จังหวัดยามากาตะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ด้วยธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์ จังหวัดนี้จึงมีของกินแสนอร่อยมากมาย โดยเฉพาะเนื้อวากิวของยามากาตะที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งตลอดกาลของญี่ปุ่น
แต่แค่นี้อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการโน้มน้าวใจเราให้ไปเที่ยวที่นี่ใช่ไหม?
เราจึงอยากมาบอกต่อว่า 'จังหวัดยามากาตะ' นี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมยังมีเมืองเก่าที่สวยคลาสสิกเสียจนได้กลายไปเป็นฉากหนึ่งในละคร รวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่อง เท่านี้ก็คงทำให้เรานึกอยากไปตามรอยละครดังขึ้นมาทันทีใช่ไหมล่ะ
แต่นอกจากนี้ 'จังหวัดยามากาตะ' ก็ยังมีเทศกาลและงานประเพณีเก่าแก่ตลอดปี ไหนจะศาสนสถานยอดนิยมของเหล่ายามาบูชิ (นักพรตภูเขา)
ยิ่งถ้าใครเป็นสายออนเซ็น หรือนึกอยากจะซื้อบรรยากาศผ่อนคลายให้กับร่างกายที่แสนทรุดโทรมนี้ ยามากาตะก็เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยล่ะ เพราะออนเซ็นของจังหวัดนี้ติด 1 ใน 10 ออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เป็นออนเซ็นระดับท็อปคลาสอย่างแน่นอน!
ถ้าใครมีแผนจะไปญี่ปุ่น แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปจังหวัดไหนหรือภูมิภาคไหนดีล่ะก็ เราขอแนะนำว่าให้เก็บจังหวัดยามากาตะไว้ในอ้อมใจด้วยนะ
แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อความหลัก เราขออนุญาตให้เครดิตกับทีมงานคุณภาพ fromJapan ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้มาโดยตลอด และถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านบทความที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและความรู้แบบนี้ ก็สามารถไปตำกันได้ที่ Official Website: fromJapan.info กันได้เลย~!
จังหวัดยามากาตะ เป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้
ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในยามากาตะ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจังหวัดนี้มีอะไรบ้าง
วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) เป็นวัดของนิกายเทนไดที่สร้างขึ้นในปี 860 มีชื่อทางการว่า โฮจุซัง ริชชาคุจิ แต่ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกว่า 'ยามาเดระ' นั้นเป็นเพราะว่าชื่อนี้มีความหมายตรงตัวกับที่ตั้งของสถานที่ ซึ่งก็คือ 'วัดบนภูเขา' นั่นเอง
ส่วนประวัติการก่อตั้งของวัดนี้เริ่มมาจากช่วงตอนต้นของยุคเฮอัน หรือช่วงปี 794 - 1185 ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่จักรพรรดิเซวะส่งพระสงฆ์รูปหนึ่งไปยังภูมิภาคโทโฮคุ นั่นก็คือหลวงพ่อจิกากุ ไดอิจิ ต่อมาท่านจึงก่อตั้งวัดยามาเดระขึ้นภายใต้เขตการปกครองจังหวัดยามากาตะในปัจจุบัน
และครั้งหนึ่งได้มีนักกวีที่มีชื่อเสียงในอดีตนามว่า บาโช (Basho) ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เขาได้แต่งกลอนไฮกุอันแสนไพเราะ ว่าด้วยการพรรณนาถึงความเรียบง่ายและความสงบของวัดยามาเดระ จนทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะว่าเป็นวัดบนภูเขา เราเลยต้องเดินกันเยอะหน่อยนะ!
ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เรียกว่า ไคซังโด หรืออาคารที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วิญญาณของหลวงพ่อจิกากุ ไออิชิ
และตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดที่ใครหลายคนเคยเห็นตามโปสเตอร์การท่องเที่ยว ของจริงก็สวยงามตามท้องเรื่อง ขอยกกล้องขึ้นมาถ่ายสักแชะสองแชะแล้วกันเนอะ ^^
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao) เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวตัดผ่านระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ นอกจากจะมีความสูงถึง 1,841 เมตรแล้ว ภูเขาซาโอะยังเป็นหนึ่งในภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุอีกด้วย
แน่นอนว่าภูเขาลูกใหญ่ก็ย่อมให้ทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นธรรมดา โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะเห็นภูเขาซาโอะถูกย้อมเป็นสีแดงส้มสลับเหลืองอย่างงามตาเลยล่ะ ช่างเป็นงานศิลป์ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติโดยแท้
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของภูเขาซาโอะก็คือ ปากปล่องโอกามะ บริเวณนี้เป็นวิวที่สวยงามมาก เราอยากให้ทุกคนได้เห็นกันจริงๆ ถ้าใครอยากลองไปดูด้วยตาตัวเองล่ะก็ ต้องออกแรงเดินไปหน่อยนะ ใช้เวลาแค่ 45 นาทีเท่านั้นเอ๊ง~
ในช่วงหน้าหนาว ที่นี่จะกลายเป็นลานสกี นอกจากนี้เรายังสามารถนั่งกระเช้าชมปิศาจหิมะได้ หากใครสงสัยว่าปีศาจหิมะคืออะไร เราจะอธิบายสั้นๆว่ามันก็คือต้นไม้ที่ถูกหิมะเกาะจนมีรูปร่างเหมือนกับปีศาจนั่นเอง ขอบอกก่อนว่ามันไม่ได้น่ากลัวเลยนะ แต่น่าตื่นตาตื่นใจดีต่างหาก
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
แผนที่
เวลาทำการ
ค่ากระเช้า
เว็บไซต์
ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro) ตั้งอยู่ในเมืองสึรุโอกะ (Tsuruoka) จังหวัดยามากาตะ ภูเขาแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ (Dewasanzan) ที่ประกอบด้วย
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น การปีนเขาทั้งสามลูกจะต้องเริ่มจากภูเขาฮากุโระก่อนเสมอ และเนื่องจากภูเขาแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บนเขาจึงมีศาลเจ้าด้วย แน่นอนว่าจุด power spot ของทั้งสามที่ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน หากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ เราขอแนะนำว่าให้มาช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน หากมาช่วงหน้าหนาวก็จะมีเพียงศาลเจ้าฮากุโระแห่งนี้ที่เปิด
เจดีย์ห้าชั้นที่เห็นในรูปก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 937 เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่และทรงคุณค่าอีกหนึ่งแห่งที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ บนยอดเขามีอาคารที่ใช้สักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า ซังจินโกะ ไซเด็ง ซึ่งมีความสวยงามและเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะได้รับการประดิษฐานไว้ในอาคารแห่งนี้เพื่อให้เป็นที่เคารพบูชา
บันไดหินที่มีต้นสนซีดาร์เรียงรายตามสองข้างทางนี้ก็สวยงามเสียจนมิชลินกรีนไกด์ถึงกับให้คะแนน 3 ดาวเชียวนะ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากใครสามารถมองหารอยสลักบนบันไดหินได้ครบ 33 รอย คนคนนั้นจะได้รับความโชคดีจากเทพเจ้า
และที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้ก็คือ ซันจิงโกะ ไซเด็ง (Sanjinko Saiden) หรืออาคารที่ใช้สำหรับพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแห่งสามเขานั่นเอง ทั้งนี้หลังคาของอาคารจะมุงด้วยใบจากที่สูงและหนาที่สุดในบรรดาเดวะ แล้วถ้ามองไปยังด้านหน้าของตัวอาคาร เราก็จะเห็นสระน้ำลี้ลับอันเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าผู้คนที่เลื่อมใสมาแต่โบราณกาล
วิธีเดินทาง
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Mt.Haguro (เจดีย์5ชั้น)
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Dewasanzan Shrine (อาคารหลัก)
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ไปภูเขาแห่งการเกิดอย่างภูเขาฮากุโระกันมาแล้ว มาถึงคราวของภูเขากัสซัง (Mt.Gassan) หรือภูเขาแห่งความตายกันบ้าง โดยภูเขาลูกนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,984 เมตรกันเลยทีเดียว ศาลเจ้าที่สร้างอยู่บนเขาลูกนี้ก็เลยตั้งอยู่บนที่สูงที่สุดในบรรดา 3 เขา
นอกจากนี้ภูเขากัสซังยังเป็นภูเขาที่สวยงามมากในทุกๆฤดูกาล ส่วนความขลังนั้นไม่ขอพูดเยอะ เพราะเป็นถึง 1 ใน 3 แห่งเดวะ จะไม่ศักดิ์สิทธิ์สุดๆได้อย่างไร!
