Disclaimer: บทความนี้อ้างอิงข้อมูลส่วนใหญ่มาจากวิกิพีเดียและ IMBD แปลและเรียบเรียงด้วยความเข้าใจส่วนตัวที่อาจจะมีข้อผิดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จึงไม่แนะนำให้เอาไปใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการ แต่สามารถอ่านเพื่อเสริมความรู้ได้
ทำไมหนังแต่ละเรื่องสัดส่วนไม่เท่ากัน แล้วเค้าใช้อะไรเป็นตัวตัดสิน วันนี้เราจะมาอธิบายเรื่องสัดส่วนในวงการภาพยนตร์แบบสังเขป เพราะประวัติศาสตร์มันยาวนานมากๆ จึงขอตัดทอนเอามาเฉพาะรายละเอียดที่สำคัญจริงๆ ถ้าขาดตกตรงไหนไปคือ พยายามเต็มที่แล้วจริงๆ ขออภัยด้วย
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์คร่าวๆ เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 19 ราวๆ ปี 1887 เอ็ดเวิร์ด มายบริดจ์ ช่างภาพชาวอเมริกัน ได้ศึกษาการถ่ายและฉายภาพเคลื่อนไหว เพราะในขณะนั้นยังไม่มีฟิล์มถ่ายภาพที่มีความไวแสงมากพอที่จะถ่ายภาพเคลื่อนไหว จึงได้ลองใช้เทคนิคการถ่ายภาพจากกล้องหลายตัว แล้วนำมาประกอบกัน ด้วยข้อจำกัดของกล้องจึงได้ภาพสูงสุดที่ 24 ภาพ/วินาที และประดิษฐ์เครื่องฉายภาพชุดต่อเนื่องเป็นวงกลม แรกเริ่มเดิมทีไว้ศึกษาการเคลื่อนที่ของสัตว์ นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพเคลื่อนไหวของโลก
ปี 1888 ลูวี เลอ พริ้นซ์ ศิลปินและนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ได้ถ่ายทำฟุตเตจภาพเคลื่อนไหวที่เชื่อว่าเป็นฟุตเตจแรกของโลก โดยการใช้ฟิล์มกระดาษของโกดัก ฟุตเตจนี้ใช้ชื่อว่า Roundhay Garden Scene เป็นฉากของชายหญิงในสวนหลังบ้าน ความยาวประมาณ 2.11 วินาที ถ่ายทำด้วยความเร็ว 12 เฟรม/วินาที ใช้สัดส่วนภาพประมาณ 1:1
หมายเหตุ: การเรียกสัดส่วนภาพของหนังตามหลักทั่วไปและในบทความนี้จะใช้เป็น (ความยาวของภาพ:ความกว้างของภาพ) โดยที่ความกว้างของภาพจะถูกทอนให้เป็นจำนวนเต็ม 1 เสมอ
Silent film (1.33:1) ต่อมาในปี 1892 วิลเลี่ยม เค แอล ดิคสัน ลูกน้องของโทมัส เอดิสัน ได้ประดิษฐ์ฟิล์มเซลลูลอย ที่ทำจากพลาสติกชนิดหนึ่ง ขนาดความกว้าง 35 มม. และมีรูที่ด้านข้าง 4 รู (ภาษาชาวบ้านเรียก รูหนามเตย) เพื่อใช้ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวและถ่ายทำฟุตเตจนึงออกมา ชื่อ Blacksmith Scene เป็นหนังเงียบความยาว 34 วินาที ใช้สัดส่วนภาพ 1.33:1 เพราะตรงกับความกว้างของฟิล์มและขนาดของรูรับแสงของกล้องพอดี การฉายภาพในขณะนั้นจะใช้เครื่องฉายที่เรียกว่า ไคเนโตสโคป
ต่อมาในปี 1895 สองพี่น้องลูมิแยร์จากฝรั่งเศส ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก จริงๆ ก่อนหน้านั้นมีคนพยายามถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฟิล์มขนาดที่แตกต่างกันออกไป แต่อันนี้จัดเป็นภาพยนตร์จริงๆ คือ La Sortie des Usines Lumiere หรือ คนงานเดินออกมาจากโรงงานของลูมิแยร์ เป็นหนังเงียบ ความยาว 46 วินาที ก็ใช้สัดส่วนภาพ 1.33:1 เช่นกัน
