เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
fromJapan พาเที่ยว 47 จังหวัดแห่งแดนอาทิตย์อุทัยfromjapan.th
จังหวัดยามากาตะ จังหวัดนี้มีดีที่วากิว!

  • จังหวัดยามากาตะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ด้วยธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์ จังหวัดนี้จึงมีของกินแสนอร่อยมากมาย โดยเฉพาะเนื้อวากิวของยามากาตะที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งตลอดกาลของญี่ปุ่น

    แต่แค่นี้อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการโน้มน้าวใจเราให้ไปเที่ยวที่นี่ใช่ไหม?

    เราจึงอยากมาบอกต่อว่า 'จังหวัดยามากาตะ' นี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมยังมีเมืองเก่าที่สวยคลาสสิกเสียจนได้กลายไปเป็นฉากหนึ่งในละคร รวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่อง เท่านี้ก็คงทำให้เรานึกอยากไปตามรอยละครดังขึ้นมาทันทีใช่ไหมล่ะ

    แต่นอกจากนี้ 'จังหวัดยามากาตะ' ก็ยังมีเทศกาลและงานประเพณีเก่าแก่ตลอดปี ไหนจะศาสนสถานยอดนิยมของเหล่ายามาบูชิ (นักพรตภูเขา)

    ยิ่งถ้าใครเป็นสายออนเซ็น หรือนึกอยากจะซื้อบรรยากาศผ่อนคลายให้กับร่างกายที่แสนทรุดโทรมนี้ ยามากาตะก็เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยล่ะ เพราะออนเซ็นของจังหวัดนี้ติด 1 ใน 10 ออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เป็นออนเซ็นระดับท็อปคลาสอย่างแน่นอน!

    ถ้าใครมีแผนจะไปญี่ปุ่น แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปจังหวัดไหนหรือภูมิภาคไหนดีล่ะก็ เราขอแนะนำว่าให้เก็บจังหวัดยามากาตะไว้ในอ้อมใจด้วยนะ

    แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อความหลัก เราขออนุญาตให้เครดิตกับทีมงานคุณภาพ fromJapan ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้มาโดยตลอด และถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านบทความที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและความรู้แบบนี้ ก็สามารถไปตำกันได้ที่ Official Website: fromJapan.info กันได้เลย~!

     

    สถานที่ท่องเที่ยวประจำ 'จังหวัดยามากาตะ'

    จังหวัดยามากาตะ เป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้

    • จากโตเกียว 2 ชั่วโมง 45 นาที
    • จากนาโกย่า 4 ชั่วโมง 33 นาที
    • จากโอซาก้า 5 ชั่วโมง 51 นาที

    ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในยามากาตะ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจังหวัดนี้มีอะไรบ้าง


    1. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

    วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) เป็นวัดของนิกายเทนไดที่สร้างขึ้นในปี 860 มีชื่อทางการว่า โฮจุซัง ริชชาคุจิ แต่ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกว่า 'ยามาเดระ' นั้นเป็นเพราะว่าชื่อนี้มีความหมายตรงตัวกับที่ตั้งของสถานที่ ซึ่งก็คือ 'วัดบนภูเขา' นั่นเอง

    ส่วนประวัติการก่อตั้งของวัดนี้เริ่มมาจากช่วงตอนต้นของยุคเฮอัน หรือช่วงปี 794 - 1185 ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่จักรพรรดิเซวะส่งพระสงฆ์รูปหนึ่งไปยังภูมิภาคโทโฮคุ นั่นก็คือหลวงพ่อจิกากุ ไดอิจิ ต่อมาท่านจึงก่อตั้งวัดยามาเดระขึ้นภายใต้เขตการปกครองจังหวัดยามากาตะในปัจจุบัน

    และครั้งหนึ่งได้มีนักกวีที่มีชื่อเสียงในอดีตนามว่า บาโช (Basho) ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เขาได้แต่งกลอนไฮกุอันแสนไพเราะ ว่าด้วยการพรรณนาถึงความเรียบง่ายและความสงบของวัดยามาเดระ จนทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

    เพราะว่าเป็นวัดบนภูเขา เราเลยต้องเดินกันเยอะหน่อยนะ!

    ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เรียกว่า ไคซังโด หรืออาคารที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วิญญาณของหลวงพ่อจิกากุ ไออิชิ

    และตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดที่ใครหลายคนเคยเห็นตามโปสเตอร์การท่องเที่ยว ของจริงก็สวยงามตามท้องเรื่อง ขอยกกล้องขึ้นมาถ่ายสักแชะสองแชะแล้วกันเนอะ ^^

    ข้อมูลเกี่ยวกับวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี Yamadera ให้เดินประมาณ 5 นาทีเพื่อไปยังบริเวณทางขึ้นวัด และเดินต่ออีกประมาณ 35 นาทีเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว
    • สำหรับการเดินทางไปสถานี Yamadera หากเดินทางจากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟ JR สาย Senzan ไปลงที่สถานี Yamadera (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน)
    • หากเดินทางจากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟJR สาย Senzan ไปลงที่สถานี  Yamadera (ใช้เวลา 60 นาทีค่าโดยสาร 840 เยน)

    ที่อยู่

    • Yamadera (Hojuzan Risshaku Temple), 4456-1 Yamadera, Yamagata, 999-3301

    โทร

    • 023-695-2002

    เวลาทำการ

    • วัด : เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 8.00 - 17.00 น.
    • หอสมบัติ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30 - 17.00 น. (ปิดทำการในช่วงเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนเมษายน)
    • พิพิธภัณฑ์บาโช : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9.00 - 16.30 น. (ปิดทำการในวันที่ 29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม และวันหยุดอื่นๆอีกบางวัน โปรดเช็กก่อนเดินทางไป)

    ค่าเข้าชม

    • วัด : มีค่าเข้าชม 300 เยน
    • หอสมบัติ : มีค่าเข้าชม 200 เยน
    • พิพิธภัณฑ์บาโช : มีค่าเข้าชม 400 เยน

    เว็บไซต์


    2. ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao)

    ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao) เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวตัดผ่านระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ นอกจากจะมีความสูงถึง 1,841 เมตรแล้ว ภูเขาซาโอะยังเป็นหนึ่งในภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุอีกด้วย

    แน่นอนว่าภูเขาลูกใหญ่ก็ย่อมให้ทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นธรรมดา โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะเห็นภูเขาซาโอะถูกย้อมเป็นสีแดงส้มสลับเหลืองอย่างงามตาเลยล่ะ ช่างเป็นงานศิลป์ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติโดยแท้

    สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของภูเขาซาโอะก็คือ ปากปล่องโอกามะ บริเวณนี้เป็นวิวที่สวยงามมาก เราอยากให้ทุกคนได้เห็นกันจริงๆ ถ้าใครอยากลองไปดูด้วยตาตัวเองล่ะก็ ต้องออกแรงเดินไปหน่อยนะ ใช้เวลาแค่ 45 นาทีเท่านั้นเอ๊ง~

    ในช่วงหน้าหนาว ที่นี่จะกลายเป็นลานสกี นอกจากนี้เรายังสามารถนั่งกระเช้าชมปิศาจหิมะได้ หากใครสงสัยว่าปีศาจหิมะคืออะไร เราจะอธิบายสั้นๆว่ามันก็คือต้นไม้ที่ถูกหิมะเกาะจนมีรูปร่างเหมือนกับปีศาจนั่นเอง ขอบอกก่อนว่ามันไม่ได้น่ากลัวเลยนะ  แต่น่าตื่นตาตื่นใจดีต่างหาก

    ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาซาโอะ (Mt.Zao)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Zao Onsen (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 1,000 เยน) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไปยังจุดขึ้นกระเข้า และเดินต่ออีกประมาณ 45 นาทีเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว

    ที่อยู่

    • Zao Sanroku Station, 229ー3 Zaoonsen, Yamagata, 990-2301

    โทร

    • 023-694-9518

    แผนที่

    เวลาทำการ

    • กระเช้าเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.30 - 17.00 น.

    ค่ากระเช้า

    • ผู้ใหญ่ (เที่ยวเดียว) 1,500 เยน
    • ผู้ใหญ่ (ไป-กลับ) 3,000 เยน
    • เด็ก (เที่ยวเดียว) 800 เยน
    • เด็ก (ไป-กลับ) 1,500 เยน

    เว็บไซต์


    3. ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro)

    ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro) ตั้งอยู่ในเมืองสึรุโอกะ (Tsuruoka) จังหวัดยามากาตะ ภูเขาแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ (Dewasanzan) ที่ประกอบด้วย

    1. ภูเขาฮากุโระ หรือภูเขาแห่งการเกิด
    2. ภูเขากัสซัง หรือภูเขาแห่งการตาย
    3. ภูเขายูโดโนะ หรือภูเขาแห่งการเกิดใหม่

    ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น การปีนเขาทั้งสามลูกจะต้องเริ่มจากภูเขาฮากุโระก่อนเสมอ และเนื่องจากภูเขาแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บนเขาจึงมีศาลเจ้าด้วย แน่นอนว่าจุด power spot ของทั้งสามที่ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน หากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ เราขอแนะนำว่าให้มาช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน หากมาช่วงหน้าหนาวก็จะมีเพียงศาลเจ้าฮากุโระแห่งนี้ที่เปิด

    เจดีย์ห้าชั้นที่เห็นในรูปก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 937 เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่และทรงคุณค่าอีกหนึ่งแห่งที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ บนยอดเขามีอาคารที่ใช้สักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า ซังจินโกะ ไซเด็ง ซึ่งมีความสวยงามและเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะได้รับการประดิษฐานไว้ในอาคารแห่งนี้เพื่อให้เป็นที่เคารพบูชา

    บันไดหินที่มีต้นสนซีดาร์เรียงรายตามสองข้างทางนี้ก็สวยงามเสียจนมิชลินกรีนไกด์ถึงกับให้คะแนน 3 ดาวเชียวนะ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากใครสามารถมองหารอยสลักบนบันไดหินได้ครบ 33 รอย คนคนนั้นจะได้รับความโชคดีจากเทพเจ้า

    และที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้ก็คือ ซันจิงโกะ ไซเด็ง (Sanjinko Saiden) หรืออาคารที่ใช้สำหรับพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแห่งสามเขานั่นเอง ทั้งนี้หลังคาของอาคารจะมุงด้วยใบจากที่สูงและหนาที่สุดในบรรดาเดวะ แล้วถ้ามองไปยังด้านหน้าของตัวอาคาร เราก็จะเห็นสระน้ำลี้ลับอันเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าผู้คนที่เลื่อมใสมาแต่โบราณกาล

    ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Mt.gassan แล้วลงที่ป้าย Hagurozuijinmon (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 840 เยน) จากนั้นเดินไปอีก 7 นาทีก็จะถึงเจดีย์ 5 ชั้น และให้เดินต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงผ่านทางเดินหิน ก็จะถึงตัวอาคารหลัก หรือถ้าขี้เกียจเดินจะลงที่อาคารหลักเลยก็ได้ ให้ลงป้าย Hagurosancho  (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 1,210 เยน)

    ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Mt.Haguro (เจดีย์5ชั้น)

    • Mt.Haguro, Injuminami-83-7 Haguromachi Touge, Tsuruoka, Yamagata 997-0211
      • โทร : 0235622355

    ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Dewasanzan Shrine (อาคารหลัก)

    • Dewasanzan Shrine, Haguroyama-33 Haguromachi Touge, Tsuruoka, Yamagata 997-0211
      • โทร : 0235622355

    เวลาทำการ

    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    4. ภูเขากัสซัง (Mt.Gassan)

    ที่มา : https://gaijinpot.scdn3.secure.raxcdn.com

    ไปภูเขาแห่งการเกิดอย่างภูเขาฮากุโระกันมาแล้ว มาถึงคราวของภูเขากัสซัง (Mt.Gassan) หรือภูเขาแห่งความตายกันบ้าง โดยภูเขาลูกนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,984 เมตรกันเลยทีเดียว ศาลเจ้าที่สร้างอยู่บนเขาลูกนี้ก็เลยตั้งอยู่บนที่สูงที่สุดในบรรดา 3 เขา

    นอกจากนี้ภูเขากัสซังยังเป็นภูเขาที่สวยงามมากในทุกๆฤดูกาล ส่วนความขลังนั้นไม่ขอพูดเยอะ เพราะเป็นถึง 1 ใน 3 แห่งเดวะ จะไม่ศักดิ์สิทธิ์สุดๆได้อย่างไร!

