ณ ย่านคังนัมใจกลางเมืองโซล ถนนสายเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นสุดเก๋และคาเฟ่สุดฮิป บรรยากาศรายล้อมไปด้วยต้นแปะก๊วยที่เมื่อถึงฤดูผลัดใบ ทั้งสองฝั่งถนนจะถูกย้อมไปด้วยสีเหลืองทองราวกับทางเดินที่ถูกโปรยด้วยแสงสีทองแห่งความอบอุ่น ภายในถนนเล็ก ๆ เส้นนี้เต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ กิ้ฟต์ช้อป และคาเฟ่ต่าง ๆ มากมาย
‘อิมชางกยุน’ ไอดอลวัย 20 ปีที่เพิ่งจะได้เดบิวต์ไปเมื่อ 3 เดือนก่อน กำลังเดินเพลิดเพลินอยู่กับการวนเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อยู่บนถนนแห่งนี้พร้อมกับเมเนเจอร์ส่วนตัวของเขา เป็นที่รู้กันดีว่าย่านนี้คือแหล่งรวมถิ่นฐานค่ายเพลงทั้งน้อยใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าค่ายของชางกยุนก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้เช่นเดียวกัน
ชางกยุนเดินช้อปปิ้งต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึงชานเมเนเจอร์ของชางกยุนก็ถือถุงเสื้อผ้าจนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ก็บ่นอะไรได้ไม่มากเพราะชางกยุนก็ไม่ค่อยจะฟังเขาเท่าไหร่นัก ชางกยุนเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพบกับตรอก ๆ หนึ่งบนถนน หน้าปากทางเข้าของตรอกเล็ก ๆ เป็นป้ายไฟสีขาวสลับแดงขึ้นบอกรายละเอียดของร้านที่ตั้งอยู่ภายในซอยแคบ ๆ
“Tiger J. Studio หรอ?”
ชางกยุนหยุดมองอยู่หน้าทางเข้าก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปมองในตรอกนั้น จะเรียกว่าเป็นซอยเลยก็ไม่ใช่อีก เพราะมันเป็นแค่ทางที่เลี้ยวเข้าไปปุ๊บก็จะเจอกับร้านร้านหนึ่งที่ดูจากภายนอกแล้วไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นร้านอะไร หน้าร้านมีรูปปั้นเสือตัวใหญ่อยู่ตรงทางเข้า ประตูและผนังทุกอย่างเป็นกระจกและมีม่านสีดำสนิทปิดทึบ ถ้าไม่มีป้าย Open คล้องอยู่ที่ประตูก็คงคิดว่าร้านนี้ต้องปิดอยู่แน่นอน
“พี่ซึงชาน นี่ร้านไรอะ สตูดิโอหรอ มาอยู่ในที่แคบ ๆ แบบนี้อะนะ?”
ชางกยุนหันไปถามพี่เมเนเจอร์
“อ๋อร้านนี้ เคยเห็นในเน็ตอยู่นะ เป็นร้านแทททูน่ะ”
“แทททูที่แปะ ๆ ลายอะนะ”
“ไม่ใช่สิ ร้านสัก”
“โหยยยยย เจ็บแย่เลยสิแบบนั้น”
ชางกยุนมุ่ยหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเอามือของตัวเองลูบเข้าที่แขนป้อย ๆ แค่นึกว่าแขนต้องโดนเข็มเจาะ ๆ จิ้ม ๆ รัว ๆ แล้วก็นึกเจ็บขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ทำไมล่ะ อยากสักรึไง”
ซึงชานถามชางกยุนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“สักไม่ได้หรอกนะ มันออกรายการทีวีไม่ได้ ถ้านายสักไปนะท่านประธานเอาตายแน่”
พี่เมเนเจอร์สุดโหดคาดโทษ
“โถ่พี่ก็ ใครจะไปสักกัน เจ็บจะตาย”
ชางกยุนพูดพลางทำหน้าเบ้เหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งไปสักมาก่อนจะพูดต่อ
“ผมอยากรู้จังว่าคนที่เขาสักนี่เขาคิดอะไรกันอยู่อะ ไม่เจ็บหรือไง ทำร้ายตัวเองซะเปล่า อีกอย่างพวกคนมีรอยสักนี่ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหนเลย ผิวหนังตัวเองดี ๆ แท้ ๆ จะไปทำให้มันเปื้อนทำไม ดูสกปรกออก เนอะ”
ชางกยุนร่ายยาวเป็นชุดในขณะที่ยืนกอดอกและมองร้านสักที่อยู่ในตรอกนั้นอย่างพินิจน์พิเคราะห์
โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพี่เมเนเจอร์ซึงชานนั้นได้เดินนำหน้าเขาไปตั้งนานแล้วเพราะทนความหนาวของอากาศไม่ไหว มีแต่ชางกยุนนั่นแหละที่เอาแต่จ้องระหว่างหน้าร้านกับรูปปั้นเสือที่ตั้งอยู่ตรงนั้นสลับไปสลับมา
“พี่ ผมว่านะ…….”
“……………………”
ชางกยุนเห็นคู่สนทนาตัวเองเงียบไปก็เลยหันมาจะบ่นสักหน่อย แต่พอหันไปก็เจอเข้ากับเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นตา เอ๊ะ พี่ซึงชานใส่ชุดนี้หรอ แล้วปกติเวลามองระดับสายตานี้ก็จะเห็นหน้าพี่ซึงชานแล้วนี่ ทำไมนี่เห็นแค่ปลายคาง........
คิดได้แบบนั้นชางกยุนจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปจนเจอกับบุคคลปริศนาที่ยืนมองตัวเองอยู่
ชายแปลกหน้าสูงกว่าเขาไม่มากนัก ผมบลอนด์ที่ผ่านการกัดสีมาอย่างโชกโชนจนแทบจะเป็นสีขาวเหมือนกับผิวของเจ้าของ บริเวณทางด้านหลังใบหูทั้งสองข้างมีรอยสักเป็นรูปโน๊ตบนตรีบนบรรทัดห้าเส้นลากยาวไปตามลำคอ ส่วนทางแขนซ้ายก็มีรอยสักรูปเสือกำลังคำราม ดวงตาเรียวเล็กที่ดูเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของรอยสักนั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตานิ่ง ๆ
“เอ่อ........”
คนตัวเล็กกว่าไม่รู้จะทำยังไงดีในสถานการณ์แบบนี้จึงเปล่งเสียงทำลายความเงียบออกมา
“ขอโทษแล้วกันนะครับที่ผมดูสกปรก”
ชายผู้มาพร้อมกับรอยสักพูดออกมาเงียบ ๆ
“อ่า……คือผม.....”