ความนิยมของการทำภาพเคลื่อนไหวและสร้างภาพยนตร์ได้เพิ่มขึ้น ในปี 1902 จอร์จ เมอเลส ศิลปินชาวฝรั่งเศส ได้สร้างภาพยนตร์ชื่อ Le Voyage dans la Lune หรือ A Trip to the Moon เป็นภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกที่มีการเล่าเรื่องราว (narrative) และยังเป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกของโลก โดยใช้เทคนิคการลงสีบนแผ่นฟิล์มทีละเฟรม หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการฉายอีกด้วย เป็นจุดเริ่มต้นของวงการภาพยนตร์เลยก็ว่าได้
ปี 1906 หนังจากออสเตรเลียชื่อ The Story of the Kelly Gang เข้าฉาย ต่อมาได้รับการบันทึกโดยองค์กรยูเนสโก้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของโลก ที่ความยาว 60 นาที ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีความยาวมากที่สุด ณ ขณะนั้น การกำหนดว่าจะเป็นหนังสั้นหรือหนังยาว ขึ้นอยู่กับนิยาม โดยสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences: AMPA) ได้กำหนดว่า ภาพยนตร์ที่มีความยาวมากกว่า 2,700 วินาที หรือ 45 นาที จัดเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว ในขณะที่สมาคมผู้กำกับ (Screen Actors Guild: SAG) ได้กำหนดว่าต้องมีความยาวมากกว่า 75 นาที
ต่อมาในปี 1919 มีความพยายามในการฝังแถบแม่เหล็กบันทึกเสียงลงไปในแผ่นฟิล์ม เพื่อทำให้หนังสามารถเล่นพร้อมเสียงได้ด้วย ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อสัดส่วนหนัง ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อถัดไป
ปี 1923 บริษัทอีตส์โกดัก ได้คิดค้นฟิล์มขนาด 16มม. ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฟิล์ม 35มม. ประมาณเท่าตัว ฟิล์มชนิดนี้ให้สัดส่วนภาพที่ใกล้เคียงกับฟิล์ม 35มม. และยังใช้มาเรื่อยๆ บ้างจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดที่ใช้ฟิล์ม 16มม. ในการถ่ายทำคือ mother! (2017)
ปี 1927 หนังเรื่อง The Jazz Singer เข้าฉาย เป็นหนังเรื่องแรกที่มีการฉายภาพและเสียงดนตรี/เสียงพูดพร้อมกัน โดยการฉายภาพด้วยเครื่องฉายฟิล์ม และเล่นเสียงด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียง ไปพร้อมๆ กัน หนังใช้สัดส่วนภาพ 1.33:1 และในปีเดียวกันมีการก่อตั้งสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences: AMPA) ก็คือสถาบันที่แจกรางวัลออสการ์ในแต่ละปีนั่นแหละ
Academy Format (1.37:1) ในปี 1932 หลังจากที่หนังมีเสียงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทาง AMPA เลยตัดสินใจกำหนดว่า หนังที่จะสร้างจะฉายหลังจากนี้ ต้องใช้สัดส่วน 1.37:1 เท่านั้น เพื่อมาตรฐานในการถ่ายทำและการฉายตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสัดส่วน 1.37:1 มาจากพื้นที่ฟิล์ม 35มม. เดิมที่ถูกแบ่งส่วนหนึ่งออกไปเป็นแถบแม่เหล็กบันทึกเสียง ทำให้พื้นที่บันทึกภาพต้องหดเล็กลงไปเล็กน้อย จาก 1.33 เดิม จึงเปลี่ยนไปเป็น 1.37 และสัดส่วนยังมีความ "ใกล้เคียง" กับจอทีวี ทำให้สามารถฉายในทีวีได้ด้วย มีการใช้สัดส่วนนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปีจนกระทั่งการมาถึงของหนังจอกว้าง หรือ widescreen
