะมีคนที่ไม่ชอบผลงานของเรา แต่ก็ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เราเขียนขึ้นมานั้น อาจช่วยปลอบประโลมใครสักคนที่กำลังเหนื่อยล้า ให้รู้สึกมีกำลังใจอยากฮึดสู้ขึ้นมาก็เป็นได้
เพลงนี้เป็นผลงานเพลงโซโล่ล่าสุดจาก Jin (จิน) หรือ Shizen no teki P (自然の敵P)
ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงชุด Kagerou Project ที่เขาเป็นทั้งผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองเพลง จินยังเป็นนักเขียนที่มีผลงานLight novel ชุด
Kagerou Daze และยังเป็นผู้เขียนบทมังงะ
Kagerou Daze นอกจากนี้ผลงานเขายังถูกนำมาดัดแปลงสร้างเป็นอนิเมชั่นในนามว่า
Mekaku City Actors และยังแตกแขนงเป็นผลงานอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ภาพยนตร์ เกม หนังสือประกอบการเรียนมัธยม ฯลฯ
จินแต่งเพลงนี้เพื่อใช้ประกอบ
โฆษณาของเว็บไซต์
alphapolis พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานสามารถโพสมังงะหรือนิยายออริจินัลของตัวเองได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันนักอ่านก็สามารถเข้าไปอ่าน เพลิดเพลินกับผลงานในนั้นได้ เพลงนี้ถือเป็นการทำเพลงประกอบโฆษณาครั้งแรกที่เขาเป็นคนร้องเพลงเอง โดยจินได้พูดถึงเพลงนี้ไว้
ที่นี่ว่า "เป็นเพลงที่เขียนขึ้นจากการหวนนึกถึงเส้นทางในอดีตที่ตัวเองได้ก้าวเดินมา ผมจะดีใจมากถ้าเพลงนี้ไปดังก้องอยู่ในหัวใจเหล่าผู้คนที่รักในการสร้างสรรค์ผลงานครับ"
เพลง: Gojitsu tan (เรื่องเล่าหลังจากวันนั้น)
เนื้อร้อง & ทำนอง: Jin (じん)
書き残したものは他に在ったか
kaki noko shita mono wa
hoka ni atta ka
ผมยังหลงเหลือเรื่องราว
ที่จะเขียนทิ้งไว้ในอนาคตอีกไหมนะ
shizunda kehai gozen yoji
uzuku matte iru
ความรู้สึกซึมเศร้าตอนตีสี่
นอนหมอบคู้อยู่อย่างนั้น
泣き続けた旅が終わったのか どうか
naki tsuzu keta tabi ga
owatta no ka dō ka
การเดินทางที่ร้องไห้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้น
สิ้นสุดลงแล้วหรือยังนะ ได้โปรด
ore kaketa pen o katate ni
ผมจับปากกาด้ามหักไว้ด้วยมือเดียว
norotta mirai mo mawaru sekai
no utsu kushi sa mo
ทั้งอนาคตที่ได้สาปแช่งไป
ทั้งความสวยงามของโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนผัน
kakae kirenai ikari mo
mujun'na teema mo
ทั้งความโกรธที่แบกรับไว้ไม่ไหว
ทั้งหัวข้อผลงานที่ขัดแย้งกันเอง
kyō shitsu no seki de
kan-gaeta yōna yume wa
aruki dashita ano goro to onaji
ความฝันที่เหมือนกับว่า
ผมนั่งคิดอะไรอยู่ตรงเก้าอี้ในห้องเรียน
ได้เริ่มออกเดินทาง เหมือนกับตอนนั้น
今日もまた痛んだ
kyō mo mata itanda
วันนี้ก็เจ็บปวดอีกเช่นเคย
kokoro ga shinde itta
หัวใจผมมันตายด้านไปแล้ว
口をついた「こんなもんだろう」
kuchi o tsuita
`konna mon darou'
คำพูดติดปากที่ว่า
"มันก็คงเป็นแบบนี้แหละ"
いつからか日和った あの日の教室で
一体誰が泣いている?
itsu karaka hiyotta
ano hi no kyō shitsu de
ittai dare ga naite iru?