เอาล่ะสิชางกยุนเอ๊ย ตีปากตัวเองสักทีดีมั้ยเนี่ย ไอ้นิสัยพูดมาก พูดไปเรื่อยแบบนี้เมื่อไหร่จะเลิกสักที ทำตัวเองเดือดร้อนมากี่รอบแล้วแค่เพราะการพูดแบบไม่หยุดไม่รู้จักคิดแบบนี้
“ขอทางหน่อยครับ ผมจะเข้าไปทำงาน”
คนตัวสูงกว่าพูดก่อนจะเดินเบียดคนตัวเล็กเข้าไปยังร้านที่ตั้งอยู่ในตรอกนั้น
‘น่ากลัวเป็นบ้า’
ชางกยุนคิดในใจ คนบ้าอะไรสักเยอะแยะขนาดนั้น หน้าตาก็ดุ โคตรจะไม่มีความเป็นมิตรเลยสักนิด
--------------------------------------------------------
-ด้านในร้าน Tiger J. Studio-
จูฮอนเดินเข้ามาภายในร้านด้วยความรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย ก็จะไม่ให้หงุดหงิดได้ไงล่ะในเมื่อมีใครก็ไม่รู้มายืนอยู่หน้าทางเข้าร้านแล้วก็มาบ่น ๆ บ่นป้ายร้าน บ่นทางเข้า ทำไปทำมามาบ่นคนที่เขาสักอีก มาคิดแทนคนอื่นอีกว่าสักแล้วมันสกปรกอย่างนู้นอย่างนี้ เหอะ!
“เป็นอะไรไปไอ้เสือ ทำไมหน้าตาหงุดหงิดขนาดนั้น”
ราวี่ที่กำลังเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์การสักอยู่บนโต๊ะถามขึ้นมาทันทีที่จูฮอนก้าวเข้ามาในร้าน
ราวี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของจูฮอน ทั้งสองคนมีความสนใจในเรื่องที่คล้ายกันนั่นคือการสัก ทั้งคู่รักในงานศิลปะและคิดว่าการสักเป็นสิ่งที่สวยงาม พวกเขาต่างฝึกฝนฝีมือจากการเป็นลูกจ้างตามร้านสักในเมืองใหญ่ต่าง ๆ จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการสัก สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่จึงได้ร่วมหุ้นกันสร้างสตูดิโอสักขึ้นเป็นของตัวเองและใช้ชื่อว่า Tiger J. Studio โดยเป็นฉายาของจูฮอนที่ราวี่ชอบเรียกเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าไอ้เสือ
“ก็ตะกี้ดิ แม่ง ใครก็ไม่รู้มายืนวิจารณ์อยู่หน้าร้าน ด่าคนสักด้วยนะ บอกว่าสกปรกอะ ตลกว่ะ”
“เอ้า เป็นบ้าปะวะ มายืนด่าคนหน้าร้านสักเนี่ยนะ”
“เออใช่ปะ ตลกชิบหาย”
“เออน่า มึงก็ใจเย็น ๆ ช่างเขา มานี่มา กูเปิดทีวีให้ดูจะได้ใจร่ม ๆ เค้?” ราวี่พูดกับจูฮอนก่อนจะวางมือจากอุปกรณ์ที่กำลังเช็คความเรียบร้อยแล้วหันไปคว้ารีโมทมาเปิดทีวีแทน
'กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะกับรายการ Music Factory รายการที่จะพาทุกท่านไปพบกับการแสดงของเหล่าไอดอลทั่วประเทศ.................'
“เปิดทีวีทั้งทีก็มาเปิดดูรายการเพลงไอดอลเนี่ยนะเฮีย โหย ขอพวกแบบฮิปฮอปหรืออาร์แอนด์บี ไม่ก็บัลลาดไปเลยก็ได้มั้ยอะเฮีย เพลงไอดอลมีแต่ซ้ำ ๆ” จูฮอนบ่นใส่รุ่นพี่ที่หวังดีเปิดรายการเพลงให้เขาดูหวังจะให้เขาคลายเครียด
'สำหรับวันนี้เรามีศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ไปไม่กี่เดือน ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับเพลงพิเศษ ไปพบกับเขากันเลยค่ะ คุณอิมชางกยุน~~~'
'สวัสดีครับ ผมอิมชางกยุนครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับทุกคน'
‘เอ๊ะ คนนี้.......มันหน้าคุ้น ๆ เหมือนไอ้เด็กคนที่มายืนด่าอยู่หน้าร้านเมื่อกี้เลย’
จูฮอนนึกในใจ
“เด็กคนนี้น่ารักเนอะ” ราวี่ที่นั่งเท้าคางดูทีวีพูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มแป้นให้กับทีวีด้วยความเอ็นดู
“ห๊ะ?” จูฮอนขึ้นเสียงด้วยความสงสัย ก็ดูรุ่นพี่ที่เคารพรักเขาทำท่าทำทางอย่างกับจะกลืนกินทีวีเข้าไปเสียอย่างนั้น
“อ่อ เออเปล่า ไม่มีไร เห็นเด็ก ๆ น่ารัก ๆ แล้วมันก็กระชุ่มกระชวยหัวใจดี ก็แค่นั้น 55555555”
คนเป็นพี่หันมายักคิ้วให้สองทีก่อนจะลุกไปเช็คอุปกรณ์ต่ออีกรอบ
“เนี่ยเฮีย ไอ้เด็กคนนี้แหละที่มันมายืนด่าอยู่หน้าร้านเราอะ ผมจำได้แม่นเลย หน้าตาแบบนี้ แววตาแบบนี้ ขี้แมลงวันตรงคอแบบนี้ เป๊ะเลย”
“มึงนี่ก็จำรายละเอียดเขาแม่นเหลือเกินนะ เป็นแฟนคลับรึไง”
“แฟนคลับกับผีดิ โว๊ะ เพ้อเจ้อ”
จูฮอนพูดด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ารีโมททีวีเพื่อจะกดปิด
และในจังหวะเดียวกันก็เป็นตอนที่ชางกยุนขึ้นแสดงพอดี เสียงทุ้มต่ำและการแรปที่ดุดันของชางกยุนทำให้จูฮอนที่ชื่นชอบเพลงฮิปฮอปเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจ้องมองตาไม่กระพริบ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนตัวเล็ก ๆ แววตาหลุกหลิกดูตื่นกลัวแบบนั้น พออยู่บนเวทีแล้วมันกลับมีเสน่ห์ตั้งมากมายขนาดนี้ เสียงทุ้มที่ดึงดูดให้โสตประสาทรับรู้ แววตาประกายความมั่นใจและแฝงไปด้วยความซุกซนแบบนั้น........มันทำให้จูฮอนถึงกับละสายตาจากคนที่อยู่ในทีวีไม่ได้เลย
“มึง……..ไอ้จูฮอนโว้ยยยยย”
“โอ๊ยเชี่ย” จูฮอนสะดุ้งและเผลอสบถคำหยาบคายออกมาหลังจากที่โดนม้วนกระดาษแผ่นใหญ่กระแทกเข้าเต็มหลังจากฝีมือการโยนของรุ่นพี่
“พูดจากันดี ๆ ก็ได้ปะวะเฮีย ไม่เห็นต้องทำร้ายร่างกายกันเลย”
“กูเรียกมึงแล้วมึงได้ยินที่ไหนล่ะ นู่น ไปรับโทรศัพท์ ลูกค้าโทรมาจองคิวมั้ง”
ราวี่พยักเพยิดไปที่โต๊ะที่ตอนนี้เสียงโทรศัพท์กำลังร้องดังลั่น
“เออ ๆ ไปแล้ว”