Widescreen จุดเริ่มต้นของหนังจอกว้าง คงต้องขอย้อนกลับไปยังปี 1897 อีน็อกช์ เจ. เร็กเตอร์ โปรโมเตอร์มวยชาวอเมริกา ได้ทดลองถ่ายทำหนังยาวของแมทช์ชกมวยครั้งหนึ่งชื่อ The Corbett-Fitzsimmons Fight โดยใช้ฟิล์มขนาด 63.5 มม. ของโกดัก ความยาวประมาณ 100 นาที ให้สัดส่วนภาพที่ประมาณ 1.65:1 ถือว่าเป็นภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว และเป็นหนังจอกว้างเรื่องแรกของโลก
Natural Vision (2:1) ปี 1925 จอร์จ เค. สปอร์ และ จอห์น เบิร์กเกรน ได้คิดค้นกระบวนการถ่ายหนังแบบ widescreen โดยใช้ฟิล์ม 65 มม. ได้สัดส่วนภาพที่ 2:1 เทคนิคนี้ได้ถูกนำไปใช้กับภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวคือ Danger Lights ในปี 1930 ก่อนหน้านี้มีหนังเรื่อง The American ที่คาดว่าจะได้เข้าฉายในปี 1927 แต่ถูกยกเลิกการสร้างด้วยเหตุผลของผู้กำกับที่ว่า มันยังไม่ดีพอ เทคนิคนี้ไม่ได้รับความนิยมเพราะต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างมากในการสร้างและฉาย
Polyvision (4.00:1) ปี 1927 หนังเรื่อง Napoléon ถ่ายทำโดยใช้กล้องถ่ายหนังด้วยฟิล์ม 35 มม. 3 ตัวมาเรียงต่อกัน แต่ละตัวใช้สัดส่วนภาพ 1.33:1 เพราะถ่ายทำแบบหนังเงียบ เวลาฉายต้องฉายแบบต่อกัน จะได้สัดส่วนภาพที่ 4:1 แต่การฉายทำได้ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้เครื่องฉายหนัง 3 ตัวต่อกัน ฉายหนังให้พร้อมกัน โรงหนังเองก็ต้องมีจอภาพที่กว้างและโค้งได้สัดส่วนของกล้องฉายเช่นกัน
ด้วยความที่ต้นทุนการสร้างและการฉายหนังแบบ widescreen ค่อนข้างสูง หลังจากปี 1930 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้วงการภาพยนตร์ต้องลดทุนสร้างและประหยัดต้นทุน ทำให้ความพยายามสร้างหนังจอกว้างต้องถูกพับเก็บไว้ก่อน จนกระทั่งปีทองก็มาถึง
Cinerama (2.59:1) ในปี 1952 เฟรด วอลเลอร์ นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้คิดค้นฟอร์แมต Cinerama (Cinema + Panorama) โดยการใช้กล้องถ่ายหนัง 35 มม. ต่อกัน 3 ตัว ทำให้เกิดภาพมุมกว้างที่สัดส่วน 2.59:1 โดยส่วนด้านบน-ล่างของเฟรมจะถูกครอปออกไปเล็กน้อย และสร้างโรงภาพยนตร์ที่ใช้เครื่องฉาย 3 ตัวฉายหนังลงบนจอโค้ง 146 องศา ข้อดีคือทำให้ได้ภาพมุมกว้าง ข้อเสียคือการใช้กล้อง 3 ตัวอาจทำให้เกิดภาพเหลื่อมไม่ตรงกัน และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายทั้งในด้านโปรดักชั่นและการสร้างโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ภาพที่ได้ไม่สามารถนำไปฉายทางทีวีหรือโรงหนังแบบปกติได้ เพราะทางด้านซ้ายและขวาของเฟรมจะบิดเบี้ยวเนื่องจากถูกปรับแต่งมาให้ฉายเฉพาะบนจอโค้งเท่านั้น ทำให้ฟอร์แมตนี้ไม่ได้รับความนิยมและเลิกใช้ไปในที่สุด