หากมีเป้าหมายที่ยอดเขากัสซัง ขอบอกไว้ก่อนว่าต้องไปช่วงหน้าร้อน โดยเริ่มเดินทางจากสถานีที่ 8 จากนั้นก็เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร! ดูเผินๆอาจเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่ถ้าได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่แสนสวยงามระหว่างทางก็เป็นเรื่องที่ดีงามต่อใจไม่ใช่น้อยเลย
แต่สำหรับนักปีนเขามือใหม่ควรระมัดระวังหลายสิ่งต่อไปนี้ คือ
นอกจากนี้เราต้องเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางขึ้นเขาประมาณ 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เราสามารถพักเหนื่อยกันได้ที่บ้านพักบุชโชอิเกโกยะ (Busshoike Goya Lodge) ได้นะ และสำหรับคนที่แพลนจะไปภูเขายูโดโนะต่อก็สามารถค้างคืนที่นี่ได้เช่นกัน
ศาลเจ้าที่ยอดเขากัสซังจะปิดไม่ให้เข้าชมเกือบตลอดเวลา ยกเว้นช่วงฤดูร้อน เนื่องจากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจะกลายเป็นอุปสรรคในการเดินทางไปศาลเจ้า
แม้ภูเขากัสซังจะเป็นภูเขาแห่งความตาย แต่ความตายในที่นี้หมายถึงการตายแล้วเกิดใหม่ของจิตวิญญาณ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือการรีเฟรชจิตวิญญาณนั่นเอง ทั้งนี้ฉายาภูเขาแห่งความตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับหรือเรื่องน่าขนลุกแต่อย่างใด
และสถานที่เล่นสกีหน้าร้อนแห่งเดียวของญี่ปุ่นก็คือภูเขากัสซังนั่นเอง โดยทุกคนสามารถไปสนุกกันได้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงกรกฎาคมของทุกปี
วิธีเดินทาง
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono) เป็นภูเขาลำดับสุดท้ายที่เราจะกล่าวถึงใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ ภูเขาแห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,504 เมตร แถมยังมีศาลเจ้าสุดลึกลับอยู่ด้วย! โดยความลึกลับที่ว่านี้ก็ได้มาจากความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เพราะทุกครั้งที่มีคนเข้าไปข้างในศาลเจ้า คนข้างนอกจะไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าในขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายในศาลเจ้า แม้แต่เสียงคนคุยก็ไม่ได้ยินด้วยนะ และนี่ก็อาจจะเป็นความพิเศษที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวก็เป็นได้
สำหรับเส้นทางในการเดินเขานั้นถือว่ามีความสะดวกสบาย เพราะเราสามารถนั่งรถขึ้นมาได้อยู่ แต่สำหรับคนที่อยากปีนมาจากภูเขากัสซังก็ย่อมทำได้เช่นกัน เพียงแต่เส้นทางนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับนักปีนเขา และถ้าคุณยังเป็นมือใหม่หัดปีนอยู่ เราขอแนะนำว่าเรื่องปีนเขาไปเองนี่อย่าหาทำเชียวนะ นั่งรถไปเถอะ
พอไปถึงศาลเจ้าแล้วก็อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าศาลล่ะ เพราะนี่ถือเป็นการซึมซับพลังแห่งธรรมชาติจากเท้าอันเปลือยเปล่าที่จะกระจายไปทั่วร่าง และในท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเราก็จะได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ ภูเขาโยโดโนะก็เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของเหล่านักบวช(ยามาบูชิ)อีกด้วย เพราะนอกจากจะปลีกวิเวกในป่าลึกกลางเขาได้อย่างสบายใจแล้ว นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนตนในโหมดเข้มข้นได้อีกด้วย
ทั้งนี้ยังมีความเชื่อของชาวญี่ปุ่นด้วยว่า ใครก็ตามที่สามารถปีนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะได้ครบหมดทั้ง 3 เขาคือภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะ วิญญาณของคนผู้นั้นจะเกิดใหม่ภายในกายเดิม ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาเสมอ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ภูเขาโชไค (Mt.Chokai) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,236 เมตร เป็นภูเขาชื่อดังที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่น ด้วยความที่หิมะตรงปลายยอดทำให้ดูคล้ายกับภูเขาฟูจิ ภูเขาลูกนี้จึงได้รับฉายาว่า ฟูจิแห่งเดวะ (Dewasanzan of Fuji)