--------------------------------------------------------
หลังจากวันนั้น วันที่จูฮอนได้ฟังเพลงของชางกยุน ต้องบอกตามตรงว่าเขาหลงรักในเสียงเพลงของเด็กคนนี้มาก อีเว้นท์ต่าง ๆ ที่ชางกยุนจัด เขาไม่เคยพลาดเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นรายการเพลง รายการวิทยุ คอนเสิร์ต หรือแม้แต่การแสดงเล็ก ๆ ตามผับหรือร้านอาหาร จูฮอนก็ตามไปฟังเพลงของชางกยุนทุกครั้ง ซึ่งมันก็แน่นอนว่าเขามักจะเป็นจุดสนใจของแฟนคลับด้วยกันเอง เพราะเขาเป็นแฟนบอยที่เป็นส่วนน้อยของกลุ่มแฟนคลับไอดอล แต่โชคก็ยังดีที่เพลงของชางกยุนเป็นเพลงแนวฮิปฮอปจึงทำให้พอจะมีแฟนบอยอยู่บ้าง
แต่ก็นะ........ใครมันจะไปโดดเด่นเท่ากับคนที่สักมาแทบจะทั้งตัวอย่างเขากันล่ะ
--------------------------------------------------------
“นี่ชางกยุน นายรู้ตัวมั้ยว่านายมีแฟนบอยเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” พี่เมเนเจอร์ซึงชานพูดกับชางกยุนในขณะที่อยู่ในห้องรับรอง วันนี้เขาพาชางกยุนมาออกอีเว้นท์เล็ก ๆ ของผับแห่งหนึ่งในย่านอีแทวอน
“จริงอะ ไม่เห็นเคยเจอเลย”
“จริง เท่าที่เห็นนี่ก็มีอยู่ 4-5 คนเลยนะที่ตามนายทุกงาน แต่มีอยู่คนนึงเนี่ยพี่จำแม่นเลย สักทั้งตัว นายน่าจะเห็นบ้างนะตอนแสดงบนเวที”
“โหยพี่ อยู่บนเวทีสปอทไลท์ส่องอย่างเดียว มองไม่เห็นหรอก”
“แต่จริง ๆ นะ คนนี้เขาตามนายทุกงานเลย รายการเพลง รายการวิทยุ อีเว้นท์นู่นนี่ของนายพี่เห็นเขาตลอดเวลาเลย จริง ๆ ที่เห็นเพราะเขาก็เด่นด้วยแหละ สักรูปโน๊ตดนตรีที่คองี้ ไหนจะรูปเสือที่แขนอีก ไม่เด่นก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว“
‘เอ๊ะ? โน๊ตดนตรีที่คอ? เสือที่แขน? หื้ม? ทำไมมันคุ้น ๆ’
ชางกยุนคิดในใจ
“ท่าทางน่าจะน่ากลัวนะเนี่ย” ชางกยุนตอบพี่เมเนเจอร์พลางทำสีหน้าครุ่นคิด
“คุณชางกยุนครับ แสตนด์บายได้เลยนะครับ” สต๊าฟที่ดูแลคิวเวทีเข้ามาบอกคิวศิลปินหนุ่ม ชางกยุนจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังเวที เตรียมตัวแสดงเพลงของค่ำคืนนี้
--------------------------------------------------------
สถานที่ที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง และดนตรีอิเล็คทรอนิกส์ สถานที่ที่ผู้คนมักจะมาปลดปล่อยความอัดอั้นข้างใน ในเวลานี้ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มาเพราะเป้าหมายเดียวกันนั่นคือศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ ชางกยุนมีแฟนคลับอยู่ก็ไม่น้อย แต่การมาแสดงในสถานที่อโคจรทำให้เด็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีตามมาดูไม่ได้ นั่นทำให้กลุ่มแฟนคลับที่ตามมาเชียร์เขานั้นเกาะกันเป็นกระจุกอยู่แค่เพียงมุมเดียว ที่เหลือก็จะเป็นคนที่เข้ามาใช้บริการของผับอยู่ก่อนแล้ว
ชางกยุนเอ็นเตอร์เทนคนดูทั้งแฟนคลับและลูกค้าของผับได้เป็นอย่างดี เพลงที่เขามิกซ์มาเองกับมือสร้างความพึงพอใจให้คนในร้านได้ไม่น้อย ทุกคนต่างมารวมกันที่ฟลอร์ด้านหน้าและปลดปล่อยตัวเองไปกับเสียงเพลง ชางกยุนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเสียงดนตรีด้วยเช่นกัน
แต่มันก็มีอยู่คนนึงแหละที่ชางกยุนสังเกตมาพักนึงแล้ว คนนั้น คนที่มีรอยสักรูปโน๊ตดนตรีที่คอ เขานั่งอยู่บริเวณเค้าท์เตอร์ตรงบาร์เทนเดอร์ หันหน้ามาทางเวทีที่ชางกยุนเล่นอยู่และโยกตัวตามจังหวะดนตรีเล็กน้อย
เล่นมาก็ตั้งหลายที่ แสดงมาก็ตั้งหลายครั้ง ทำไมถึงไม่เห็นเลยสักนิดว่าอีตารอยสักนี่ตามมาดูนะ คนที่พี่ซึงชานบอกก็คืออีตานี่นี่เอง
การแสดงจบลงไปพร้อมด้วยเสียงปรบมือและเสียงชื่นชมจากคนแทบทั้งร้าน ชางกยุนยิ้มรับด้วยความดีใจก่อนจะค่อย ๆ เดินลงจากเวทีไป
“พี่ ผมเห็นละคนที่สักเยอะ ๆ อะ คนนั้นจริง ๆ ด้วย”
ทันทีที่ลงมาจากเวทีแล้วเจอกับซึงชาน ชางกยุนก็รีบฟ้อง
“จำได้มั้ยที่ผมเคยเล่าว่าผมก็พูด ๆ บ่น ๆ เรื่องคนสักไปงั้น ๆ แต่พนักงานร้านสักร้านนั้นเขามาเจอพอดีอะ เนี่ยแหละ คนนี้เลย”
ชางกยุนทำสีหน้าจริงจัง
“อ้าวหรอ เฮ้ย แต่เขาตามนายไปทุกงานเลยนะ ดูไม่น่าจะใช่คนชอบฟังเพลงอะไรทำนองนั้นด้วยปะ หรือเขาจะแค้นที่นายไปด่า”
“เออเนี่ย ผมก็กลัว ๆ อยู่ เขาจะแค้นผมมั้ยอะพี่ โอ๊ย กลัว”
ชางกยุนมีสีหน้ากังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ตลกแล้ว ถ้าเขาแค้นนายจริงนะ ป่านนี้นายไม่ได้มายืนกลัวแบบนี้หรอก คิดมาก”
ซึงชานพูดขำ ๆ ก่อนจะยื่นชุดให้ชางกยุน
“อะ ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ดึกแล้ว รีบกลับเถอะ ง่วงละ”
“รู้น่า เอองั้นเดี่ยวผมไปเปลี่ยนในห้องน้ำเลยละกัน ปวดฉี่พอดี”
ชางกยุนพูดพลางยื่นมือไปรับชุดจากพี่เมเนอเจอร์และเดินออกไปยังห้องน้ำ
--------------------------------------------------------
“อ๊ะ”
ชางกยุนเดินออกมาจากห้องน้ำและชนเข้าอย่างจังกับใครคนหนึ่งจนเซถลาไปข้างหลัง ดีว่าคนที่เดินชนเขานั้นคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรมั้ยครับ”
ชายแปลกหน้าถาม
“ไม่เป็นไรครับ....เอ๊ะ? นี่คุณ?”