Hard Matte (1.66:1) ในปี 1953 ทางพาราเมาต์สตูดิโอมีความเห็นว่า ถ้าหนังกว้างขึ้นจะให้มุมมองที่แปลกใหม่ต่อผู้ชม จึงได้คิดค้นวิธีการสร้างหนังโดยการใช้เลนส์ที่มีความกว้างเพิ่มขึ้น และมีการนำแผ่นโลหะมาปิดที่รูรับแสงของกล้อง ทำให้เกิดขอบดำด้านบนล่างขึ้น แต่ทำให้หนังมีมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า hard matte โดยใช้วิธีนี้ในหนังเรื่อง Shane ซึ่งมีสัดส่วน 1.66:1 และเป็นหนังแบบ flat widescreen เรื่องแรกของโลก ต่อมาสัดส่วนนี้นิยมใช้ในหนังฝั่งยุโรป และใช้ในหนังของวอลท์ดิสนีย์หลายเรื่อง เช่น Mary Poppins (1964) ล่าสุดที่ใช้สัดส่วนนี้คือ The Witch (2015), The Beguiled (2017)
Soft Matte (1.85:1)ในปีเดียวกัน ทางยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ก็ใช้เทคนิคที่คล้ายๆ กันกับของพาราเมาต์ แต่เลือกใช้สัดส่วน 1.85:1 ในเรื่อง Thunder Bay ซึ่งสัดส่วนนี้ถูกใช้เฉพาะตอนฉายเท่านั้น แต่การถ่ายทำยังใช้สัดส่วน 1.37:1 เท่าขนาดของฟิล์ม 35 มม. การครอปภาพออกตอนฉายให้เป็น widescreen นั้น เรียกว่า soft matte ใช้เพราะว่าต้องการปิดบังส่วนที่เกินมาในเฟรม เช่น ไมค์บูม หรืออุปกรณ์ประกอบฉาก ต่อมาเป็นหนึ่งในสัดส่วนภาพที่ผู้สร้างนิยมใช้กันทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน เพราะภาพไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป
อีกสัดส่วนที่ตามมาในภายหลังคือ 1.78:1 มีความใกล้เคียงกับ 1.85:1 ทั้งสองสัดส่วนสามารถฉายในทีวีได้โดยไม่มีขอบดำมาก ทีวีจอแก้วแบบเก่าให้สัดส่วนภาพที่ 4:3 หรือ 1.33:1 หากฉายหนังที่ใช้สัดส่วนภาพที่ 1.33:1 ภาพจะเต็มจอพอดีโดยไม่มีขอบดำ หากฉายภาพที่ 1.78:1 หรือ 1.85:1 จะเกิดขอบดำด้านบน-ล่างของจอทีวี เรียกขอบดำนี้ว่า Letterbox ในเครื่องเล่นบางรุ่นจะมีโหมดยืดภาพให้สุดจอโดยไม่มีขอบดำ เรียกว่า Stretch แต่ภาพจะยาวขึ้น ใบหน้าของนักแสดงจะผิดเพี้ยน
ทั้งสองสัดส่วนนี้มีความ "ใกล้เคียง" กับจอทีวีในปัจจุบันมากที่สุด จอทีวีในปัจจุบันใช้สัดส่วนภาพที่ 16:9 หรือ 1.78:1 หากฉายหนังที่ใช้สัดส่วนภาพ 1.78:1 ภาพจะเต็มจอพอดีโดยไม่มีขอบดำ แต่จะมีขอบดำด้านบน-ล่าง เล็กน้อยสำหรับสัดส่วน 1.85:1 และจะมีขอบดำด้านซ้าย-ขวา เล็กน้อยสำหรับสัดส่วน 1.66:1
แต่เดิมการถ่ายทำหนังแบบ Soft และ Hard Matte จะใช้พื้นที่ฟิล์ม 35 มม. แบบเต็มพื้นที่เฟรมโดยใช้ 4 รูหนามเตย ทำให้ค่อนข้างสิ้นเปลืองฟิล์มในส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน ต่อมาจึงมีการประดิษฐ์กล้องถ่ายหนังที่สามารถถ่ายทำหนังโดยใช้สัดส่วน 1.85:1 ได้โดยไม่ต้องใช้ Soft และ Hard Matte โดยใช้พื้นที่เฟรมเพียงแค่ 3 รูหนามเตย ทำให้ประหยัดฟิล์มกว่า และกล้องทำงานเงียบลง เรียกว่า Super 35 ซึ่งหนังฟอร์มเล็ก หรือหนังที่เน้นคนคุยกัน หรือหนังที่เลือกฉายทางทีวี มักนิยมใช้เทคนิคนี้