เนื่องจากภูเขาโชไคแห่งนี้เป็นภูเขาเดี่ยว จึงทำให้ทัศนวิสัยเปิดโล่งและเห็นวิวได้แบบรอบทิศ นอกจากนี้แล้ว พื้นที่ทั่วทั้งภูเขาเองก็ได้รับเลือกให้เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นด้วย
และจุดที่สวยที่สุดที่เราอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นกับตาก็คือ ทะเลสาบกลางภูเขา
พออ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคนสงสัยว่าภูเขาโชไคมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ เราก็ขอตอบตรงนี้เลยละกันว่า อันที่จริงแล้วภูเขาแห่งนี้เคยเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ และแน่นอนที่สุดว่าบนยอดเขาก็มีศาลเจ้าด้วยเช่นกัน
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แม่น้ำโมกามิ (Mogami River) มีความยาว 224 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่สำคัญของ 'จังหวัดยามากาตะ' โดยชาวเมืองที่นี่จะใช้แม่น้ำแห่งนี้ในการคมนาคมและการขนส่งสินค้า
นอกจากนี้แม่น้ำโมกามิยังเป็นฉากหนึ่งในซีรีส์และภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน (Oshin) ด้วยนะ
แต่เราคงไม่ต้องไปลำบากลำบนพายเรือเองเหมือนโอชินกันแล้ว เพราะถัดมาในยุคของเรามีเรือเครื่องที่แสนสะดวกสบายอยู่ ซึ่งก็จะมีที่นั่งตามที่เห็นในรูปข้างบนนี้ และเราสามารถสั่งซื้ออาหารมานั่งกินระหว่างชมวิวได้ด้วยนะ โดยความสุนทรีย์อีกอย่างหนึ่งก็คือบางครั้งคนขับเรือก็ร้องเพลงคลอเป็นพักๆไป นอกจากนี้ เรือชมวิวของที่นี่ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการจัดอันดับเรือชมวิวของญี่ปุ่นด้วยนะ
แม้สถานที่แห่งนี้จะสวยงามทุกฤดูกาล แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่แหละ
ส่วนใครที่มาตามรอยละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย ตรงนี้ก็เป็นฉากหนึ่งในละครด้วยนะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าใช้จ่าย
เว็บไซต์
กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่เงียบสงบในภูเขาของ 'จังหวัดยามากาตะ' แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่รอบเหมืองแร่เงินโนเบซาวะกินซังที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาใหม่ จนกลายมาเป็นเมืองออนเซ็นที่สวยงามที่สุดอีกเมืองหนึ่ง และมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น
ส่วนสรรพคุณของออนเซ็นที่นี่ ว่ากันว่าสามารถรักษารอยแผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาดและแผลไฟไหม้ได้ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของโรคผิวหนังเรื้อรัง รวมถึงโรคเรื้อรังยอดฮิตของผู้หญิงด้วย
การแช่ออนเซ็นไปพลาง ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แสนสงบไปพลางในวันอากาศหนาวๆเนี่ย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อใจไม่น้อยเลยล่ะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen) เป็นเขตน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ด้วยว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีส่วนประกอบของกำมะถัน เพราะต้นกำเนิดของออนเซ็นแห่งนี้ก็คือภูเขาไฟซาโอะนั่นเอง ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำพุร้อนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ในน้ำมีความเป็นกรดสูงมาก ว่ากันว่าออนเซ็นที่นี่สามารถรักษาอาการท้องผูกและโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้น้ำพุร้อนของที่นี่ยังดีต่อผิวพรรณอีกด้วย
และนี่ก็เป็นอีกฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย
โรงแรมออนเซ็นที่เราอยากแนะนำมีชื่อว่า 'ซาโอะออนเซ็น โอมิยะเรียวกัง (Zao Onsen Omiya Ryokan)' เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวใน booking.com
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน ความพิเศษของที่นี่คือคุณสามารถดื่มด่ำกับวิวชายหาดยามเย็นแสนสวยขณะแช่ออนเซ็นอย่างสบายใจ แถมยังได้การันตีจากการติด 1 ใน 100 อันดับจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
เมื่อพูดถึงอวาเรียมแล้ว เราก็มักจะคิดถึงตู้ปลายักษ์ที่มีฉลามวาฬตัวโต แมวน้ำแสนน่ารัก หรือโลมาสุดแบ๊ว แต่รู้หรือเปล่าว่าสัตว์น้ำยอดนิยมประจำอควาเรียมแห่งนี้คือแมงกะพรุน!