    หากมีเป้าหมายที่ยอดเขากัสซัง ขอบอกไว้ก่อนว่าต้องไปช่วงหน้าร้อน โดยเริ่มเดินทางจากสถานีที่ 8 จากนั้นก็เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร! ดูเผินๆอาจเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่ถ้าได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่แสนสวยงามระหว่างทางก็เป็นเรื่องที่ดีงามต่อใจไม่ใช่น้อยเลย

    แต่สำหรับนักปีนเขามือใหม่ควรระมัดระวังหลายสิ่งต่อไปนี้ คือ

    1. หินลื่น
    2. หิมะที่ยังละลายไม่หมด
    3. ลมแรงในช่วงฝนตก

    นอกจากนี้เราต้องเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางขึ้นเขาประมาณ 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เราสามารถพักเหนื่อยกันได้ที่บ้านพักบุชโชอิเกโกยะ (Busshoike Goya Lodge) ได้นะ และสำหรับคนที่แพลนจะไปภูเขายูโดโนะต่อก็สามารถค้างคืนที่นี่ได้เช่นกัน

    ที่มา : https://i.pinimg.com

    ศาลเจ้าที่ยอดเขากัสซังจะปิดไม่ให้เข้าชมเกือบตลอดเวลา ยกเว้นช่วงฤดูร้อน เนื่องจากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจะกลายเป็นอุปสรรคในการเดินทางไปศาลเจ้า

    แม้ภูเขากัสซังจะเป็นภูเขาแห่งความตาย แต่ความตายในที่นี้หมายถึงการตายแล้วเกิดใหม่ของจิตวิญญาณ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือการรีเฟรชจิตวิญญาณนั่นเอง ทั้งนี้ฉายาภูเขาแห่งความตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับหรือเรื่องน่าขนลุกแต่อย่างใด

    ที่มา : https://www.gassan-info.com

    และสถานที่เล่นสกีหน้าร้อนแห่งเดียวของญี่ปุ่นก็คือภูเขากัสซังนั่นเอง โดยทุกคนสามารถไปสนุกกันได้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงกรกฎาคมของทุกปี

    ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขากัสซัง (Mt.Gassan)

    วิธีเดินทาง

    • จาก Dewasanzan Shrine ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Mt.gassan แล้วลงที่ป้าย Gassanhachiaime (ใช้เวลา 70 นาที ค่าโดยสาร 1,590 เยน) แล้วเดินอีกประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงยอดเขา

    ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ

    • Mt.Gassan 8th station Rest house : 997-0131 Yamagata, Tsuruoka, Haguromachi Kawadai, Higashi-Masukawa mountain
      • โทร : 09026075111
    • Busshoike goya Lodge : Shonai, Higashitagawa District, Yamagata 999-6609
      • โทร : 09087839555
    • Gassan Summit Hut : Shonai, Higashitagawa District, Yamagata 999-7700
      • โทร : 0235622355

    เวลาทำการ

    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา (ปีนไปถึงยอดได้เฉพาะฤดูร้อน ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม)

    ค่าเข้าชม

    • ศาลเจ้าที่ยอดเขา มีค่าเข้าชม 500 เยน

    เว็บไซต์


    5. ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono)

    ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono) เป็นภูเขาลำดับสุดท้ายที่เราจะกล่าวถึงใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ ภูเขาแห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,504 เมตร แถมยังมีศาลเจ้าสุดลึกลับอยู่ด้วย! โดยความลึกลับที่ว่านี้ก็ได้มาจากความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เพราะทุกครั้งที่มีคนเข้าไปข้างในศาลเจ้า คนข้างนอกจะไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าในขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายในศาลเจ้า แม้แต่เสียงคนคุยก็ไม่ได้ยินด้วยนะ และนี่ก็อาจจะเป็นความพิเศษที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวก็เป็นได้

    สำหรับเส้นทางในการเดินเขานั้นถือว่ามีความสะดวกสบาย เพราะเราสามารถนั่งรถขึ้นมาได้อยู่ แต่สำหรับคนที่อยากปีนมาจากภูเขากัสซังก็ย่อมทำได้เช่นกัน เพียงแต่เส้นทางนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับนักปีนเขา และถ้าคุณยังเป็นมือใหม่หัดปีนอยู่ เราขอแนะนำว่าเรื่องปีนเขาไปเองนี่อย่าหาทำเชียวนะ นั่งรถไปเถอะ

    พอไปถึงศาลเจ้าแล้วก็อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าศาลล่ะ เพราะนี่ถือเป็นการซึมซับพลังแห่งธรรมชาติจากเท้าอันเปลือยเปล่าที่จะกระจายไปทั่วร่าง และในท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเราก็จะได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์

    Manuel Ascanio / Shutterstock

    นอกจากนี้ ภูเขาโยโดโนะก็เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของเหล่านักบวช(ยามาบูชิ)อีกด้วย เพราะนอกจากจะปลีกวิเวกในป่าลึกกลางเขาได้อย่างสบายใจแล้ว นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนตนในโหมดเข้มข้นได้อีกด้วย

    ทั้งนี้ยังมีความเชื่อของชาวญี่ปุ่นด้วยว่า ใครก็ตามที่สามารถปีนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะได้ครบหมดทั้ง 3 เขาคือภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะ วิญญาณของคนผู้นั้นจะเกิดใหม่ภายในกายเดิม ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาเสมอ

    ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งแท็กซี่ไปที่ภูเขายูโดโนะ โดยมีค่าโดยสาร 10,000 เยน (ต้องจองล่วงหน้าที่ https://www.yudonosan-stay.com/access/) หรือไม่ก็ปีนเขามาจากยอดเขา Mt.Gassan โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง (เป็นเส้นทางปีนเขาที่โหด ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่หัดปีนเขา)