CinemaScope (2.55:1) ในปี 1953 บริษัททเวนตี้เซนจูรี่ฟ็อกซ์ ได้คิดค้นเลนส์ทรงวงรีที่เรียกว่า anamorphic lens เลนส์นี้มีคุณสมบัติในการบีบอัดภาพให้กว้างขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งเมื่อบันทึกภาพลงในฟิล์ม 35มม. จะใช้พื้นที่ของเฟรมจนเต็ม แต่ความสูงจะถูกบีบขึ้นไป ทำให้เมื่อฉายด้วยเครื่องฉายธรรมดา จะเห็นหน้านักแสดงยาวขึ้น จึงต้องใช้เลนส์ชนิดพิเศษนี้ในการฉายด้วย ทำให้ภาพถูกขยายออกไปด้านข้าง จนได้สัดส่วน 2.55:1 ทำไมถึงเป็นสัดส่วนนี้ จำได้หรือไม่ว่าฟิล์ม 35 มม. ปกตินั้นสามารถให้สัดส่วนภาพได้กว้างสุดที่ 1.33:1 ถ้าไม่มีแถบแม่เหล็กบันทึกเสียง ทำให้เมื่อใช้เลนส์นี้ จะได้ขนาดภาพสูงสุดถึง 2.66:1 เลยทีเดียว แต่ในเมื่อฟิล์มต้องแบ่งพื้นที่ให้แทร็คเสียงด้วย สัดส่วนภาพจึงต้องลดขนาดเฟรมลงมาเหลือ 2.55:1 หนังเรื่องแรกของโลกที่ใช้สัดส่วนนี้คือ The Robe (1953) ล่าสุดที่ใช้สัดส่วนนี้คือ La La Land (2016) ฟอร์แมตนี้เลิกใช้ไปในปี 1967 เพราะมีฟอร์แมตใหม่เข้ามาแทนที่
65/70mm (2.20:1) ปี 1955 บริษัท ทอดด์เอโอ ได้มีการนำฟิล์มถ่ายหนังแบบเนกาทีฟขนาด 65 มม. มาใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ และฟิล์มแบบโพสิทีฟขนาด 70 มม. เพื่อใช้ในการฉาย ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฟิล์ม 35 มม. ถึง 2 เท่า โดยให้สัดส่วนภาพที่ 2.20:1 โดยไม่ต้องใช้เลนส์อนามอร์ฟิกเพื่อขยายความกว้าง เรียกฟอร์แมตนี้ว่า Todd-AO หนังเรื่องแรกที่ใช้สัดส่วนนี้คือ Oklahoma! ต่อมาปี 1957 บริษัท MGM และพานาวิชั่น ได้พัฒนาฟอร์แมตฟิล์ม 65/70 มม. มาใช้ในการถ่ายหนัง ใช้ชื่อว่า Super Panavision 70 โดยที่สเปคต่างๆ ไม่ต่างจาก Todd-AO เท่าไหร่ หนังดังๆ ที่ถ่ายทำด้วยฟอร์แมตนี้คือ Ben-Hur (1959), The Sound of Music (1965) และล่าสุดคือ Dunkirk (2017) ของคริสโตเฟอร์ โนแลน (ฉากที่ไม่ได้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX)
Ultra Panavision 70 (2.76:1) ปี 1962 บริษัท พานาวิชั่น ได้นำเลนส์ anamorphic รูปแบบใหม่ที่บีบภาพ 1.25 เท่า มาใช้กับฟิล์มขนาด 70 มม. ในฟอร์แมต Super Panavision 70 เดิม ทำให้ได้สัดส่วนภาพที่ยาวมากๆ ถึง 2.76:1 เลยทีเดียว หนังเรื่องแรกที่ใช้สัดส่วนนี้คือ Mutiny on the Bounty (1962) ก่อนจะเสื่อมความนิยมไปในปี 1966 หลังจากนั้นเกือบ 50 ปี หนังเรื่อง The Hateful Eight (2015) ของเควนติน ทารันติโน่ ก็ได้กลับมาใช้ฟอร์แมตนี้อีกครั้ง
สัดส่วนภาพไม่ว่าจะเป็น 2.20:1, 2.39:1, 2.55:1 และ 2.76:1 มีด้านยาวมากกว่าด้านยาวของจอทีวีแบบจอกว้าง ทำให้เวลาฉายบนทีวีจะเกิดขอบดำด้านบน-ล่าง (letterbox) มากน้อยขึ้นอยู่กับความกว้าง หากฉายบนทีวีจอเก่าหรือ 4:3 จะมีขอบดำค่อนข้างมาก หากเปิดใช้โหมด Stretch จะทำให้ภาพบิดเบี้ยวไม่ได้สัดส่วน
