จังหวัดนารา แค่ได้ยินชื่อนี้ทุกคนก็คงนึกถึงเจ้ากวางน้อยที่อยู่ในสวนนารากันแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่รู้หรือเปล่าว่านอกจากนาราจะอยู่ติดกับโอซาก้าและเกียวโตแล้ว จังหวัดนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายอย่างสวนญี่ปุ่นสวยๆ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ รวมไปถึงวัดวาอาราม ศาลเจ้าที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วย
สำหรับคนที่มีแผนว่าจะไปโอซาก้าหรือเกียวโต เราขอแนะว่าให้ไปที่นาราด้วย เพราะนี่จะเป็นการเดินทางที่แสนสะดวกและใช้เวลาไม่นานนั่นเอง~
เกริ่นมาพอเป็นพิธีแบบนี้อาจจะยังไม่ทำให้คุณอยากอ่านต่อเท่าไหร่ งั้นเราจะขอรับบทเป็นคนเล่าประวัติคร่าวๆของจังหวัดนาราให้ทุกคนฟังเอง!
จังหวัดนาราตั้งอยู่บริเวณใจกลางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู เริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 3 โดยมีเขตยามาโตะ (Yamato Precinct) เป็นศูนย์กลาง เดิมทีเมืองหลวงเก่าของนารานั้นตั้งขึ้นที่เขตอาสึกะ (Asuka Precinct) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของที่ราบลุ่มนาราอันเป็นใจกลางการปกครองและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 8 ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายไปยังเขตเฮโจเคียว (Heijokyo Precinct) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนาราในปัจจุบัน [1]
ในปี 710 มีวัดและศาลเจ้ามากมายที่สร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง จนทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นมหานครแห่งวัด นอกจากนี้ยังมี ไดบุทสึ (Daibutsu) หรือพระพุทธรูปหล่อทองแดงองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเก็บรักษาไว้ใน ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden) หรืออาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แน่นอนว่าที่จังหวัดนารายังมีวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องสถาปัตยกรรมไม้อย่าง วัดยาคุชิจิ (Yakushiji Temple) ที่ก่อตั้งโดยภิกษุชาวจีนรูปหนึ่งนามว่า กันจิน (Ganjin) โดยท่านได้ธุดงค์มายังญี่ปุ่นด้วยความอุตสาหะเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมี วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple) ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7 และเป็นที่รู้จักในฐานะพุทธศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งตัววัดเองยังถือเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภายในอาคารของวัดโฮริวจิเต็มไปภาพวาดและรูปปั้นมากมาย แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะ
สำหรับคนที่อยากมาที่นี่ก็สามารถมาได้ตลอดทั้งปี เพื่อชมทิวทัศน์แสนงามของภูเขาโยชิโนะ (Mt. Yoshino) ซึ่งเป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น
และที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับจังหวัดนี้ก็คือ สวนกวางนารา ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่ากวางน้อยแสนน่ารักที่ได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะผู้ส่งสารของพระเจ้า!
แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อความหลัก เราขออนุญาตให้เครดิตกับทีมงานคุณภาพ fromJapan ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้มาโดยตลอด และถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านบทความที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและความรู้แบบนี้ ก็สามารถไปตำกันได้ที่ Official Website: fromJapan.info กันได้เลย~!
จังหวัดนารา เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสะดวกสบายต่อการเดินทาง เพราะมีพื้นที่ติดกับเกียวโตและโอซาก้า นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟ JR หรือ Highway Bus ก็ย่อมได้ และถ้าเราอยากเดินทางไปที่นาราก็สามารถดูรายละเอียดได้ตามนี้เลย
ต่อจากนี้เราจะเริ่มเข้าสู่การขายของ เอ๊ย! การแนะนำสถานที่ที่น่าไปในจังหวัดนาราต่างหากล่ะ ^^ ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีที่ไหนน่าไปโดนบ้าง~
เมื่อประมาณ 1,300 ปีที่แล้ว ทันทีที่เมืองหลวงเก่าก่อตั้งขึ้นในนารา ก็มีตำนานหนึ่งเล่าขานว่าเทพทาเคมิคาซึจิ (Takemikazuchi-no-mikoto) หรือเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ได้สัญจรผ่านเส้นทางจากศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิ ไปยังภูเขามิคาสะ จังหวัดนารา ทำให้เส้นทางดังกล่าวที่แสนจะธรรมดากลายเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แถมบนยอดเขาลูกนี้ยังเต็มไปด้วยต้นอุคิกุโมโนมิเนะ (Ukigumo-no-mine) หรือต้นเมเปิลญี่ปุ่น อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขทั้งปวงของมนุษย์