    ที่อยู่

    • Mt. Yudono Shrine Main Building, 997-0532 Yamagata, Tsuruoka, Haguromachi Touge, Hand 7

    โทร

    • 0235-54-6133

    เวลาทำการ

    • ศาลเจ้าเปิดเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม

    ค่าเข้าชม

    • 500 เยน

    เว็บไซต์


    6. ภูเขาโชไค (Mt.Chokai)

    ภูเขาโชไค (Mt.Chokai) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,236 เมตร เป็นภูเขาชื่อดังที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่น ด้วยความที่หิมะตรงปลายยอดทำให้ดูคล้ายกับภูเขาฟูจิ ภูเขาลูกนี้จึงได้รับฉายาว่า ฟูจิแห่งเดวะ (Dewasanzan of Fuji)

    เนื่องจากภูเขาโชไคแห่งนี้เป็นภูเขาเดี่ยว จึงทำให้ทัศนวิสัยเปิดโล่งและเห็นวิวได้แบบรอบทิศ นอกจากนี้แล้ว พื้นที่ทั่วทั้งภูเขาเองก็ได้รับเลือกให้เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นด้วย

    และจุดที่สวยที่สุดที่เราอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นกับตาก็คือ ทะเลสาบกลางภูเขา

    พออ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคนสงสัยว่าภูเขาโชไคมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ เราก็ขอตอบตรงนี้เลยละกันว่า อันที่จริงแล้วภูเขาแห่งนี้เคยเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ และแน่นอนที่สุดว่าบนยอดเขาก็มีศาลเจ้าด้วยเช่นกัน

    ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโชไค (Mt.Chokai)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Kisakata นั่งรถตู้ (ค่าโดยสาร 3,000 เยน ใช้เวลา 45 นาที) ซึ่งต้องจองล่วงหน้าที่ http://www.nikaho-kanko.jp/blueliner.html หรือไม่ก็เช่ารถเอา

    ที่อยู่

    • Mt. Chokai (Ohira Sanso 大平山荘), Fukura, Yuza, Akumi District, Yamagata 999-8521

    โทร

    • 090-2607-2326

    เวลาทำการ

    • ปีนเขาได้เฉพาะช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    7. แม่น้ำโมกามิ (Mogami River)

    แม่น้ำโมกามิ (Mogami River) มีความยาว 224 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่สำคัญของ 'จังหวัดยามากาตะ' โดยชาวเมืองที่นี่จะใช้แม่น้ำแห่งนี้ในการคมนาคมและการขนส่งสินค้า

    ที่มา : https://jfdb.jp/

    นอกจากนี้แม่น้ำโมกามิยังเป็นฉากหนึ่งในซีรีส์และภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน (Oshin) ด้วยนะ

    แต่เราคงไม่ต้องไปลำบากลำบนพายเรือเองเหมือนโอชินกันแล้ว เพราะถัดมาในยุคของเรามีเรือเครื่องที่แสนสะดวกสบายอยู่ ซึ่งก็จะมีที่นั่งตามที่เห็นในรูปข้างบนนี้ และเราสามารถสั่งซื้ออาหารมานั่งกินระหว่างชมวิวได้ด้วยนะ โดยความสุนทรีย์อีกอย่างหนึ่งก็คือบางครั้งคนขับเรือก็ร้องเพลงคลอเป็นพักๆไป นอกจากนี้ เรือชมวิวของที่นี่ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการจัดอันดับเรือชมวิวของญี่ปุ่นด้วยนะ

    แม้สถานที่แห่งนี้จะสวยงามทุกฤดูกาล แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่แหละ

    ที่มา : https://kiji.life

    ส่วนใครที่มาตามรอยละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย ตรงนี้ก็เป็นฉากหนึ่งในละครด้วยนะ

    ข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำโมกามิ (Mogami River)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี Furukuchi เดินประมาณ 5 นาทีเพื่อไปที่ท่าเรือ
    • สำหรับการเดินทางไปสถานี Furukuchi หากเดินทางจากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Shinjo (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 2,370 เยน) หรือจะนั่งรถไฟธรรมดาไปก็ได้ (ใช้เวลา 80 นาที ค่าโดยสาร 1,170 เยน) จากนั้นให้นั่งรถไฟสาย Rikuu-sai ไปลงที่สถานี Furukuchi (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 330 เยน)

    ที่อยู่

    • Mogami River boat ride (最上峡芭蕉ライン舟下り), 999-6401 Yamagata, Mogami District, Tozawa, Furukuchi, 86−1

    โทร

    • 0233-72-2001

    เวลาทำการ

    • เรือให้บริการในเวลา 9.20 - 15.30 น. รอบเรือโปรดดูจากเว็บไซต์นี้ > http://www.blf.co.jp/html/en.html

    ค่าใช้จ่าย

    • ค่าเรือสำหรับผู้ใหญ่ : 2,500 เยน
    • ค่าเรือสำหรับเด็ก : 1,250 เยน

    เว็บไซต์


    8. กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)

    กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่เงียบสงบในภูเขาของ 'จังหวัดยามากาตะ' แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่รอบเหมืองแร่เงินโนเบซาวะกินซังที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาใหม่ จนกลายมาเป็นเมืองออนเซ็นที่สวยงามที่สุดอีกเมืองหนึ่ง และมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น

    OttoPhoto / Shutterstock

    ส่วนสรรพคุณของออนเซ็นที่นี่ ว่ากันว่าสามารถรักษารอยแผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาดและแผลไฟไหม้ได้ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของโรคผิวหนังเรื้อรัง รวมถึงโรคเรื้อรังยอดฮิตของผู้หญิงด้วย

    การแช่ออนเซ็นไปพลาง ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แสนสงบไปพลางในวันอากาศหนาวๆเนี่ย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อใจไม่น้อยเลยล่ะ

    ข้อมูลเกี่ยวกับกินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Oishida (รถไฟชินคันเซ็นใช้เวลา 29 นาที ค่าโดยสาร 1,440 เยน / รถไฟธรรมดาใช้เวลา 51 นาที ค่าโดยสาร 680 เยน) จากนั้นนั่งรถบัสไปลงที่ออนเซ็น (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 720 เยน)