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมองดูอยู่ห่างๆ
สรุปแล้ววันนั้น ใครกันที่ร้องไห้ในห้องเรียน?
aka randa machi nami wa
onaji tsuzu ite iku
ทิวทัศน์ของเมืองสีแดงฉาน
ที่ทอดยาวออกไป แลดูคล้ายคลึงกัน*
今日の行方を暈していく
kyō no yukue o boka shite iku
ทำให้จุดหมายปลายทางของวันนี้
เลือนรางลงทุกที
ushi natta kotoba mo
mi-enai mama
ขณะที่ยังมองไม่เห็นถ้อยคำที่ทำหายสูญ
ki-enai negai o
kitte hatte tsuzuru tsuzuku
ผมได้ปะติดปะต่อ ตัด แปะ ร้อยเรียง
ความปรารถนาที่ไม่จางหายนี้ต่อไป
omoi no take o kaki naguru
kimi no soba ni todoku yō ni
รีบเขียนแบบหวัดๆ ลงไปตามแต่ใจนึกคิด
เพื่อจะส่งไปให้ถึงเธอ
chi o haite wa kyō mo
kaki nokosu bukakkō na uta o
ต่อให้ผมกระอักเลือด
วันนี้ก็จะเขียนบทกวีที่น่าอายทิ้งไว้
hoka no dareka ga
boku o kiratte mo
แม้ว่าใครต่อใครจะเกลียดผม
ienai jidai ga tsuzuite mo
แม้ว่ายุคสมัยที่พูดออกไปไม่ได้
จะยังดำเนินต่อไป
itsuka tsuta waru kurai ga chōdo ii
ขอแค่พอสื่อสารออกไปได้ในสักวันหนึ่ง
ก็ดีแล้วล่ะ
今日も思い出していた
絶望を知った日を
kyō mo omoi dashite ita
zetsubō o shitta hi o
วันนี้ก็นึกถึงวันวาน
ที่ผมรู้ซึ้งถึงความสิ้นหวัง
yūkei ni isu watte
yonda ichi pēji o
นั่งนิ่งงันในยามเย็นโพล้เพล้
อ่านจบไปหนึ่งหน้ากระดาษ
馬鹿な大人たちが嘲笑った言葉で
救われたって良いだろう
baka na otona tachi ga
aza waratta kotoba de
suku ware tatte ii darou
ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ที่เราถูกช่วยชีวิตไว้
จากถ้อยคำที่พวกผู้ใหญ่บ้าๆ
พากันหัวเราะเยาะ
naki dashita kotoba koso
fusa washii
เพราะเป็นประโยคที่เราร้องไห้ออกมานั่นแหละ
จึงเหมาะสมลงตัวพอดี
kitto itai kurai no iro ni
kaga yaite iku
มันจะต้องเปล่งประกายทอแสง
เป็นสีที่แสดงถึงความเจ็บปวดได้ดีแน่นอน
一向に差す兆しが見えなくとも
ikkō ni sasu kizashi ga
mi-enaku tomo
ต่อให้มองไม่เห็นลางสังหรณ์
ที่ใครหยิบยื่นให้เลยแม้แต่น้อย
この手が動く限りに綴る
kono te ga ugoku kagiri
ni tsuzuru
ผมก็จะเรียงร้อยถ้อยคำต่อไป
ตราบใดที่ยังเคลื่อนไหวมือนี้ได้อยู่
ずっと目を凝らして考える
無謀で馬鹿な虚実譚を
zutto me o kora shite kan-gaeru
mubō de baka na kyojitsu tan wo
ผมจดจ้องและครุ่นคิดมาโดยตลอด
ถึงเรื่องเล่าที่เป็นทั้งเรื่องจริงเรื่องแต่ง
ที่แสนไร้สาระ และไม่ได้ลึกซึ้งอะไร
2004年8月に
死んでいた少年に捧ぐ
nisen yonen hachi gatsu ni
shinde ita shōnen ni sasagu
ขออุทิศให้เด็กชาย
ที่ตายจากไปเมื่อเดือนสิงหา ปี2004**
あの日誰かのペンを追いかけて
間違うほど描いた人生は
ano hi dareka no pen wo oi kakete