พอเข้าสู่ยุคนาราอย่างจริงจัง (Tenpyo culture) จำนวนของศาสนสถานก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ทั้งนี้ศาลเจ้าคาสึกะก็ได้รับการสร้าง ขยาย และต่อเติม จนมีหน้าตาเหมือนกับที่เห็นในปัจจุบัน ภายใต้คำสั่งของผู้นำทางการเมืองในตอนนั้น นั่นก็คือฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ (Fujiwara-no-Nagate) นอกจากนี้เขายังได้อัญเชิญเทพเจ้าอีกหลายองค์มาประดิษฐานในสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพฟุทสึนุชิ (Futsunushi-no-mikoto) จากศาลเจ้าคาโตริ จังหวัดชิบะ รวมไปถึงเทพอาเมโนะโกยาเนะ (Amenokoyane-no-mikoto) กับ เทพฮิเมะกามิ (Himegami) จากศาลเจ้าฮิราโอกะ จังหวัดโอซาก้า
นอกจากนี้ ศาลเจ้าคาสึกะยังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีโชโตกุ (Empress Shotoku) ผู้ติดตามคนสำคัญของฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ ใช้สำหรับออกบวชในสมัยนั้นด้วย [3]
บริเวณห้องโถงของศาลเจ้าประกอบด้วยเสาสีแดงสว่างสดใส ตัดกับสีขาวสะอาดของกำแพงและหลังคาสีเขียวที่ทำจากไม้ของต้นฮินาโกะไซเปรส (Hinoki Cypress) บวกกับต้นไม้โบราณที่ปลูกอยู่รอบๆ ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันแสนสงบ
ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ศาลเจ้าคาสึกะนั้นยังคงความงามตั้งแต่ตอนก่อตั้งครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ด้วยพิธีกรรมชิกิเน็นโซไต (Shikinen Zotai) ที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมโครงสร้างที่สึกหรอของศาลเจ้าให้กลับมาสวยงามดังเดิม โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นทุกๆ 20 ปีและมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกอย่างว่าการทำพิธีกรรมชิกิเน็นโซไตจะนำพาความสงบมาสู่สถานที่แห่งนี้
ในเวลาต่อมา ศาลเจ้าคาสึกะแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป เมื่อศาลเจ้าเสริมทั่วประเทศกว่า 3,000 แห่งร่วมกันบริจาคโคมไฟจำนวน 3,000 ดวง เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใส ศรัทธา และความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้นั่นเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ในปี 1998 โบราณสถานของนาราอย่างศาลเจ้าคาสึกะ และป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวไปสักการะขอพรให้ชีวิตของพวกเขา รวมถึงโลกใบนี้มีแต่สันติภาพและความสงบสุข ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากจะปลีกวิเวกหรือกำลังตามหาความเงียบสงบอยู่นั้น ศาลเจ้าคาสึกะแห่งนี้ก็น่าไปโดนไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ~
วิธีเดินทาง
โทร
แฟ็กซ์
เวลาทำการ
เว็บไซต์
ไหนๆก็อุตส่าห์มาถึงศาลเจ้าคาสึกะแล้ว ลองเดินไปทางด้านหลังของศาลเจ้ากันหน่อยดีไหม เพราะเรามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนเห็น นั่นก็คือป่าดึกดำบรรพ์ (Primenal Forest) อันสวยงามแห่งนี้นี่เอง!
ป่าที่มีอายุมากกว่า 1,100 ปีแห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามมุมมองแบบลัทธิชินโต กล่าวคือความเชื่อที่ว่าในสถานที่ตามแหล่งธรรมชาติจะมีเทพเจ้าสถิตอยู่ [4] แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา ที่นี่กลับกลายเป็นป่าต้องห้ามขึ้นมาซะอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า รวมไปถึงการล่าสัตว์ในยุคนั้น เขาจึงตัดปัญหาด้วยการไม่ให้ใครเข้าไปซะเลย
อย่างไรก็ตาม ในสมัยศักดินาของญี่ปุ่นที่ปกครองโดยโชกุนโทโยโตมิ ฮิเดโยชินั้น ได้มีการนำต้นซีดาร์จำนวน 10,000 ต้นมาปลูกเพื่อทดแทนในส่วนที่โดนตัดไปในช่วงศตวรรษที่ 16 [5]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณปี 1955 ป่าแห่งนี้ก็ได้กลับมาเปิดให้ตาสีตาสา ชาวบ้านตาดำๆเข้าไปเก็บผักป่าอีกครั้ง 555 ในฐานะของอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยพืชและสัตว์หายากกว่า 800 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระรอกบินแก้มขาว (white-cheeked flying squirrels) กบป่าสีเขียว (forest green tree frog) จั๊กจั่นฮิเมะฮารุ (hime-haru cicada) หรือจะเป็นซาลาแมนเดอร์ลายเมฆ (clouded salamander)
หลังจากนั้นอีกประมาณ 40 ปีให้หลัง ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าคาสึกะ [6]
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ป่าคาสึกะแห่งนี้ได้กลายมาเป็นความฝันของนักเดินเขาหลายๆคนที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมาให้ได้สักครั้ง โดยเส้นทางเดินเขาที่เราอยากแนะนำนั้น เริ่มต้นจากศาลเจ้าคาสึกะ ผ่านป่าดึกดำบรรพ์ และไปสิ้นสุดที่โรงน้ำชาซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทางทิศเหนือ
ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะเห็นเหล่าต้นเมเปิลที่ขึ้นเรียงรายตามทางพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีแดงด้วยล่ะ โดยจุดชมวิวที่อยากแนะนำคือศาลเจ้าเมียวเก็งงุ (Myokengu Shrine)
ด้วยความที่ว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์อายุนับพันปี เราก็จะเห็นสิ่งมีชีวิตยุคบุกเบิกอย่างมอสด้วย ดูความปุกปุยน่ารักของน้องมอสที่ขึ้นบนหลังคาตะเกียงหินนั่นสิ!