    ที่อยู่

    • Ginzan Onsen, Ginzanshinhata, Obanazawa, Yamagata 999-4333

    โทร

    • 0237-28-3933

    เวลาทำการ

    • หมู่บ้านออนเซ็นเปิดตลอดเวลา ส่วนเวลา check-in ของเรียวกัง ส่วนมากจะอยู่ที่ช่วง 14.00 - 19.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ออนเซ็นไม่มีค่าเข้าชม
    • ค่าที่พักเรียวกังอยู่ในช่วง 25,000 - 40,000 เยน

    เว็บไซต์


    9. ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)

    ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen) เป็นเขตน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ด้วยว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีส่วนประกอบของกำมะถัน เพราะต้นกำเนิดของออนเซ็นแห่งนี้ก็คือภูเขาไฟซาโอะนั่นเอง ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำพุร้อนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ในน้ำมีความเป็นกรดสูงมาก ว่ากันว่าออนเซ็นที่นี่สามารถรักษาอาการท้องผูกและโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้น้ำพุร้อนของที่นี่ยังดีต่อผิวพรรณอีกด้วย

    ที่มา : https://kiji.life

    และนี่ก็เป็นอีกฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย

    ที่มา : http://www.oomiyaryokan.jp/hotspring/
    ที่มา : http://www.oomiyaryokan.jp/hotspring/

    โรงแรมออนเซ็นที่เราอยากแนะนำมีชื่อว่า 'ซาโอะออนเซ็น โอมิยะเรียวกัง (Zao Onsen Omiya Ryokan)' เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวใน booking.com

    ข้อมูลเกี่ยวกับซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Zao Onsen (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 1,000 เยน) จากนั้นเดินประมาณ 8 นาที
    • นอกจากนี้ มีรถ shuttle bus ให้บริการฟรีด้วยเช่นกัน โปรดดูจากเว็บไซต์นี้ > http://www.oomiyaryokan.jp/en/#access

    ที่อยู่

    • Zao Onsen Omiya Ryokan, 46 Zaoonsen, Yamagata, 990-2301

    โทร

    • 023-694-2112

    เวลาทำการ

    • เช็กอินเข้าพักได้ในเวลา 14.00 - 19.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ค่าที่พักอยู่ในช่วง 20,000 เยนต่อห้อง พักได้สูงสุดประมาณ 4 คน (รวมอาหารเช้า-เย็นแล้ว)

    เว็บไซต์


    10. ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen)

    ที่มา : https://www.kingdom-of-winter-trip-tohoku.jp
    ที่มา : https://www.travel.co.jp
    ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

    ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน ความพิเศษของที่นี่คือคุณสามารถดื่มด่ำกับวิวชายหาดยามเย็นแสนสวยขณะแช่ออนเซ็นอย่างสบายใจ แถมยังได้การันตีจากการติด 1 ใน 100 อันดับจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย

    ข้อมูลเกี่ยวกับยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Yunohama Onsen แล้วลงที่ป้าย Kamo Suizokukan (ใช้เวลา 43 นาที ค่าโดยสาร 790 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที

    ที่อยู่

    • Yunohama Onsen, 14 Yunohama, Tsuruoka, Yamagata 997-1201

    โทร

    • 0235-75-2258

    เวลาทำการ

    • หมู่บ้านออนเซ็นเปิดตลอดเวลา ส่วนเวลาเช็กอินของเรียวกังส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 14.00 - 19.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ออนเซ็นไม่มีค่าเข้า
    • ค่าที่พักเรียวกังประมาณ 10,000 - 30,000 เยน

    เว็บไซต์


    11. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)

    เมื่อพูดถึงอวาเรียมแล้ว เราก็มักจะคิดถึงตู้ปลายักษ์ที่มีฉลามวาฬตัวโต แมวน้ำแสนน่ารัก หรือโลมาสุดแบ๊ว แต่รู้หรือเปล่าว่าสัตว์น้ำยอดนิยมประจำอควาเรียมแห่งนี้คือแมงกะพรุน!

    นอกจากได้รับการบันทึกว่าเป็นอควาเรียมที่มีการจัดแสดงแมงกะพรุนเยอะที่สุดในโลกแล้ว อควาเรียมแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากแมงกะพรุนขายด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นราเมนแมงกะพรุนเอย หรือแม้กระทั่งไอศกรีมแมงกะพรุนก็ล้วนน่าลิ้มลองไปหมด

    และถ้าพูดถึงความอลังการงานสร้างของการจัดแสดงแมงกะพรุนในอควาเรียมแห่งนี้ ขอบอกเลยว่ามันตระการตาเสียจนเหมือนกับเรากำลังล่องลอยอยู่ในโลกแห่งความฝันเชียวล่ะ

    ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Yunohama Onsen ลงที่ป้าย Kamo Suizokukan (ใช้เวลา 33 นาที ค่าโดยสาร 760 เยน)

    ที่อยู่

    • Kamo Aquarium, Okubo-657-1 Imaizumi, Tsuruoka, Yamagata 997-1206

    โทร

    • 0235-33-3036

    เวลาทำการ

    • เปิดให้บริการทุกวัน ในเวลา 9.00 - 17.00 น. (เปิดถึง 17.30 น. ในช่วงวันที่ 20 กรกฎาคม ถึง 20 สิงหาคม)

    ค่าเข้าชม

    • ผู้ใหญ่ 1,000 เยน
    • เด็ก 500 เยน
    • เด็กเล็ก เข้าชมฟรี

    เว็บไซต์


    12. พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Honma Museum of Art)

    ที่มา : https://yamagata-shonai.com

    พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Homma Museum of Art) สร้างขึ้นในปี 1947 ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะมากมาย เช่น กระเบื้องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา และภาพวาดอักษรที่เขียนด้วยพู่กัน

    ที่มา : https://yamagata-shonai.com

    นอกจากนี้ยังมีสวนญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในปี 1813 ด้วย เดิมทีสวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้นำตระกูลฮอนมะ และเขาคนนี้ก็เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งประจำละแวกซากาตะด้วย

    ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Honma Museum of Art)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Sakata ให้เดินไปยังพิพิธภัณฑ์โดยใช้เวลา 5 นาที

    ที่อยู่

    • Honma Museum of Art, 7-7 Onaricho, Sakata, Yamagata 998-0024

    โทร

    • 0234-24-4311

    เวลาทำการ

    • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 - 17.00 น. (เปิดถึง 16.30 น. ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม)
    • ช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ และช่วงวันที่ 22 ธันวาคม - 11 มกราคม พิพิธภัณฑ์จะปิดในวันอังคารและวันพุธ

    ค่าเข้าชม

    • เฉพาะพิพิธภัณฑ์ 1,000 เยน
    • รวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์และ Honma Residence 1,600 เยน

    เว็บไซต์


    13. บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence)

    บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence) เป็นอาคารเก่าแก่ในเมืองซากาตะที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งของชนชั้นซามูไรในอดีต

    บ้านหลังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1768 ด้วยจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองขุนนางของโชกุนในอดีต ในภายหลังอาคารแห่งนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับคนของตระกูลฮอนมะในปี 1813

    ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Sakata สามารถเดินไปยังบ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะได้ภายใน 15 นาที
    • หรือนั่งรถบัสจากสถานี JR Sakata ไปลงที่ป้าย Nibancho (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน)

    ที่อยู่

    • Honma Residence, 12-13 Nibancho, Sakata, Yamagata 998-0045

    โทร

    • 0234-22-3562

    เวลาทำการ

    • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.30 - 16.30 น. (เปิดถึง 16.00 น. ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม)
    • หยุดกลางเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคม

    ค่าเข้าชม

    • เฉพาะ Honma Residence 800 เยน
    • รวมค่าเข้า Honma Residence และพิพิธภัณฑ์ 1,600 เยน

    เว็บไซต


    14. โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses)

    ที่มา : https://www.japan-guide.com
    ที่มา : https://pbs.twimg.com

    โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses) เป็นโกดังเก็บข้าวสารที่มีอายุมากกว่า 123 ปี และสร้างโดยตระกูลซาไก ในอดีตนั้นการขนส่งข้าวไปยังสถานที่อื่นๆจะสะดวกมากหากใช้การคมนาคมทางน้ำ ซึ่งก็คือการขนส่งทางเรือสำเภานั่นเอง ข้าวจากโกดังซังเคียวแห่งนี้จะถูกส่งไปที่โอซาก้า

    นอกจากนี้ โกดังซังเคียวยังเป็นหนึ่งในฉากละครและภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องสงครามชีวิตโอชินอีกด้วย ส่วนข้างในโกดังจะมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงวิธีการเก็บเกี่ยวข้าวในอดีตให้เราได้ดูกัน นักท่องเที่ยวสายสารคดีหรือสายประวัติศาสตร์ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะ

    ข้อมูลเกี่ยวกับโกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Sakata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Sankyosokomae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน)

    ที่อยู่

    • Sankyo Warehouses, 1 Chome-1-8 Sankyomachi, Sakata, Yamagata 998-0838

    โทร

    • 0234-22-1223

    เวลาทำการ

    • พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 - 17.00 น. (เปิดถึง 16.30 น. ในช่วงธันวาคม)
      • ปิดวันที่ 29 ธันวาคมถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
    • โซนร้านค้า เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 - 18.00 น. (เปิดถึง 17.00 น. ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) (ส่วนร้านอาหาร เปิดเวลา 11.00 - 21.30 น.)
      • ปิดวันที่ 1 มกราคม

    ค่าเข้าชม

    • พิพิธภัณฑ์  300 เยน

    เว็บไซต์


    15. วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple)

    ที่มา : https://www.tsuruokakanko.com
     ที่มา : https://www.asahi-kankou.jp/
    ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com
    ที่มา : https://art20.photozou.jp

    วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple) เป็นวัดที่อยู่บนภูเขายูโดโนะ หนึ่งในสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ โดยสถานที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นประมาณต้นศตวรรษที่ 8

    ความพิเศษของวัดทั้งสองแห่งคือมีการจัดแสดงโซคุชินบุทสึ (Sokushinbutsu) หรือพระผู้เปลี่ยนร่างตนเองเป็นมัมมี่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

    มัมมี่เหล่านี้เป็นพระในลัทธิชูเก็นโด (Shugendo) ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติตนที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและลัทธิชินโต โดยมีพื้นฐานความศรัทธามาจากการเคารพบูชาภูเขา โดยองค์ประกอบที่สำคัญของลัทธิชูเก็นโดคือความอดทนของร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการทำมัมมี่ด้วยตนเองจึงเป็นรูปแบบของการอดทนขั้นสูงสุด ทั้งนี้มีพระที่สามารถฝึกปฏิบัติได้สำเร็จเพียง 16 รูปเท่านั้น

    ข้อมูลเกี่ยวกับชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji and Dainichibo)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานีรถไฟ JR Tsuruoka สามารถนั่งรถแท็กซี่ไปที่วัดได้ โดยค่าโดยสารจะอยู่ที่ 9,000 เยน (แนะนำว่าให้เช่ารถไปดีกว่า)

    ที่อยู่

    • Churenji : 997-0531 Yamagata, Tsuruoka, Oami, 92-1 Nakadai
      • โทร : 0235-54-6536
    • Dainichibo : Nyudo-11 Oami, Tsuruoka, Yamagata 997-0531
      • โทร : 0235-54-6301

    เวลาทำการ

    • Churenji : เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เปิดทุกวัน เวลา 9.00 - 17.00 น. / เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 16.00 น.
    • Dainichibo : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 - 17.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ค่าเข้าวัด 500 เยน

    เว็บไซต์


    16. ศาลเจ้าอุเอสึกิ (Uesugi Shrine)

    ศาลเจ้าอุเอสึกิ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะ อุเอสึกิ เคนชิน ไดเมียวที่โด่งดังที่สุดแห่งตระกูลอุเอสึกิ การดวลระหว่างเขากับไดเมียวแห่งยามานาชิในช่วงยุคเซ็นโกคุนั้นได้กลายเป็นตำนานการรบซามูไรที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนี้ศาลเจ้าอุเอสึกิยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมากอีกด้วย

    ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอุเอสึกิ (Uesugi Shrine)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Yonezawa นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Uesugi Jinja mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาที

    ที่อยู่

    • Uesugi Shrine, 1 Chome-4-13 Marunouchi, Yonezawa, Yamagata 992-0052

    โทร

    • 0238-22-3189

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน ตลอดเวลา

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    17. อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei)

    ที่มา : https://svcstrg2.navitime.jp

    อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei) เป็นคฤหาสน์เก่าของอุเอสึกิ โมชิโนริ (Uesugi Mochinori) ผู้ครองแคว้นรุ่นที่ 14 ของตระกูลอุเอสึกิ คฤหาสน์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1925 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น หากใครสนใจอยากจะไปเที่ยว สามารถไปชมวิวพร้อมกับลองแวะทานเนื้อโยเนซาวะได้นะ

    ข้อมูลเกี่ยวกับอุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Yonezawa นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Uesugi Jinja mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาที

    ที่อยู่

    • Uesugi Hakushakutei, 1 Chome-3-60 Marunouchi, Yonezawa, Yamagata 992-0052

    โทร

    • 0238-21-5121

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน ยกเว้นวันพุธ
    • เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 - 20.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    18. สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family)

    สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family) เป็นสถานที่สักการะบูชาผู้ครองแคว้นรุ่นก่อนๆของตระกูลอุเอสึกิ

    ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่จะมีการจัดเทศกาลโคมไฟหิมะอุเอสึกิ (Uesugi Snow Lantern Festival) ความสวยงามของเทศกาลนี้คือบรรยากาศของโคมเทียนที่สว่างไสวท่ามกลางหิมะนั่นเอง

    ข้อมูลเกี่ยวกับสุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Nishi Yonezawa ให้เดินไปยังสุสานโดยใช้เวลา 11 นาที

    ที่อยู่

    • The mausoleum of the Uesugi family, 1-5-30 Gobyo, Yonezawa-shi, Yamagata 992-0055

    โทร

    • 0238-23-3115

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน เวลา 9.00 - 17.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ผู้ใหญ่ : 400 เยน
    • นักศึกษาและนักเรียนชั้นมัธยมปลาย : 200 เยน
    • นักเรียนชั้นมัธยมต้นและประถม : 100 เยน

    เว็บไซต์


    19. บุนโชคัง (Bunshokan)

    บุนโชกัง (Bunshokan) เป็นอาคารอิฐที่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) อาคารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1916 แต่เดิมเคยเป็นศาลาว่าการจังหวัดและหอประชุมสภา ต่อมาในปี 1984 บุนโชกังก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น

    ที่มา : https://www.daco-thai.com

    และนี่ก็เป็นฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัยด้วย

    ข้อมูลเกี่ยวกับบุนโชกัง (Bunshokan)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR  Yamagata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Shiyakusho-mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที

    ที่อยู่

    • Yamagata Prefecture native district hall Bunshokan Folk Museum / Old prefecture government building, 3-4-51, Hatagomachi, Yamagata-shi, Yamagata Prefecture, 990-0047

    โทร

    • 023-635-5500

    แฟ็กซ์

    • 023-635-5501

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน เวลา 9.00 - 16.30 น.
    • หยุดทุกวันจันทร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    20. ตลาดซากาตะ (Sakata Seafood Market)

    ที่มา : https://sakatacity.com
    ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

    ตลาดซากาตะตั้งอยู่ติดกับท่าเรือซากาตะ (Sakata Harbor) เป็นตลาดที่จำหน่ายทั้งอาหารทะเลสดและอาหารแปรรูป ส่วนบริเวณชั้น 2 จะเป็นคาเฟ่และร้านอาหารทะเล เราจึงสามารถดื่มด่ำกับวิวทะเลสวยๆในระหว่างที่รับประทานอาหารทะเลสดใหม่ได้

    นอกจากนี้ ร้านอาหารทะเลที่ชั้น 2 ของตลาดซากาตะเองยังได้รับการแนะนำจาก Michelin Green Guide Japan อีกด้วย

    ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดซากาตะ (Sakata Seafood Market)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Sakata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Yamaginmae (ใช้เวลา 4 นาที ค่าโดยสาร 220 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที

    ที่อยู่

    • Sakatakaisen Market, 2 Chome-5-10 Funabacho, Sakata, Yamagata 998-0036

    โทร

    • 0234-23-5522

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน เวลา 7.00 - 19.00 น.

    ค่าเข้าชม

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์


    21. ถนนนาโนะคามาจิ (Nanokamachi Shopping Street)

    ที่มา : https://www.bindan.jp

    ถนนนาโนะคามาจิ เป็นถนนที่เลียบไปตามริมน้ำและอบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุค ภายในสถานที่แห่งนี้มีทั้งอาคารโบราณ ร้านอาหาร และร้านขายของชำตั้งเรียงรายอยู่

    จุดเด่นของถนนสายนี้คือทางระบายน้ำที่ทำจากหิน โดยชาวญี่ปุ่นเรียกสิ่งนี้ว่า โกเต็นเซกิ ซึ่งทางระบายน้ำนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะโดยเจ้าเมืองยามากาตะ มีจุดประสงค์เพื่อส่งน้ำไปยังปราสาท เพื่อการเกษตรกรรม รวมถึงเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในเมือง

    แม้ปัจจุบันนี้ชาวเมืองจะไม่ได้ใช้โกเต็นเซกิในการระบายน้ำแล้ว แต่ถนนนาโนะคามาจิก็ยังคงความสวยงามในอดีตนี้ไว้เพื่อให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้แวะเข้ามาชมกันเรื่อยๆ

    ข้อมูลเกี่ยวกับถนนนาโนะคามาจิ (Nanokamachi Shopping Street)

    วิธีเดินทาง

    • จากสถานี JR Yamagata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Honmachi (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที

    ที่อยู่

    • Nanokamachi Shopping Street, 4 Nanokamachi, Yamagata, 990-0042

    เวลาทำการ

    • เปิดทุกวัน (ร้านค้าส่วนมากเปิดเวลา 10.00 - 21.00 น.)