ma-chigau hodo kaita jinsei wa
ชีวิตที่วาดฝันไว้ถึงขั้นผิดพลาด
ที่ไปเดินตามเส้นทางของคนอื่นในวันนั้น
kitto kimi ni totte fusa washii
จะต้องเหมาะสมกับเธอแน่นอน
kimi ni totte boku ni totte
fusa washii
สำหรับเธอและผมแล้ว
มันช่างเหมาะสมเหลือเกิน
こんな愚か者の話
書き殴ってみたところで
響かないだろう
kon'na oroka mono no hanashi
kaki nagutte mita tokoro de
hibi kanai darou
เรื่องราวไร้สาระอะไรแบบนี้
ต่อให้ลองเขียนพรั่งพรูความรู้สึกออกไปเร็วๆ
ก็คงไม่ทุ้มอยู่ในใจใครหรอก
微睡みの中で夜は明けて
madoro mino naka de
yoru wa akete
ระหว่างที่ผล็อยหลับไป
รัตติกาลก็ผันผ่านเป็นรุ่งเช้า
ketsu matsu o kidzuka sete
ช่วยทำให้ผมตระหนักรู้ถึงบทสรุปที
沈み込んだ今日の行方を暴いていく
aka randa asa yake no hikari
shizumi konda kyō no
yukue wo abaite iku
แสงอรุณของท้องฟ้าสีตะวัน
ทำให้จุดหมายของวันนี้ที่เคยจมดิ่งหายไป
ถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
ushi natta kotoba ga uzuita nara
mabushii sekai ni pen o tatete
ถ้ารู้สึกเจ็บแปลบกับถ้อยคำที่สูญหาย
ขอให้เราจับปากกาขึ้นมา
แล้วมุ่งสู่โลกที่เจิดจ้านั้นเถอะ
uta-ou, kimi to
มากู่ก้องร้องเพลงด้วยกันเถอะ
ร้องเพลงไปกับเธอ
----------------------------------
/ ขยายความเนื้อเพลง
*赫らんだ 街並みは同じ続いていく
aka randa machi nami wa onaji tsuzu ite iku
ทิวทัศน์ของเมืองสีแดงฉานที่ทอดยาวออกไป แลดูคล้ายคลึงกัน
- 赫らむ akaramu น่าจะความหมายเดียวกับ 赤らむ ที่อ่านได้แบบเดียวกัน หมายถึง (ดอกไม้, ผลไม้ที่สุกเป็น)สีแดง หรือ(หน้า)แดง
- การที่จินเลือกใช้คันจิ 赫 แทนที่จะใช้ 赤 เพื่อสื่อสารถึง "สีแดง" นั้นน่าสนใจมากๆค่ะ ถึงแม้จินจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับ Kagerou Project
- แต่ก็มีแฟนคลับท่านนึงได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเพลงนี้ว่า "ได้ฟังเพลง Gojitsu Tan ของจินซังแล้วล่ะ เพราะฉันเป็นแฟนคลับ KageProด้วย ก็เลยคิดว่าตัวคันจิ 赫らんだ (aka randa) มันสุดยอดมาก อิมเมจที่เหมือนว่าตัว 赤(สีแดง) กับ 赤(สีแดง) มาอยู่เคียงข้างกัน อาจจะหมายถึงชินทาโร่กับอายาโนะ หรืออาจจะหมายถึงจินซังกับ(พวก)ชินทาโร่ก็เป็นได้"
- และยังมีแฟนคลับอีกท่านที่บอกว่า "เนื้อเพลงตรง "回る世界 (mawaru sekai)" "目を凝らして (me o korashite)" "赫らんだ (aka randa)" ทำให้นึกถึงKageProเลยอะ แฟนคลับร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วนะ"
**2004年8月に死んでいた少年に捧ぐ
nisen yonen hachi gatsu ni shinde ita shōnen ni sasagu
ขออุทิศให้เด็กชายที่ตายจากไปเมื่อเดือนสิงหา ปี2004