และหากโชคดี เราก็จะเห็นแรร์ไอเทมที่หาตัวจับยากมากอย่างเจ้าผีเสื้อที่มีปีกสีน้ำเงินสดใสด้วย เรียกได้ว่าเราสามารถดื่มด่ำไปกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่เลยจริงๆ
วิธีเดินทาง
โทร
เว็บไซต์
สวนกวางนาราก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1880 มีพื้นที่กว้างถึง 660 เฮกเตอร์ หรือ 6.6 ล้านตารางเมตร!
นอกจากจะห้อมล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji Temple) ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine) พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมแห่งชาตินารา (Cultural Institutions of Nara National Museum) และโกดังสินค้าโชโซอิน (Shosoin Repository) แล้ว สวนกวางนารายังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวที่เกิดจากต้นไม้หลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นต้นเชอร์รี่ ต้นเมเปิล ต้นซีดาร์ขาว และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว [7]
และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การไปเล่นกับเจ้ากวางน้อยนั่นเอง!
เป็นที่รู้กันดีว่าสวนกวางนาราแห่งนี้มีกวางซิก้า (Sika deer) ที่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แถมยังมีมากถึง 1,200 ตัวเลยทีเดียว แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเจ้ากวางพวกนี้ถึงมีความสำคัญจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนาราได้ ดังนั้นเราจะเล่าถึงความเป็นมาของเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังเอง
ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 8 ซึ่งเมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่นได้ถือกำเนิดขึ้นที่นารา [8] ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือผู้ครองเมืองมีความคิดที่จะย้ายเทวรูปที่อยู่ในศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิไปประดิษฐานที่ภูเขาคาสึกะ จังหวัดนารา เพื่อนำไปประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้า และในจังหวะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น เทพทาเคมิคาซึจิซึ่งเป็นเทพแห่งสายฟ้าก็ได้ปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันโดยขี่กวางผ่านมา [9]
ด้วยเหตุนี้เอง กวางจึงกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และมีความสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หรือสมัยมุโรมาจิ ได้มีกฎหมายข้อหนึ่งบัญญัติว่า หากผู้ใดฆ่ากวางโดยเจตนาหรือไม่ได้ตั้งใจ จะต้องรับโทษประหารชีวิตทันที แต่กฎดังกล่าวก็ยกเลิกไปเมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 17 พอเข้าสู่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการลดความสำคัญของกวางในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ลง ให้กลายเป็นเพียงสมบัติแห่งชาติ [10]
สำหรับคนที่อยากไปเล่นกับเจ้ากวางน้อย ก็อย่าลืมล่ะว่ากวางทุกตัวล้วนเป็นกวางป่า แน่นอนว่าแม้จะหน้าตาน่ารักแสนรู้ แต่น้องก็มีความดุอยู่นะ เวลาเล่นกับน้องก็ระมัดระวังด้วยล่ะ เรื่องอะไรที่แผลงๆก็อย่าได้หาทำเชียว
แต่ทั้งนี้เหล่าบรรดากวางน้อยที่นาราก็คุ้นเคยกับพวกเราชาวมนุษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องที่เราควรระวังอีกอย่างคือห้ามให้อาหารอื่นนอกจากแครกเกอร์ข้าวกับน้องเด็ดขาดเลย เพราะอาจจะทำให้น้องป่วยได้ และที่เลวร้ายที่สุดคืออาจทำให้น้องตายได้ T^T
นอกจากนี้เราก็มีคำแนะนำในการเล่นกับเจ้ากวางน้อยมาบอกทุกคนด้วยจ๊ะ
ส่วนกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนไปทำกันก็คือ การแต่งชุดกิโมโนไปเดินเล่นกับเจ้ากวางนั่นเอง
วิธีเดินทาง
เว็บไซต์
พระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจากวัดโทไดจิแห่งนี้นี่เอง!