    ค่าเข้าช

    • ไม่มีค่าเข้าชม

    เว็บไซต์

     

    อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากาตะ

    หลังจากที่เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว ทุกคนคงหิวโซกันน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่า fromJapan จะลืมแนะนำเมนูอาหารน่าหม่ำประจำ 'จังหวัดยามากาตะ' ไปไม่ได้อย่างแน่นอน

    อย่างที่ทุกคนเห็น ยามากาตะนั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมาก การันตีได้จากภูเขาหลายๆแห่งที่ควรค่าแก่การลากสังขารขึ้นไปยังยอดเขาเหลือเกิน ว่าแต่ที่นี่จะมีอะไรให้เราไปลองลิ้มชิมรสกันบ้างนะ?

    ตามมาดูกันเลย!


    1. เนื้อโยเนซาวะและเนื้อยามากาตะ (Yonezawa Gyu and Yamagata Gyu)

    ที่มา : https://savorjapan.com

    หากคุณเป็นสายเนื้อ เราขอผายมือมาทาง 'จังหวัดยามากาตะ' ณ บัดนาว! เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของเนื้อวากิว 2 ชนิด แถมยังเป็นเนื้อเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย เนื้อโกเบน่ะเหรอ ชิดซ้ายไปเล้ย!!!

    เจ้าเนื้อคุณภาพดีที่ว่านี้ก็คือ เนื้อโยเนซาวะ โดยตั้งชื่อตามเมืองโยเนซาวะ จุดเด่นของเนื้อโยเนซาวะคือลายไขมันหินอ่อนที่มีเนื้อสัมผัสอันละเอียดนุ่ม หวานหอม ไม่มันเยิ้มเหมือนกับเนื้อวากิวแบบอื่น แถมยังให้รสชาติหวานมันกำลังดีและไม่เลี่ยนจนเกินไป

    ส่วนเนื้อเกรดรองลงมาจะเป็น เนื้อยามากาตะ ซึ่งมีความแตกต่างกับเนื้อโยเนซาวะคือมันจะลีนกว่า เป็นวากิวที่มีมันน้อยมาก น่าจะเหมาะกับสายกินคลีนหรือคนที่ไม่ชอบของเลี่ยน แต่จากที่เคยลองทานเนื้อโยเนซาวะมา เราว่ามันก็รสชาติกำลังดี ไม่มันไม่ลีนจนเกินไปนะ

    ว่าแต่จะกินที่ไหนดีล่ะ? เราขอแนะนำให้ไปลองที่ Uesugi Hakushakutei ส่วนเมนูก็จัดสุกี้ยากี้แบบจุกๆไปเลย!


    2. อิโมนิ (Imoni)

    อิโมนิ (Imoni) คือซุปเผือกต้มทรงเครื่อง เป็นเมนูที่คิดค้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 อีกทั้งยังเป็นอาหารดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งยามากาตะ

    ส่วนประกอบของอาหารจานนี้มีต้มเผือก บุก ต้นหอมญี่ปุ่น และเนื้อวัว จากนั้นก็ปรุงรสด้วยโชยุ สาเกญี่ปุ่น และน้ำตาล เมื่อเผือกนิ่มลงจากการต้มในซุปดาชิแล้ว มันก็จะมีรสหวานละมุนมาก

    ส่วนร้านที่ควรค่าแก่การไปโดน เราขอเสนอร้าน Yonezawagyu Oki Gyu-nabe Oki


    3. ฮิยาชิราเมน (Hiyashi Ramen)

    ที่มา : https://japan-web-magazine.com

    นี่ไม่ใช่บะหมี่เย็นอย่างที่เราคุ้นเคยกันนะ แต่เป็นราเมนใส่น้ำแข็งต่างหาก!

    ต้นกำเนิดของ 'ฮิยาชิราเมน' นั้นมาจากร้านซากาเอยะ ฮนเต็น (Sakaeya Honten) หลังจากที่มีลูกค้าพูดเปรยขึ้นมาว่า "หน้าร้อนอย่างนี้ อยากลองกินราเมนเย็นๆดูบ้าง" ทางร้านจึงคิดเมนูนี้ขึ้นมา และแน่นอนที่สุดว่าเมนูก็ได้รับความรักจากคุณลูกค้ามาตั้งแต่ปี 1952 มาจนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว

    ถ้าใครมายามากาตะก็อย่าลืมแวะไปกินกันนะ


    4. ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ (Tama Konnyaku)

    ที่มา : https://i.pinimg.com

    ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ เป็นหนึ่งในของอร่อยขึ้นชื่อประจำ 'จังหวัดยามากาตะ' ลูกชิ้นชนิดนี้ทำจากบุกขนาดพอดีคำ ต้มรวมกับปลาหมึกแห้งและซอสถั่วเหลือง จุดเด่นคือรสชาติของซอสถั่วเหลืองและเนื้อบุกที่นุ่มหยุ่น

    ไอเดียในการทำทามะ คอนยักกุนั้นมาจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายบุก โดยบริษัทยามะคอน โชคุฮิง (Yamakon Shokuhin)


    5. เชอร์รี (Cherry)

    DPeterson / Shutterstock

    'จังหวัดยามากาตะ' มีผลไม้ดังมากมายหลายอย่าง แต่ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเชอร์รีนี่ล่ะ แถมยังมีการเคลมด้วยนะว่าเชอร์รีของยามากาตะนั้นดีที่สุดในญี่ปุ่น!

    เราอยากแนะนำให้เพิ่มความสนุกในการทาน ด้วยการลองไปเก็บผลเชอร์รีสดตามสวนผลไม้ดู เช่นสวน Yamagata Cherry Land & Kaminoyama Tourism Fruit Garden

    เรารับรองเลยว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการทานผลไม้ชนิดนี้อย่างแน่นอน

    ที่มา: รวมสถานที่ที่ต้องไปโดนสักครั้งใน 'จังหวัดยามากาตะ'

    ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่: fromJapan.info



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in