ชางกยุนถามพลางทำหน้าสงสัยหลังจากที่หันมาเห็นว่าคนที่ตัวเองเดินชนเมื่อกี้เป็นใคร
“………………..”
ร่างสูงตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรไป ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ และจ้องมองดูคนตัวเล็กข้างหน้าด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออก แต่จากกลิ่นแอลกอฮอล์ที่อยู่ตรงหน้านี้ บอกได้คำเดียวเลยว่าคน ๆ นี้กำลังเมาอยู่แน่นอน
“นี่คุณแอบตามผมมาหรอ?”
คนตัวเล็กเห็นคนตรงหน้าจ้องตัวเองไม่ว่างตาจึงเริ่มรู้สึกกลัว
“จูฮอน ผมชื่อจูฮอน”
ร่างสูงตอบกลับมาก่อนจะดึงมือคนตัวเล็กให้เดินตามเขาไปในห้องน้ำ
“ผมไม่ได้ถาม แล้วนี่คุณจะพาผมไปไหนเนี่ย ปล่อย!”
ชางกยุนพยายามแกะมือของจูฮอนออก แต่แรงจากคนตัวเล็กจะไปสู้แรงจากคนตัวใหญ่กว่าได้ยังไงกัน
จูฮอนพาชางกยุนเข้าไปยังห้องน้ำห้องในสุดก่อนจะล็อคประตูและดันหลังชางกยุนชิดกำแพง สองมือของร่างสูงเท้าไปที่กำแพงโดยขวางไว้ไม่ให้คนตัวเล็กหนีออกไปได้
“คุณ……..จะทำอะไรน่ะ”
ชางกยุนเสียงสั่นเล็กน้อย อยู่ดี ๆ ก็เจอคนที่ตัวเองเคยไปด่าเขาไว้ลากตัวเขามาในห้องน้ำ แถมยังเมามาขนาดนี้อีก
“คุณน่ะ.......คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณทำให้ผมนึกถึงคุณตลอดเวลา”
คนตัวสูงกว่าพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ไม่ค่อยชัดนักเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ตั้งแต่ที่ผมได้ยินเสียงคุณ ผมก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย วัน ๆ เอาแต่นึกถึงแต่คุณ”
“ผมไม่รู้จะไปตามหาคุณที่ไหน ใช่สิ ก็คุณเป็นดารานี่เนอะ มันคงยากถ้าผมจะเข้าหาคุณ”
“แต่ตอนนี้ผมเจอคุณแล้ว ผมจะไม่ปล่อยคุณไปไหน....อึก......”
ร่างสูงสะอึกเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าพะอืดพะอม
‘ชิบหายละ อ้วก อ้วกแน่นอน’
ชางกยุนคิดในใจ
“แหวะ”
ไม่ทันขาดคำ จูฮอนก็หันหน้าไปทางชักโครกและขย้อนเอาสิ่งต่าง ๆ ที่กินเข้าไปออกมาจนหมด
คนตัวเล็กมองก่อนจะขำเล็กน้อยและเข้าไปค่อย ๆ ลูบหลังร่างสูง
“เป็นอะไรมั้ยคุณ?”
ชางกยุนถาม จูฮอนส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน คนตัวเล็กเห็นแบบนั้นจึงค่อย ๆ ไปพยุงให้ร่างสูงลุกขึ้นและเปิดประตูห้องน้ำพาร่างสูงมายังอ่างล้างมือ
“ล้างหน้าล้างตาหน่อยนะคุณ มาเดี๋ยวผมช่วย”
คนตัวเล็กเปิดก๊อกน้ำและค่อย ๆ เอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองชุบน้ำก่อนจะเช็ดไปที่ใบหน้าของร่างสูง เพิ่งมาสังเกตดูดี ๆ ว่าคน ๆ นี้ก็หน้าตาใช้ได้เหมือนกันเลยนะเนี่ย ตาที่เรียวเล็กเป็นเอกลักษณ์นั่นมันเหมาะกับใบหน้าของเจ้าตัวเป็นอย่างดี ปากเป็นกระจับได้รูปที่กำลังยิ้มให้เขา มันทำให้ลักยิ้มทั้งสองข้างของแก้มปรากฏชัดเจนขึ้น.......
‘ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนี่นาอีตานี่เนี่ย’
คนตัวเล็กเห็นร่างสูงยิ้มให้ก็ยิ้มตอบกลับไป ตอนเจอกันครั้งแรกดูเป็นคนน่ากลัว แถมยังดูหงุดหงิดตลอดเวลา แต่ดูตอนนี้สิ ยังกับอาตี๋ข้างบ้าน รอยสักพวกนั้นไม่ได้ทำให้น่ากลัวขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
ในขณะที่ชางกยุนกำลังค่อย ๆ เช็ดหน้าให้จูฮอนอยู่นั้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของเราทั้งคู่มันค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้กันเรื่อย ๆ มือของร่างสูงเอื้อมมาจับมือของคนตัวเล็กที่กำลังเช็ดหน้าเขาอยู่ จูฮอนค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาหาชางกยุน ริมฝีปากของทั้งคู่กำลังจะสัมผัสกัน......
“เดี๋ยว!”