วัดโทไดจิ (東大寺, มหาวิหารตะวันออก) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นจุดแลนด์มาร์กที่สำคัญของ 'จังหวัดนารา' แน่นอนว่าถ้ามานาราแล้วไม่ได้ไปวัดโทไดจิก็เท่ากับมาไม่ถึงนะ
เนื่องด้วยเราเกริ่นไว้ว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็คงจะเล่าข้ามที่นี่ไปไม่ได้แน่ๆล่ะ งั้นเรามาทำความรู้จักกับวัดโทไดจิไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า
วัดโทไดจิ เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเทมเปียว (Tenpyo) หรือประมาณช่วงศตวรรษที่ 8 ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิโชมุ แต่ก่อนที่จะมีวัดโทไดจิมาให้เราเห็นจนถึงปัจจุบันนั้น จักรพรรดิโชมุได้สร้างหมู่วัดคินโซเซ็นจิ (Kinshosen-ji complex) ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเจ้าชายโมโตอิผู้ล่วงลับหลังจากลืมตาดูโลกนี้ได้เพียง 1 ปี
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เหตุการณ์สำคัญที่ควรกล่าวถึงคงไม่หนีพ้นประเด็นเรื่องความอดอยากของประชาชนเนื่องมาจากการขาดแคลนผลผลิตทางเกษตรอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำไข้ทรพิษก็ยังระบาดไปทั่วถ้วนด้วย จักรพรรดิโชมุจึงมีคำสั่งให้สร้างวัดตามรอบเมือง เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปัดเป่าเพศภัยให้พ้นไป (ก็ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยังไปไม่ถึงยุคนั้นเนอะ เขาคงจะต้องพึ่งความมูเตลูไปก่อนล่ะนะทุกคน 555)
ด้วยคำสั่งดังกล่าว การก่อสร้างวัดโทไดจิจึงได้เริ่มต้นขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็เกิดเหตุการณ์ก่อกบฏขึ้นโดย ฟุจิวาระ โนะ ฮิโรสึกุ (Fujiwara no Hirotsugu) จึงทำให้เสถียรภาพทางการเมืองย่ำแย่จนถึงกับต้องย้ายเมืองหลวงไป 4 ครั้งเลยทีเดียว [12] ในขณะเดียวกันคำสั่งสร้างวัดก็ลดลงด้วย ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเองก็คิดว่าเหตุก่อกบฏครั้งนี้อาจเป็นเพราะรัฐเรียกเก็บส่วย(ที่มากเกินความจำเป็น)จากประชาชนเพื่อเอาไปสร้างวัดนี่แหละ
ไม่ว่าตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้เอง เราจึงมีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมโบราณแห่งนี้ โดยเฉพาะห้องโถงของวัดที่เรียกกันว่า ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden) ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าที่พวกเราเห็นอยู่จะมีขนาดเพียง 7 ใน 10 จากของเดิมเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้น อาคารแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้และแผ่นดินไหว ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 จึงมีการบูรณะขึ้นมาใหม่เพื่อรักษาสภาพให้เหมือนเดิม
และอาคารไดบุทสึเด็นแห่งนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อทองแดงองค์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ไดบุทสึ ( Daibutsu / หลวงพ่อโต) อันเป็นพระปฏิมาแทนองค์พระไวโรจนพุทธเจ้าด้วย ซึ่งพระพุทธรูปที่ว่านี้มีความสูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจคงจะไม่ได้มีแค่ไดบุทสึ เพราะเสาเคลือบสีชาดขนาดใหญ่ที่มีรูโบ๋ตรงฐานเสานั้น คงทำให้เราสะดุดตาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ? ว่ากันว่าถ้าใครสามารถลอดรูที่ปรากฎบนเสาดังกล่าวได้ ก็จะสามารถตรัสรู้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ในชาติหน้า! [13] แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่ารูมันเล็กอยู่นะ เด็กน้อยและคนตัวเล็กอาจจะลอดได้สบาย แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจจะต้องพยายามหน่อยเน้อ
นอกจากนี้ก็ยังมีไฮไลต์ที่ประตูไม้ขนาดใหญ่อย่าง นันไดมง (Nandaimon Gate) ซึ่งมีรูปปั้นยักษ์เฝ้าประตู (Nio Guardian King) อยู่ด้วยนะ
ถ้าเดินเที่ยวในวัดจนไม่มีอะไรที่อยากดูแล้ว ลองออกไปซื้อแครกเกอร์ข้าวให้น้องกวางที่ชอบเดินไปมาหน้าวัดก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ
หมายเหตุ : วัดโทไดจิเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณกลางศตวรรษที่ 20
วิธีเดินทาง
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
มารู้จักสถานที่ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง อย่างสวนอิซุยเอ็นกันเถอะ!