หนังเรื่องแรกของ IMAX ฉายในปี 1970 ชื่อ Tiger Child หนังที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม IMAX 70mm ทั้งเรื่องนั้นเป็นสารคดีที่ฉายตามโรง IMAX เท่านั้น ยังไม่มีหนังยาวทั่วไปที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม IMAX ทั้งเรื่อง แม้กระทั่งหนังเรื่อง Dunkirk ของโนแลนยังใช้กล้อง IMAX ถ่ายเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด ด้วยข้อจำกัดบางประการ ทำให้หนังเรื่องนี้มี 2 สัดส่วนคือ 1.44:1 ในฉากที่ถ่ายด้วยกล้อง IMAX และ 2.20:1 ในฉากที่ไม่ได้ถ่ายด้วยกล้อง IMAX
IMAX Digital (1.90:1) ในปี 2008 หลังจากที่วงการฮอลลีวูดเริ่มเข้าสู่ยุคดิจิตอล ทาง IMAX ก็ได้คิดค้นกล้องถ่ายหนังและเครื่องฉายแบบดิจิตอล ให้สัดส่วนที่ 1.90:1 หนังเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX Digital บางส่วนคือ Born to Be Wild ต่อมาที่ดังๆ ก็คือ Transformers: Age of Extinction ซึ่งจะสังเกตได้ว่าหนังเปลี่ยนสัดส่วนไปมาที่ 1.90:1 และ 2.39:1 ด้วยเหตุผลเดียวกันกับ Dunkirk ส่วนหนังเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX Digital “ทั้งเรื่อง” คือ Avengers: Infinity War (2018)
Univision หรือ Univisium (2.00:1) เป็นฟอร์แมตที่เกิดขึ้นใหม่และกำลังได้รับความนิยม ถูกนำมาใช้ในปี 1998 โดย วิททอริโอ้ สตอราโร่ ช่างภาพชาวอิตาลี โดยใช้สัดส่วนภาพนี้ในหนังเรื่องแรกคือ Tango (1998) ฟอร์แมตนี้มีกระบวนการที่ใกล้เคียงกับ Super 35 คือใช้ฟิล์มขนาด 35 มม. ในการถ่ายทำ และมาครอปภาพให้เหลือ 2:1 ในกระบวนการโปรดักชั่น วิททอริโอ้เสนอว่า เนื่องจากเป็นสัดส่วนที่ไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างสัดส่วนของฟิล์ม 70 มม. ที่ 2.20:1 และสัดส่วนของระบบ HD ที่ 1.78:1 ให้ความรู้สึกสบายตา และสามารถรับชมได้จากทุกจอภาพโดยไม่รู้สึกว่ามีขอบดำ (letterbox) มากเกินไป
ฟอร์แมตนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมใช้เลยจนกระทั่งยุค 2010 เป็นต้นมา สัดส่วนนี้จู่ๆ ก็กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยมีการนำมาใช้ในซีรีส์ House of Cards ของ Netflix
และต่อมาคือ Jurassic World (2015)
สัดส่วนนี้มักถูกใช้ในซีรีส์ของ Netflix เช่น Stranger Things
แม้ว่าในอดีตการเลือกใช้สัดส่วนภาพจะขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์ม, รูปแบบการถ่ายทำ, อุปกรณ์ และกระบวนการในการจัดการกับฟิล์ม แต่ในปัจจุบันเมื่อเป็นระบบดิจิตอลแล้ว การเลือกใช้สัดส่วนต่างๆ จึงขึ้นอยู่เพียงความต้องการของผู้กำกับภาพเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับฟิล์มแล้ว ซึ่งเราก็จะได้เห็นหนังที่มีสัดส่วนแปลกๆ ออกมาบ้างเช่น I Am Not Madame Bovary ที่ถ่ายหนังด้วยสัดส่วน 1:1 และเฟรมภาพเป็นวงกลม เป็นต้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in