คนตัวเล็กใช้มืออีกข้างดันอกคนตรงหน้าเอาไว้
“ไม่ได้นะ คุณเพิ่งจะอ้วกมาเมื่อกี้”
คนตัวเล็กว่าพลางเบ้หน้าเล็กน้อย
“อ่า....ขอโทษที”
จูฮอนหันหน้ากลับมายังอ่างล้างหน้าพลางเปิดก๊อกน้ำบ้วนปาก คนตัวเล็กเห็นแบบนั้นก็ขำ
“หายเมาแล้วหรอคุณ”
ชางกยุนถาม
“พอได้เอาออกไปแล้วก็ดีขึ้นเยอะเลย ขอโทษนะ สงสัยจะเมามากไปหน่อย ขอโทษที่ลากคุณมาแบบนี้”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
ชางกยุนพูดแค่นั้นก่อนจะหันหลังพิงอ่างล้างหน้า จูฮอนหันไปมองคนตัวเล็กเล็กน้อย
“คุณไม่กลับหรอ?”
ร่างสูงถามเมื่อไม่เห็นว่าคนตัวเล็กมีท่าทีจะเดินกลับออกไป
“ยังไม่อยากกลับ กลับไปก็โดนพี่เมเนเจอร์บ่น รำคาญน่ะ”
ชางกยุนยิ้มให้ร่างสูงนิด ๆ
“ถ้างั้น........ออกไปสูดอากาศข้างนอกกับผมมั้ย?”
--------------------------------------------------------
ชางกยุนกำลังเดินรับลมไปเรื่อย ๆ บนดาดฟ้าของตึกโดยมีจูฮอนเดิมตามห่าง ๆ อยู่ด้านหลัง เพิ่งมารู้เอาทีหลังนี่แหละว่าผับที่ตัวเองมาแสดงวันนี้เป็นผับของจูฮอน นี่ถึงขนาดลงทุนจ้างเขามาแสดงเพื่อที่จะได้เจอกันเลยนะ มันต้องขนาดนั้นเลย
คนตัวเล็กหยุดเดินก่อนจะหันหน้าออกไปมองวิวของเมืองยามค่ำคืน กางแขนทั้งสองข้างเพื่อรับสายลมเย็น ๆ อากาศมันสดชื่นมาก ๆ มากเสียจนไม่อยากไปไหนเลย
“กริ๊งงงงงงงงงง”
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อของชางกยุนดังขึ้น คนตัวเล็กหยิบขึ้นมาดูพร้อมกับถอนหายใจ นี่เป็นสายที่ 28 แล้วที่เขาไม่ได้รับ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็พี่ซึงชานนั่นแหละ
“ไม่รับโทรศัพท์หน่อยหรอ”
จูฮอนที่เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ถามขึ้น
“ไม่อะ ก็ส่งข้อความไปบอกแล้วว่าคืนนี้ไม่กลับ พรุ่งนี้ไม่มีงานด้วย ไม่รู้จะโทรตามทำไมบ่อย ๆ”
คนตัวเล็กยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะยกเบียร์กระป๋องในมือที่หยิบติดขึ้นมาด้วยกระดกเข้าปากจนหมด
“เห็นแบบนี้คุณก็ดื้อเหมือนกันนี่นา”
จูฮอนพูดพลางเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ยื่นให้ชางกยุน คนตัวเล็กรับมันไปอย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวเถอะ”
ชางกยุนพูดเสียงแข็ง ๆ จูฮอนขำให้ชางกยุนก่อนจะเปลี่ยนสายตามองไปยังวิวตึกรามบ้านช่องที่อยู่ตรงหน้า
“นี่คุณ ถามหน่อยสิ คุณไม่ชอบคนสักหรอ”
จูฮอนถามขึ้น ชางกยุนหันหน้ามามองจูฮอนเล็กน้อย
“มันก็ไม่เชิงไม่ชอบหรอก แค่รู้สึกว่าพอสักเยอะ ๆ มันดูสกปรกน่ะ”
“แบบนี้คุณก็ไม่ชอบผมสิ”
จูฮอนหันหน้ามามองชางกยุนบ้าง
“แล้วทำไมผมต้องชอบคุณด้วยล่ะ”
คนตัวเล็กเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“ก็ผมชอบคุณ.....”
ร่างสูงตรงหน้าพูดออกมาเบา ๆ แต่ก็เบาพอที่คนตัวเล็กจะได้ยิน
“ผมไม่ได้ชอบแบบแฟนคลับทั่วไปที่ชอบคุณ แต่ผมชอบคุณแบบที่คน ๆ นึงจะสามารถรู้สึกกับคนอีกคนนึงได้”
จูฮอนพูดพลางค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ชางกยุน
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมไม่ชอบคุณนี่”
คนตัวเล็กค่อย ๆ เขยิบเข้าไปหาร่างสูงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นไปโอบรอบคอของคนตรงหน้า
จูฮอนโอบเอวบางเอาไว้ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปชิดกับคนตัวเล็กจนแทบไม่มีช่องว่างเหลือ ร่างสูงโน้มตัวลงมาเพื่อสัมผัสไปที่ปากนิ่มของคนตัวเล็ก ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ของทั้งคู่ทำให้การจูบแบบอ่อนโยนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นการจูบอย่างดูดดื่ม
ร่างสูงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาประคองใบหน้าของคนตัวเล็ก เขาปรับองศาใบหน้าของตัวเองเล็กน้อยเมื่อสันจมูกคมของตนชนเข้ากับจมูกได้รูปของคนตัวเล็ก จูฮอนขบเม้มไปที่ริมฝีปากนุ่มของชางกยุนจนเจ้าตัวเผยอปากออก ร่างสูงส่งลิ้นหนาเข้าไปทักทายลิ้นเล็ก อุณภูมิภายในร่างกายของทั้งคู่ต่างเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงแอลกอฮอล์หรือแรงปรารถนากันแน่
จูฮอนเริ่มมืออยู่ไม่นิ่ง เขาจัดการถอดเสื้อโค้ทตัวนอกของชางกยุนออกก่อนจะโยนมันทิ้งไปที่ไหนสักที่บนดาดฟ้า ร่างสูงยังคงมอบสัมผัสอันแสนดูดดื่มให้คนตัวเล็กพร้อม ๆ กับค่อย ๆ พาคนตัวเล็กเดินไปยังประตูดาดฟ้าที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานเท่าไหร่
ชางกยุนเดินไปตามแรงผลักของจูฮอนอย่างว่าง่ายจนกระทั่งแผ่นหลังของเขาแนบชิดติดเข้ากับกำแพงตรงบันไดหนีไฟที่เป็นทางออกมาจากประตูดาดฟ้าเมื่อกี้
“อื้อ”
คนตัวเล็กทุบอกร่างสูงเบา ๆ เพื่อประท้วงจากการที่โดนประกบปากอยู่นานจนแทบจะไม่มีอากาศหายใจ จูฮอนถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย ใบหน้าของคนตัวเล็กข้างหน้าที่กำลังหอบเหนื่อยและพวงแก้มกลมที่กำลังขึ้นริ้วสีชมพูนั่นมันแทบทำให้จูฮอนเป็นบ้า ทำไมถึงได้น่ารักน่ารังแกได้ขนาดนี้
ร่างสูงจุมพิตเข้าที่แก้มกลมของคนตัวเล็ก ก่อนจะค่อย ๆ ไล้ไปตามบริเวณใบหูและไล่ลงมาตามลำคอ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และผิวสัมผัสอันแสนนุ่มละเอียดของคนตรงหน้ามันทำให้แรงอารมณ์ของจูฮอนพุ่งขึ้นสูงได้อย่างไม่ยากนัก
“อ่ะ คุณ.........”
ชางกยุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจูฮอนขบเม้มเบา ๆ บริเวณลำคอขาวของตน มือของร่างสูงปลดปมเนคไทของคนตัวเล็กก่อนจะดึงมันออกอย่างไม่ค่อยเบามือนัก เนคไทยังไม่ทันจะหลุดจากคอดี จูฮอนก็รีบเอามืออีกข้างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของชางกยุนทันที
“อื้อ ไม่เอา ไม่ถอด”
คนตัวเล็กว่าก่อนจะคว้าหมับเข้าที่มือของจูฮอน
“ทำไมล่ะ”
ร่างสูงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ มาขนาดนี้แล้วจะให้เขาหยุดได้ยังไงกัน
“ที่นี่ไม่ได้นะคุณ”
ชางกยุนพูดเสียงอ่อน
“เถอะน่า ไม่มีใครมาเห็นหรอก ตึกปิดหมดแล้ว”
จูฮอนขมวดคิ้วตอบอย่างขัดใจ
“ตะ....แต่ว่า.....อื้อ”
คนตัวเล็กพูดยังไม่ทันขาดคำก็โดนคนตัวสูงกว่าประกบปากกลืนกินคำพูดไปจนหมด
จูฮอนปลดกระดุมเสื้อของคนตัวเล็กออกจนหมดและแหวกเสื้อออกจนเสื้อกองอยู่ที่ไหล่ขาว ร่างสูงค่อย ๆ ซุกไซร้ไปตามลำคอและไหปลาร้า แอบกัดไปที่ไหล่คนตัวเล็กเบา ๆ นิดนึงด้วยความหมั่นเขี้ยว สองมือลูบไล้ไปตามเรือนร่างขาวตรงหน้าก่อนที่มือข้างหนึ่งจะเลื่อนต่ำลงไปบีบสะโพกกลมเบา ๆ
คนตัวเล็กหอบหายใจถี่ราวกับจะหมดแรง ร่างสูงป้อนจูบให้กับคนตรงหน้าอีกครั้ง ชางกยุนใช้มือทั้งข้างโอบรอบคอจูฮอนแน่นก่อนที่จะเอามือข้างหนึ่งผละออกและไปปลดเข็มขัดกางเกงยีนส์ของจูฮอน
ชางกยุนดันคนร่างสูงตรงหน้าออกจนหลังของจูฮอนไปชนกับราวบันได มือเล็กค่อย ๆ ปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงยีนส์ออกอย่างช้า ๆเหมือนจงใจจะแกล้ง จูฮอนเห็นแบบนั้นจึงจัดการรูดซิปกางเกงตัวเองลงให้เสร็จสรรพ
มือเล็กค่อย ๆ บีบนวดส่วนที่ขยายของคนตรงหน้าที่อยู่ภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์สีดำ จูฮอนกัดฟันแน่นจนปวดกรามไปหมด คนตัวเล็กคุกเข่าลงก่อนจะค่อย ๆ ดึงกางเกงของร่างสูงให้ร่นลงมาจนไร้สิ่งปิดบังใด ๆ
ชางกยุนใช้มือเล็ก ๆ ของตัวเองรูดรั้งแกนกายของร่างสูงก่อนจะค่อย ๆ ส่งแท่งร้อนนั้นเข้าปากตัวเอง ความอุ่นร้อนในปากเล็ก ๆ นั่นทำเอาคนที่ถูกกลืนกินแทบจะคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร่างสูงจับราวบันไดแน่นเพื่อพยายามคุมสติตัวเอง
“คุณนี่มัน.......”
จูฮอนพูดเพียงแค่นั้นหลังจากที่ก้มลงมามองคนตัวเล็กที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้า หัวกลม ๆ นั่นกำลังเลื่อนขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเวลาที่เห็นความใหญ่โตของตัวเองอยู่ในปากของคนตัวเล็ก ปากชางกยุนเล็กเสียจนเวลาที่ส่งแท่งร้อนนั่นเข้าไปแล้วก็เห็นหมดเลยว่ามันไปอยู่ตรงส่วนไหนของปากบ้าง
ร่างสูงค่อย ๆ ดึงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนหลังจากที่คนตัวเล็กคายแท่งร้อนออกมาเพราะหายใจไม่ทัน จูฮอนประกบปากชางกยุนเพื่อมอบรางวัลให้กับเด็กน้อยที่ปรนเปรอเขาจนพอใจก่อนจะค่อย ๆ ดันตัวชางกยุนให้ไปติดกับกำแพงอีกครั้ง
ร่างสูงเริ่มซุกไซร้ไปตามซอกคอของคนตัวเล็กอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ ไล่มาบริเวณอก เสียงหัวใจชางกยุนเต้นแรงเสียจนกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไป จูฮอนหยอกเย้าอยู่กับยอดอกของคนตัวเล็กโดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงสแล็คของชางกยุนออก
“อ๊ะ.....คุณ......”
จูฮอนส่งมือของตัวเองเข้าไปหยอกเย้าเล่นกับส่วนอ่อนไหวของชางกยุน คนตัวเล็กสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เรียกพี่จูฮอน”
ร่างสูงกระซิบข้างหูของคนตัวเล็กด้วยเสียงทุ้มต่ำ มือที่กอบกุมแกนกายของคนตัวเล็กก็จัดการรูดรั้งจนคนตรงหน้าส่งเสียงร้องไม่ได้ศัพท์
“อ๊ะ…..พะ...พี่....พี่จูฮอน”
คนตัวเล็กทำตามอย่างว่าง่ายด้วยแรงอารมณ์ จูฮอนป้อนจูบเป็นรางวัลไปซ้ำ ๆ ก่อนจะดึงคนตัวเล็กไปยืนตรงราวบันได เขาจับให้ชางกยุนหันหลังให้ตัวเองและให้คนตัวเล็กเท้าราวบันไดนั่นเอาไว้
ร่างสูงดึงกางเกงของคนตัวเล็กออกจนมันไปกองกันอยู่ที่ข้อเท้า ชางกยุนเท้าราวบันไดไปหอบหายใจถี่ไป ทั้งตัวขึ้นสีแดงจากความร้อนในร่างกาย ซึ่งไม่น่าจะใช่ความร้อนจากแอลกอฮอล์แล้วตอนนี้ มันน่าจะเป็นเพราะความร้อนจากอย่างอื่นมากกว่า
จูฮอนบีบสะโพกกลมที่อยู่ข้างหน้าก่อนจะหยิบเอาแกนกายตัวเองขึ้นมา เขารูดรั้งมันอยู่ 2-3 ครั้งก่อนจะค่อย ๆ เอาไปจ่อที่ช่องทางสีหวานของคนตรงหน้า คนตัวเล็กกลั้นหายใจเล็กน้อยพร้อมทั้งหลับตาปี๋ จูฮอนเห็นแบบนั้นจึงโน้มตัวลงไปหาและเชยคางคนตัวเล็กให้หันกลับมารับจูบจากเขา
“อย่าเกร็งนะชางกยุน”
ร่างสูงถอนริมฝีปากออกก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและค่อย ๆ ดันแกนกายของตัวเองเข้าไป
“อ๊ะ….เจ็บ.....”