รู้หมือไร่?... (หลายๆคนที่ทันมุกคงแก้ได้ทันทีว่า รู้หรือไม่! 555) ว่าทิวทัศน์ของสวนอิซุยเอ็นนั้นสวยงามมากเสียจนได้รับการดูแลโดยรัฐบาลแห่งชาติ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ทางวัฒนธรรม
สวนอิซุนเอ็นแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับวัดโทไดจิ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือสวนด้านหน้า (Front Garden) ที่สร้างแบบสวนยุคเอโดะ และสวนด้านหลัง (Back Garden) ที่สร้างแบบสวนยุคเมจิ โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของสวนแต่ละแบบที่มีเสน่ห์แตกต่างกัน [14]
สำหรับกิจกรรมที่เราอยากให้ลองกันก็คือ การนั่งดื่มชาเขียวไปพลาง ชมวิวไปพลางนั่นเอง เพราะนอกจากสวนสวยๆแล้ว ที่นี่ยังมีบ้านน้ำชาอีกด้วย โดยเฉพาะสายคาเฟ่ที่เบื่อคาเฟ่แล้ว หรือสายเที่ยวเนือยๆอย่างผู้เขียนเองเนี่ย เป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะกับความนิ่งสงบของสวนอิซุยเอ็นที่สุดเลยล่ะ
วิธีเดินทาง
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ถนนฮิกาชิมุกิคือย่านชอปปิ้งยอดนิยมของจังหวัดนารา สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสินค้าและของฝากมากมายให้เราจับจ่ายกันอย่างเพลินใจ
ทั้งนี้คำว่าฮิกาชิมุกิ (Higashimuki) นั้นมีความหมายว่า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (East-faced) และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากช่วงศตวรรษที่ 8 หรือยุคสมัยนารา ซึ่งได้มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นที่ทางตะวันออกของตัวเมือง ภายใต้คำสั่งของตระกูลฟุจิวาระซึ่งเป็นตระกูลที่เรืองอำนาจมากในตอนนั้น นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจของยุคนั้นก็คือ สิ่งก่อสร้างทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้า หรือโรงน้ำชา จะต้องสร้างโดยหันหน้าไปทางตำแหน่งที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิ [15]
แน่นอนว่าความบันเทิงก็จะเกิดขึ้นตามมา เพราะอาคารบ้านเรือนในละแวกนี้ต่างก็หันหน้าสู่ทางทิศตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิทั้งหมด ผู้คนจึงเรียกชื่อย่านนี้ว่า Higashimuki มาจนถึงปัจจุบัน
เกริ่นสตอรี่มาพอควร เราไปเดินช้อปชิลล์ๆกันดีกว่า อยากบอกว่านอกจากของฝากประจำท้องถิ่นสไตล์ Nara only แล้ว ก็ยังมีสินค้าเบ็ดเตล็ด รวมทั้งของกระจุกกระจิกเยอะแยะเลย แบบนี้คงต้องเตรียมกระเป๋าเงินให้แน่นๆหน่อยแล้วล่ะ ><!
วิธีเดินทาง
เวลาทำการ
เว็บไซต์
วัดโคโฟคุจิ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ถ้าไม่ไปก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงนารา!
เพราะนอกจากวัดโคฟุคุจิแห่งนี้จะหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว (เนื่องด้วยมีอายุถึง 1,300 ปีเลยทีเดียว) วัดแห่งนี้ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย [16]
หากกล่าวถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้ เราคงต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีตในช่วงสมัยนาราและเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นภายใต้คำสั่งของตระกูลขุนนางที่เรืองอำนาจมากที่สุดในตอนนั้น ซึ่งก็คือตระกูลฟุจิวาระนั่นเอง โดยวัดแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 710 เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับการสร้างเมืองหลวงเสร็จเช่นกัน
หากถามว่าในตอนนั้นตระกูลฟูจิวาระมีอำนาจมากแค่ไหน เราก็สามารถตอบทุกคนได้จากจำนวนอาคารภายในวัดที่คนตระกูลนี้สั่งให้สร้างถึง 150 หลัง! คิดดูสิว่าจะต้องใหญ่แค่ไหนถึงจะทำอะไรแบบนี้ได้
พอเดินเข้ามายังตัววัดโคฟุคุจิแล้ว เราก็จะเห็นสถาปัตยกรรมไม้ที่สวยงามอย่างเจดีย์ 5 ชั้น (Fived-Storied Pagoda) และถ้าใครชอบงานปฏิมากรรมพระพุทธรูปต่างๆ เราแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่ Eastern Golden Hall กับ Kofukuji National Treasure Museum เลยนะ เพราะที่นั่นจะมีการจัดแสดงพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียง ส่วนสถาปัตยกรรมที่เราชอบเป็นการส่วนตัวเลยจริงๆก็คือความสวยงามของ Octagonal Halls ที่เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยมสุดคลาสสิกนั่นเอง [17]
วิธีเดินทาง
เบอร์
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
หลังจากที่เอาใจสายเที่ยวจอมเนิร์ดกันมาพอกรุบกริบ มาเอาใจสายรักธรรมชาติบ้างดีกว่าเนอะ 555
รู้หรือไม่ว่าในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ภูเขาคัตสึรางิ ดอกอาเซเลียนับพันจะพร้อมใจกันผลิบานจนเต็มทุ่ง ราวกับมีใครมาคลุมผ้าสีแดงสลับชมพูสดผืนใหญ่ลงบนยอดเขาแห่งนี้เลยล่ะ
สีของท้องฟ้าที่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าและสีแดงของดอกอาเซเลีย เป็นทัศนียภาพที่งามตาจนหาตัวจับยากเลยทีเดียว ภูเขาคัตสึรางิจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ช่างภาพและนักปีนเขาหลายคนอยากมาให้ได้สักครั้ง
สำหรับวิธีขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ เราจะต้องขึ้นกระเช้าจาก The Base Ropeway แต่ถ้าใครอยากจะปีนเขาขึ้นมาเองก็สามารถทำได้โดยเริ่มปีนจากจุดขึ้นกระเช้า ทั้งนี้ไม่ว่าจะปีนเขาหรือขึ้นกระเช้าต่างก็ใช้เวลาเกือบเท่ากัน ซึ่งก็คือ 90 นาที
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวชมเมืองเก่า มาเป็นการดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ภูเขาคัตสึรางิก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างมาก [18]
วิธีเดินทาง
เว็บไซต์
เชื่อว่าคงมีใครหลายๆคนที่อยากลองย้อนกลับไปยังอดีต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หนึ่งในนั้นคงเป็นความอยากรู้ว่าคนสมัยก่อนใช้ชีวิตยังไง หรือบ้านเมืองสมัยนั้นเป็นแบบไหน
แต่การย้อนเวลานั้นคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถ้างั้นสถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตล่ะ จะมีบ้างไหมนะ?
เราว่าย่านนารามาจิเนี่ยแหละ ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเลย!
สถานที่แห่งนี้จะทำให้คุณหลงเสน่ห์ไปกับบรรยากาศย้อนยุคที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความน่าค้นหาอย่างแน่นอน
หากเดินไปตามถนนสายเล็ก เราจะเห็นอาคารดั้งเดิมตามแบบฉบับนาราปลูกเรียงรายไปตลอดทาง อีกทั้งยังเป็นย่านการค้าที่คึกคักมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 [19]
แม้ว่าช่วงศตวรรศที่ 15 พื้นที่แห่งนี้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดกังโกจิ (Gangoji Temple) [20] แต่ในปัจจุบันนารามาจิคือย่านชอปปิ้งที่น่ามาเดินเล่นกินลมชมวิวสุดๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ ร้านเบเกอรี ร้านอาหาร หรือร้านเสื้อผ้า ก็ล้วนคุมโทนวินเทจกันทั้งนั้นเลย
ไหนๆก็มาถึงนารามาจิแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลองไปตามสถานที่ที่เราแนะนำด้านล่างนี้เลยก็ได้นะ [21]
วิธีเดินทาง
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
และอีกหนึ่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ถึง 1,400 ปี [22] ซึ่งทุกคนต้องไปกันให้ได้ก็คือ วัดโฮริวจิ!!
สำหรับการก่อสร้างวัดโฮริวจิครั้งแรกนั้น เริ่มจากความต้องการของเจ้าชายโชโตกุที่อยากจะสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาพุทธในญี่ปุ่น องค์ชายจึงต้องการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาศาสนา เดิมทีแล้ววัดโฮริวจิเคยมีชื่อว่า วาคาคุสะเดระ (Wakakusadera) และสร้างเสร็จครั้งแรกเมื่อปี 607 [23]
เนื่องด้วยวัดโฮริวจิแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารไม้โบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ทางยูเนสโกจึงได้กำหนดให้วัดแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี 1993 [24]
บริเวณที่กว้างขวางของวัดโฮริวจินั้นแบ่งออกเป็น 2 เขตคือ เขตตะวันตกและเขตตะวันออก โดยทั้งสองเขตก็มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
อย่างเขตตะวันตกของวัดก็จะมีเจดีย์ 5 ชั้นที่เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคอาสึกะ หรือประมาณช่วงกลางศตวรรษที่ 6 ถึงต้นศตวรรษที่ 8 แถมยังเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้โดยรอดพ้นจากทุกภัยพิบัติอีกด้วย! อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่ว่านี้ก็ผ่านการบูรณะมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน เพื่อคงสภาพให้สมบูรณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนเขตตะวันออกก็จะมีสถาปัตยกรรมไม้ทรงแปดเหลี่ยมอย่าง ยูเมะโดโนะ (Yumedono) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเจ้าชายโชโตกุ นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดแสดงของงานปฏิมากรรมรูปปั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปฏิมากรรมแทนเจ้าชายโชโตกุ พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์
และอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดหากมาที่วัดโฮริวจิก็คือ วัดชูกุจิ (Chuguji Temple) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างแยกจากวัดใหญ่ โดยที่นี่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธของญี่ปุ่น โดยภายในวัดนี้จะมีพระพุทธรูปแกะสลักปางสมาธิด้วย [25]
วิธีเดินทาง
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กับโบราณสถานหรือเมืองเก่าแก่ในจังหวัดนารา คงไม่พ้นความอร่อยของอาหารท้องถิ่นของนาราอย่างแน่นอน ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง เราตามมาดูกันเลยดีกว่า~
หลายคนอาจจะสงสัยว่าคาคิโนะฮะซูชิแตกต่างจากซูชิแบบอื่นยังไง?