➡ "เด็กชาย" shōnen ในท่อนนี้ตีความได้ 2 แบบ
- หมายถึง ขออุทิศเพลงนี้แด่ตัวJin ในอดีต (ปี2004 เป็นปีที่Jin อายุ14ปีพอดี)
- หมายถึง ขออุทิศเพลงนี้แด่ตัวละครในนิยายของJin ที่ตายจากไป
➡ เกี่ยวกับโฆษณา
- Gojitsu Tan ผลงานจาก Jin เพลงนี้เป็นเพลงประกอบโฆษณาเว็บไซต์ alphapolis ซึ่งโฆษณานี้เป็นเรื่องราวของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่โพสผลงานตัวเองลงเว็บไซต์นี้ แล้วเกิดโด่งดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืน ต่อมาผลงานเขาถูกนำไปตีพิมพ์เป็นนวนิยาย ทั้งยังถูกนำไปทำเป็นมังงะ จนมีผู้อ่านติดตามผลงานเขามากมายหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กมัธยม พนักงานบริษัท ไปจนถึงแม่บ้าน นอกจากนี้ผลงานของเขายังจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านอยากจะลองลงมือเขียนผลงานของตัวเองขึ้นมาบ้าง ซึ่งอนิเมชั่นในโฆษณานี้ก็เป็นผลงานจากค่ายที่สร้างผลงานอนิเมมาช้านานอย่าง Tatsunoko Pro
//เป็นเพลงที่ฟังแล้วก็อดที่จะคิดถึง KagePro ไม่ได้จริงๆค่ะ ขนาดวันที่ปล่อยMVเพลงนี้ (15 สิงหา) ยังเป็นวันครบรอบ10ปีของ Kagerou Project เลยค่ะ นอกจากนี้ยังตรงกับวันที่แฟนๆเรียกกันว่าเป็น"วัน Kagerou Days" อีกต่างหาก TwT แต่จินซังก็บอกอยู่กลายๆ แล้วล่ะว่าเพลงนี้แต่งขึ้นมาจากการมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา ก็ต้องมีบรรดาลูกๆ ผลงานที่เขาเคยเขียนขึ้นมาด้วยซ่อนอยู่ในเพลงบ้างแหละเนอะ
เพลงนี้แปลยากมากเลยค่ะ เราไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าความหมายของคำที่เลือกมาแปล จะตรงกับความหมายแท้จริงที่จินซังอยากบอกผู้ฟังไหม แต่ก็ชอบการเลือกใช้คำในเพลงนี้มาก รู้สึกว่าเขาคัดสรรแต่ละคำออกมาอย่างตั้งใจมาก อย่างเช่น 書き残したもの kaki nokoshita mono 在る aru 沈んだ気配 shizunda kehai 呪った未来 norotta mirai 矛盾な題材 mujun na daizai (ที่ตอนร้องเขาเปลี่ยนคำอ่านตรง題材 daizai เป็น テーマ teema) 日和った hiyotta 赫らんだ aka randa 失った言葉 ushinatta kotoba 差す兆し sasu kizashi ต่างก็เป็นคำที่เราคิดว่าน่าสนใจมาก และเป็นคำที่มีหลายความหมายซ่อนอยู่ในนั้น ทำให้ท้าทายและสนุกที่จะตีความมากเลยค่ะ จำได้ว่าตอนอ่านเนื้อเพลงครั้งแรกเราตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของคันจิที่เขาเลือกใช้มากเลยค่ะ
อีกหนึ่งความสุดยอดของเพลงนี้คือการเขียนเนื้อเพลงที่ไม่มีท่อนไหนซ้ำกันเลยสักท่อนค่ะ สมแล้วที่เป็นผลงานของจินซัง
หากแปลผิดพลาดประการต้องขออภัย
และสามารถชี้แนะได้เสมอเลยค่ะ
m(_ _)m
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in