คนตัวเล็กสะดุ้งพร้อมกับบีบรัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาด้านหลังของตัวเองตามสัญชาติญาณ
“อืมมมม”
จูฮอนส่งเสียงออกมาตามลำคอเมื่อความคับแน่นของคนตรงหน้ามันทำให้เขาแทบเป็นบ้าอีกแล้ว เหงื่อเม็ดโตไหลซึมจากขมับลงมาตามแก้มไล่มาถึงลำคอที่เต็มไปด้วยรอยสักรูปโน๊ตดนตรีของเขา
ร่างสูงค่อย ๆ ขยับสะโพกเข้าออกอย่างช้า ๆ เพื่อให้คนตัวเล็กได้มีเวลาปรับตัว ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ อยากกระแทกแรง ๆ ไปสัก 2-3 ทีเพื่อสนองให้กับความใคร่ของตนเอง แต่ก็กลัวว่าคนตรงหน้าจะเจ็บมากกว่ามีความสุข
“อ๊ะ……คุณ……อึก……”
คนตัวเล็กส่งเสียงน่าอายออกมาอย่างไม่ขาดสาย พยายามกัดแขนตัวเองแล้วแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องร้องออกมาอยู่ดี
“บอกว่าให้เรียกพี่จูฮอนไง”
ร่างสูงพูดขึ้นก่อนจะเร่งความเร็วของสะโพกตัวเองให้เร็วกว่าเดิม
“อื้อ.....พี่....จูฮอน....อึก.....จูบ....ฮึก.....จูบผมหน่อย......”
ชางกยุนพูดด้วยเสียงสั่น ๆ ตามจังหวะที่คนร่างสูงเป็นคนมอบให้ จูฮอนไม่รอช้าโน้มตัวลงไปหาคนตัวเล็กทันที ชางกยุนหันหน้ามารอรับจูบจากจูฮอน ร่างสูงประกบริมฝีปากคนตัวเล็กและมอบจูบอันแสนดูดดื่มให้ในขณะที่ส่วนล่างของตนก็ยังทำหน้าที่เป็นจังหวะอยู่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แล้วก็เป็นชางกยุนก่อนที่ผละออกมาจากจูบนั้น คนตัวเล็กฟุบหน้าลงกับราวบันไดที่ตัวเองเกาะพลางกัดแขนตัวเองแน่นเมื่อกำลังเข้าใกล้ฝั่งฝันเต็มที
จูฮอนเองก็เช่นกัน เขาเร่งจังหวะตัวเองให้เร็วและรุนแรงขึ้น มือข้างหนึ่งบีบสะโพกกลมของคนตัวเล็กจนแน่น อีกข้างก็ใช้ปรนเปรอให้กับส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก เสียงเฉอะแฉะและเสียงครางทุ้มต่ำของทั้งคู่ดังไปทั่วบริเวณบันไดหนีไฟจนกระทั่งทั้งคู่ได้ไปถึงฝั่งด้วยกัน คนตัวเล็กกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะทรุดลงไปนั่งที่พื้นหลังจากที่ร่างสูงได้ถอนแกนกายออกไปจากเขาแล้ว
จูฮอนประคองชางกยุนให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมอบจูบอันแสนหวานให้กับคนตรงหน้าอีกครั้ง ร่างสูงค่อย ๆ ดึงกางเกงของคนตัวเล็กขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะติดกระดุมเสื้อและจัดเนคไทให้ใหม่ จากนั้นจึงหันมาดึงกางเกงของตัวเองและจัดการเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย
ชางกยุนหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด จูฮอนเห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กของชางกยุน
“ไปกันเถอะ”
ร่างสูงพูดและเดินจูงมือคนตัวเล็กให้เดินออกไปจากบันไดหนีไฟตรงนี้ เฮ้อ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ชั้นนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด
เอ๊ะ......หรือว่ามีนะ???.......
--------------------------------------------------------
หลังจากวันนั้น จูฮอนพยายามติดต่อชางกยุนไปอีกหลายครั้ง แต่คนตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ หรือว่าวันนั้นชางกยุนไม่ได้สมยอม? หรือว่าวันนั้นเขาบังคับชางกยุนมากเกินไป? ความคิดในหัวหลาย ๆ อย่างตีกันจนทนไม่ไหว จะไปหาที่บ้านชางกยุนก็ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กอยู่ที่ไหน จะไปหาที่ค่ายก็โดนสต๊าฟกันออกมาเพราะนึกว่าเป็นแฟนคลับ
‘นี่กูทำอะไรไม่ได้เลยหรอวะ แม่งเอ๊ย’
จูฮอนคิดในใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะปาเข็มสักในมือที่อยู่ตรงหน้าลงพื้นด้วยความโมโห
“เฮ้ยไอ้เสือ เป็นไรวะ มึงหงุดหงิดแล้วก็อย่ามาพาลลงกับของร้านแบบนี้ดิวะ”
ราวี่เดินเข้ามาเขกหัวคนอารมณ์ร้อนไปหนึ่งทีก่อนจะหยิบเข็มสักขึ้นมาเช็คดูความเสียหาย
“เฮีย ผมจะไปเจอชางกยุนยังไงได้บ้างวะ หลังจากวันนั้นเขาไม่คุย ไม่รับการติดต่อจากผมเลย แม่ง แลกเบอร์กันไว้แล้วแท้ ๆ”
จูฮอนเอ่ยอย่างหัวเสีย เขาเล่าให้ราวี่ฟังทุกอย่างว่าวันนั้นไปเจอชางกยุนมาแล้วเป็นยังไงบ้าง แค่ไม่ได้เล่าว่ามีอะไรลึกซึ้งไปแค่ไหนก็เท่านั้น
“เขายุ่งเปล่ามึง เขาเป็นดารานะเว้ย”
“แต่ก็ไม่น่ายุ่งขนาดที่จะไม่รับโทรศัพท์ผมป้ะ โทรไปตั้งหลายครั้งอย่างน้อย ๆ ตอนก่อนจะนอนก็ต้องเห็นมิสคอลผมมั่งดิวะ นี่ไม่โทรกลับเลย มันผ่านมา 3 วันแล้วนะ”
จูฮอนพูดรัวด้วยความหงุดหงิด
“แล้วทำไมมึงต้องโมโหขนาดนั้นวะ เขาเป็นเมียมึงรึไง”
ราวี่พูดขำ ๆ
‘ก็เออไง’
คิดในใจนะ พูดออกไปไม่ได้จริง ๆ
“เออเนี่ย เห็นวันก่อนในบล็อค อีก 2 วันเขาจะมีแฟนไซน์นี่ ถ้าเค้าไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมเจอมึง มึงก็ไปหาเขาเลย”
ราวี่พูดก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้ารายละเอียดของงานแฟนไซน์ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีก 2 วันนี้ให้จูฮอนดู
‘เอาวะ ไม่ยอมมาเจอ กูไปหาก็ได้!’