ก่อนที่จะมาตอบคำถามนี้ เราลองมาคิดถึงการถนอมอาหารกันเถอะ อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าซูชิก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราควรกินให้หมดภายในวันที่ทำเสร็จ หรือถ้าจะเก็บไว้กินวันหลังก็ควรแช่เย็นให้ดี เพื่อรักษาความอร่อยและความสดของปลาทะเล
แต่คาคิโนะฮะซูชิล้ำไปกว่านั้นจ๊ะ เพราะเป็นซูชิที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน แถมไม่ต้องแช่เย็นด้วย! และความลับของการถนอมอาหารที่เสียง่ายอย่างซูชิก็คงหนีไม่พ้นเจ้าใบไม้ปริศนาที่เห็นดังภาพ นั่นก็คือใบลูกพลับนี่เอง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาหารเสียนั้น คิดว่าทุกคนคงทราบกันดีว่านอกจากอุณหภูมิแล้วก็ยังมีแบคทีเรียอีกด้วย
จากงานวิจัยของ BioMed Research International กล่าวว่าสารฟีนอลิก (phenolic compound) ที่อยู่ในใบลูกพลับเป็นสารแอนติแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Antibacterial) [26] เราจึงสามารถปกป้องเจ้าซูชิน้อยให้พ้นมือวายร้ายอย่างแบคทีเรียได้ เพียงแค่ใช้ใบลูกพลับห่อนั่นเอง ถือเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเลยนะเนี่ย
นอกจากคาคิโนะฮะซูชิจะเก็บได้นานแล้ว อาหารชนิดนี้ก็ยังคงความสดใหม่เอาไว้ด้วย ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสได้ไปนารา ลองไปหาชิมกันดูนะ!
มิวะโซเมงเป็นเมนูต้นตำรับของเมืองมิวะ จังหวัดนารา ด้วยมิวะนั้นเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพของน้ำเพราะมีต้นน้ำที่ดีอย่างภูเขามิวะ (Mt. Miwa) จึงทำให้ชาวเมืองได้บริโภคน้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์ทุกวัน
สำหรับการทำเส้นมิวะโซเมง ก็จะต้องมีส่วนผสมอย่างแป้ง เกลือ และน้ำจากภูเขามิวะ รสชาติอ่อนๆอันแสนกลมกล่อม บวกกับเส้นโซเมงบางๆนี้ นับว่าเป็นความอร่อยที่ดีต่อใจอย่างหนึ่งเลยล่ะ ไม่ว่าจะกินแบบร้อนหรือเย็นก็เอ็นจอยได้หมดจ๊ะ!
เราผ่านจานหลักมาถึง 2 จานกันแล้ว ลองมาดูเครื่องเคียงกันบ้างดีกว่าเนอะ
เมื่อคิดถึงเครื่องเคียงของญี่ปุ่น ภาพผักดองคงฟุ้งกระจายบางๆในความคิดของใครหลายคนเลยใช่ไหม และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดถึงผักดองอยู่นั้น เราก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณมาถูกทางแล้ว เพราะอาหารจานนี้ก็คือ นาราซึเกะ หรือผักดองต้นตำรับของจังหวัดนารานั่นเอง!
เนื่องจากว่านาราซึเกะเป็นอีกหนึ่งจานต้นตำรับของนารา เราจึงสามารถคาดหวังกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของอาหารจานนี้ได้ โดยนาราซึเกะเป็นเมนูที่คิดค้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 และมักจะทำจากมะระยูริ (Uri gourd) แตงโมอ่อน หัวไชเท้าไดคง (Daikon Radish) และแตงกวา
ชาวนาราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปดองกับสาเก เราจึงเห็นว่าหน้าตาของนาราซึเกะเมื่อดองจนได้ที่จะมีสีน้ำตาลเข้ม ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นฉุน แต่กลับหอมด้วยกลิ่นสาเกอันบางเบา ถ้าใครอยากลองชิมก็ตามหาได้ไม่ยากนะ เพราะเราสามารถพบเจ้านาราซึเกะได้ตามเครื่องเคียงของร้านอาหารทั่วไปในนารา
หากพูดถึงวากาชิ หรือขนมหวานญี่ปุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จักขนมโมจิ วากาชิที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาแสนนานหรอกใช่ไหม?
และ 'จังหวัดนารา' เองก็มีโมจิที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง คุซึโมจิ อยู่ด้วยล่ะ ว่าแต่ขนมชิ้นนี้มีความพิเศษแตกต่างจากโมจิแบบอื่นยังไงกันนะ เราจะมาให้คำตอบคุณเอง!
โมจิแบบปกติจะทำจากเค้กข้าวที่มีส่วนประกอบของโมจิโกเมะ (Mochigome) หรือแป้งกลูเตนญี่ปุ่น ก่อนเสิร์ฟจะโรยผงถั่วเหลืองคั่วบดละเอียด หรือผงคินาโกะ (Kinako) ลงบนตัวโมจิ นอกจากนี้ยังมีถั่วแดงกวนเป็นท็อปปิ้งด้วยนะ แต่คุซึโมจินั้นทำจากแป้งเท้ายายม่อม (Kuzu starch or Japanese arrowroot) จึงทำให้มีรสสัมผัสของเจลาตินมากกว่าความหนึบหนับของแป้งกลูเตน
แน่นอนว่าก่อนเสิร์ฟก็ต้องโรยด้วยผงคินาโกะที่มีความหอมหวานเฉพาะตัว ส่วนรสชาติน่ะเหรอ? ก็ต้องอร่อยเลิศอยู่แล้ว!
ถ้าเพื่อนๆสายของหวานคนไหนมาที่นารา ต้องไม่พลาดคุซึโมจิเด็ดขาดเลยนะ!
แล้วก็มาถึงหมู่บ้านทตสึคาวามุระ ซึ่งเป็นต้นตำรับของอาหารจานหลักอีกอย่างของจังหวัดนารา นั่นก็คือข้าวปั้นเมฮาริจานนี้นี่เอง!
สำหรับวิธีการทำนั้น เขาจะนำข้าวอุ่นๆมาห่อกับใบมัสตาร์ดดอง โดยการทำใบมัสตาร์ดดองนั้น เขาก็จะไปเก็บใบมัสตาร์ดที่ขึ้นอยู่ในแถบโยชิโนะมาต้มกับสาเกผสมมิริน (เหล้าหวานญี่ปุ่น) ก่อนจะเติมอุสึคุจิโชยุลงไป (Usukuchishoyu) พอเดือดแล้วก็นำใบมัสตาร์ดขึ้นมาพักให้เย็น ก่อนจะนำไปชะเกลือส่วนเกินออกด้วยวิธีล้างผ่านน้ำไหล พอสะเด็ดน้ำออกแล้ว ให้นำใบมัสตาร์ดที่ได้มาใส่ในกล่องเดียวกันกับที่มีใบมัสตาร์ดดองอันเก่า ก่อนจะหมักไว้ในตู้เย็นโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน [27]
อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ทำแยกกล่องกันไปเลยล่ะ จะเอาไปรวมกับกล่องเก่าทำไม คำตอบก็คือเพราะเขาต้องการเชื้อหมักที่อยู่ในใบมัสตาร์ดอันเก่านั่นเอง ยิ่งถ้าเป็นเชื้อหมักที่อยู่มานานก็ยิ่งแข็งแกร่งและทำให้ใบมัสตาร์ดดองมีรสชาติล้ำลึกมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้าวปั้นเมฮาริด้วยนะ ว่ากันว่าความอร่อยของข้าวปั้นเมฮารินั้นสามารถทำให้คนออกอาการเบิกตากว้าง พร้อมกับอุทานออกมาว่าอร่อยสุดๆได้ด้วย จนกลายมาเป็นที่มาของชื่อ เมฮาริ ซึ่งแปลว่า ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น (Me wo Haru) [28] นั่นเอง
แม้ว่าเดิมทีข้าวปั้นเมฮาริจะเป็นข้าวกล่องสำหรับชาวบ้านที่ต้องขึ้นไปทำไร่บนเขา แต่ปัจจุบันได้มีการปรับให้ข้าวปั้นเมฮาริมีขนาดเล็กพอดีคำ และกลายเป็นของฝากยอดนิยมจากนาราเลยล่ะ
จะอร่อยจนเราต้องเบิกตากว้างมากแค่ไหน ก็ต้องไปลองกันเองน๊า!
ที่มา: 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดนารา’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่: fromJapan.info
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in