--------------------------------------------------------
- งานแฟนไซน์อิมชางกยุน @ คังนัม -
ชางกยุนกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องรับรองด้านหลังเวทีที่จะขึ้นไปแจกลายเซ็นต์ คนตัวเล็กนั่งเหม่อลอยมองกระจก กำลังคิดถึงเจ้าของรอยสักรูปโน๊ตดนตรีและเสือที่แขนนั้น
ภาพของวันนั้นเขายังจดจำได้ดี หลังจากที่ออกมาจากบันไดหนีไฟของตึกที่เป็นผับของจูฮอนนั้น จูฮอนก็พาเขามาส่งที่บริษัทเพราะเขาขอร้องเอง แถมยังแลกเบอร์แลกอะไรกันไปเรียบร้อย
หลังจากนั้นจูฮอนก็โทรมาหาเขาทุกวัน แต่เป็นเขานี่แหละที่ไม่กล้ารับสาย เขากลัว กลัวว่าจูฮอนจะแค่เข้ามาหาและก็จากไปแบบคนก่อน ๆ ที่เคยเข้ามา ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเป็นเขาที่ถอยห่างออกมาเอง
‘ก็เพิ่งจะรู้จักกันเอง เรื่องวันนั้นก็ถือซะว่าเมาก็แล้วกัน’
ชางกยุนพูดกับตัวเองด้วยประโยคนี้ทุกวัน
แต่สุดท้ายก็อดคิดถึงคนตาตี่ผมบลอนด์พร้อมรอยสักเต็มตัวคนนั้นไม่ได้สักที
“เหม่ออะไรชางกยุน ไปได้แล้ว ได้เวลาแล้ว”
พี่เมเนเจอร์เดินมาสะกิดชางกยุนให้ลุกขึ้นและเตรียมออกไปยังเวที
คนตัวเล็กค่อย ๆ เดินไปขึ้นเวที ชางกยุนกล่าวทักทายแฟน ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่คนที่นั่งแถวหลังสุด ดูจากส่วนสูงแล้วคงเป็นผู้ชายไม่ผิดแน่ เขาคนนั้นใส่หมวกแก๊บและสวมแมสปิดหน้าเอาไว้
‘แต่ดวงตาแบบนั้น มันเหมือนเขาเลยนะ มันเหมือนคน ๆ นั้น’
ชางกยุนคิดในใจและก็ได้แต่เก็บความสงสัย พยายามมองหารอยสักที่เป็นเอกลักษณ์ของคนนั้นแต่ชายคนนั้นกลับใส่เสื้อแขนยาวคอเต่ามาเลยทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
งานแจกลายเซ็นดำเนินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงคนสุดท้าย ซึ่งก็คือชายปริศนาคนนั้น เขายื่นอัลบั้มเพลงให้ชางกยุน ชางกยุนรับมาก่อนจะเปิดไปที่หน้าที่ถูกคั่นไว้ด้วยกระดาษโพสอิท บนกระดาษใบนั้นเขียนเอาไว้ว่า
‘ทำไมคุณไม่ยอมรับสายผม?’
ทันทีที่อ่านจบชางกยุนก็เงยหน้าขึ้นมองมามองคนที่อยู่ตรงหน้าทันที จูฮอนดึงแมสปิดปากลงเพื่อให้ชางกยุนเห็นหน้าชัด ๆ
“คุณใจร้ายมากเลยนะ”
จูฮอนพูดเบา ๆ กลัวสต๊าฟข้างหลังจะได้ยิน
“คือ…คือผม...”
ชางกยุนก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับจูฮอน
“คุณไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรกับผมสักนิดเลยหรอ คุณอิมชางกยุน ผมชอบคุณจริง ๆ นะ”
จูฮอนพูดพร้อมกับมองหน้าชางกยุนด้วยแววตาจริงจัง
“อือ รู้แล้ว”
ชางกยุนตอบก่อนจะค่อย ๆ เขียนอะไรบางอย่างลงบนโพสอิทนั่นแหละยื่นมันคืนให้จูฮอน
“ไปได้แล้ว”
คนตัวเล็กพูดพร้อมกับยื่นอัลบั้มที่เซ็นต์แล้วคืนให้ร่างสูง จูฮอนหน้าชาไปเล็กน้อยที่คนตัวเล็กไม่แม้แต่จะตอบคำถามอะไรของเขาเลย
จูฮอนเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง เขามองไปยังคนตัวเล็กที่ยืนอยู่บนเวที
‘คงเป็นดวงดาวที่เขาเอื้อมไปไม่ถึงจริง ๆ สินะ’
“สำหรับวันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนครับทุกคน ขอบคุณที่ลำบากมางานแจกลายเซ็นต์ของผมกันนะครับ อ้อ! แล้วก็ใครที่ผมเขียนอะไรให้ก็อย่าลืมเปิดอ่านกันด้วยนะครับ ผมตั้งใจเขียนให้เลยนะ”
ชางกยุนพูดกล่าวปิดงาน ท้ายประโยคนั่นไม่รู้ว่าจูฮอนคิดไปเองหรือเปล่า แต่ชางกยุนมองมาที่เขาและเน้นย้ำประโยคนั้นจริง ๆ
เห็นแบบนั้นจูฮอนจึงเปิดอัลบั้มของตัวเองที่ชางกยุนเป็นคนเซ็นต์ให้ดู ในโพสอิทที่ชางกยุนเขียนมานั้นบอกไว้ว่า
‘บอกแล้วไงว่าไม่ได้ไม่ชอบ ผมเองก็ชอบคุณ
คืนนี้มาหาผมหน่อยได้มั้ยครับ
พี่จูฮอน.......
(ห้อง 2606 Sky Cities Tower @ Gangnam)’
ทันทีที่อ่านจบจูฮอนก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เขาเงยหน้ามองคนที่อยู่บนเวที คนตัวเล็กบนนั้นส่งยิ้มกว้างมาให้เขาก่อนจะโบกมือและเดินลงจากเวทีไป
ไม่รู้ว่าดวงดาวของคนอื่นเป็นแบบไหน แต่ถ้าถามกับเขาล่ะก็ ตอบได้คำเดียวว่าดวงดาวของจูฮอนก็คืออิมชางกยุนคนนี้นี่ล่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in