นอกจากได้รับการบันทึกว่าเป็นอควาเรียมที่มีการจัดแสดงแมงกะพรุนเยอะที่สุดในโลกแล้ว อควาเรียมแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากแมงกะพรุนขายด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นราเมนแมงกะพรุนเอย หรือแม้กระทั่งไอศกรีมแมงกะพรุนก็ล้วนน่าลิ้มลองไปหมด
และถ้าพูดถึงความอลังการงานสร้างของการจัดแสดงแมงกะพรุนในอควาเรียมแห่งนี้ ขอบอกเลยว่ามันตระการตาเสียจนเหมือนกับเรากำลังล่องลอยอยู่ในโลกแห่งความฝันเชียวล่ะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Homma Museum of Art) สร้างขึ้นในปี 1947 ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะมากมาย เช่น กระเบื้องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา และภาพวาดอักษรที่เขียนด้วยพู่กัน
นอกจากนี้ยังมีสวนญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในปี 1813 ด้วย เดิมทีสวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้นำตระกูลฮอนมะ และเขาคนนี้ก็เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งประจำละแวกซากาตะด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence) เป็นอาคารเก่าแก่ในเมืองซากาตะที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งของชนชั้นซามูไรในอดีต
บ้านหลังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1768 ด้วยจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองขุนนางของโชกุนในอดีต ในภายหลังอาคารแห่งนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับคนของตระกูลฮอนมะในปี 1813
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต
โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses) เป็นโกดังเก็บข้าวสารที่มีอายุมากกว่า 123 ปี และสร้างโดยตระกูลซาไก ในอดีตนั้นการขนส่งข้าวไปยังสถานที่อื่นๆจะสะดวกมากหากใช้การคมนาคมทางน้ำ ซึ่งก็คือการขนส่งทางเรือสำเภานั่นเอง ข้าวจากโกดังซังเคียวแห่งนี้จะถูกส่งไปที่โอซาก้า
นอกจากนี้ โกดังซังเคียวยังเป็นหนึ่งในฉากละครและภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องสงครามชีวิตโอชินอีกด้วย ส่วนข้างในโกดังจะมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงวิธีการเก็บเกี่ยวข้าวในอดีตให้เราได้ดูกัน นักท่องเที่ยวสายสารคดีหรือสายประวัติศาสตร์ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple) เป็นวัดที่อยู่บนภูเขายูโดโนะ หนึ่งในสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ โดยสถานที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นประมาณต้นศตวรรษที่ 8
ความพิเศษของวัดทั้งสองแห่งคือมีการจัดแสดงโซคุชินบุทสึ (Sokushinbutsu) หรือพระผู้เปลี่ยนร่างตนเองเป็นมัมมี่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
มัมมี่เหล่านี้เป็นพระในลัทธิชูเก็นโด (Shugendo) ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติตนที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและลัทธิชินโต โดยมีพื้นฐานความศรัทธามาจากการเคารพบูชาภูเขา โดยองค์ประกอบที่สำคัญของลัทธิชูเก็นโดคือความอดทนของร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการทำมัมมี่ด้วยตนเองจึงเป็นรูปแบบของการอดทนขั้นสูงสุด ทั้งนี้มีพระที่สามารถฝึกปฏิบัติได้สำเร็จเพียง 16 รูปเท่านั้น
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ศาลเจ้าอุเอสึกิ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะ อุเอสึกิ เคนชิน ไดเมียวที่โด่งดังที่สุดแห่งตระกูลอุเอสึกิ การดวลระหว่างเขากับไดเมียวแห่งยามานาชิในช่วงยุคเซ็นโกคุนั้นได้กลายเป็นตำนานการรบซามูไรที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ศาลเจ้าอุเอสึกิยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมากอีกด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei) เป็นคฤหาสน์เก่าของอุเอสึกิ โมชิโนริ (Uesugi Mochinori) ผู้ครองแคว้นรุ่นที่ 14 ของตระกูลอุเอสึกิ คฤหาสน์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1925 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น หากใครสนใจอยากจะไปเที่ยว สามารถไปชมวิวพร้อมกับลองแวะทานเนื้อโยเนซาวะได้นะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family) เป็นสถานที่สักการะบูชาผู้ครองแคว้นรุ่นก่อนๆของตระกูลอุเอสึกิ
ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่จะมีการจัดเทศกาลโคมไฟหิมะอุเอสึกิ (Uesugi Snow Lantern Festival) ความสวยงามของเทศกาลนี้คือบรรยากาศของโคมเทียนที่สว่างไสวท่ามกลางหิมะนั่นเอง
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
บุนโชกัง (Bunshokan) เป็นอาคารอิฐที่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) อาคารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1916 แต่เดิมเคยเป็นศาลาว่าการจังหวัดและหอประชุมสภา ต่อมาในปี 1984 บุนโชกังก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น
และนี่ก็เป็นฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัยด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
แฟ็กซ์
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ตลาดซากาตะตั้งอยู่ติดกับท่าเรือซากาตะ (Sakata Harbor) เป็นตลาดที่จำหน่ายทั้งอาหารทะเลสดและอาหารแปรรูป ส่วนบริเวณชั้น 2 จะเป็นคาเฟ่และร้านอาหารทะเล เราจึงสามารถดื่มด่ำกับวิวทะเลสวยๆในระหว่างที่รับประทานอาหารทะเลสดใหม่ได้
นอกจากนี้ ร้านอาหารทะเลที่ชั้น 2 ของตลาดซากาตะเองยังได้รับการแนะนำจาก Michelin Green Guide Japan อีกด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
โทร
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ถนนนาโนะคามาจิ เป็นถนนที่เลียบไปตามริมน้ำและอบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุค ภายในสถานที่แห่งนี้มีทั้งอาคารโบราณ ร้านอาหาร และร้านขายของชำตั้งเรียงรายอยู่
จุดเด่นของถนนสายนี้คือทางระบายน้ำที่ทำจากหิน โดยชาวญี่ปุ่นเรียกสิ่งนี้ว่า โกเต็นเซกิ ซึ่งทางระบายน้ำนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะโดยเจ้าเมืองยามากาตะ มีจุดประสงค์เพื่อส่งน้ำไปยังปราสาท เพื่อการเกษตรกรรม รวมถึงเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในเมือง
แม้ปัจจุบันนี้ชาวเมืองจะไม่ได้ใช้โกเต็นเซกิในการระบายน้ำแล้ว แต่ถนนนาโนะคามาจิก็ยังคงความสวยงามในอดีตนี้ไว้เพื่อให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้แวะเข้ามาชมกันเรื่อยๆ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าช
เว็บไซต์
หลังจากที่เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว ทุกคนคงหิวโซกันน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่า fromJapan จะลืมแนะนำเมนูอาหารน่าหม่ำประจำ 'จังหวัดยามากาตะ' ไปไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างที่ทุกคนเห็น ยามากาตะนั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมาก การันตีได้จากภูเขาหลายๆแห่งที่ควรค่าแก่การลากสังขารขึ้นไปยังยอดเขาเหลือเกิน ว่าแต่ที่นี่จะมีอะไรให้เราไปลองลิ้มชิมรสกันบ้างนะ?
ตามมาดูกันเลย!
หากคุณเป็นสายเนื้อ เราขอผายมือมาทาง 'จังหวัดยามากาตะ' ณ บัดนาว! เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของเนื้อวากิว 2 ชนิด แถมยังเป็นเนื้อเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย เนื้อโกเบน่ะเหรอ ชิดซ้ายไปเล้ย!!!
เจ้าเนื้อคุณภาพดีที่ว่านี้ก็คือ เนื้อโยเนซาวะ โดยตั้งชื่อตามเมืองโยเนซาวะ จุดเด่นของเนื้อโยเนซาวะคือลายไขมันหินอ่อนที่มีเนื้อสัมผัสอันละเอียดนุ่ม หวานหอม ไม่มันเยิ้มเหมือนกับเนื้อวากิวแบบอื่น แถมยังให้รสชาติหวานมันกำลังดีและไม่เลี่ยนจนเกินไป
ส่วนเนื้อเกรดรองลงมาจะเป็น เนื้อยามากาตะ ซึ่งมีความแตกต่างกับเนื้อโยเนซาวะคือมันจะลีนกว่า เป็นวากิวที่มีมันน้อยมาก น่าจะเหมาะกับสายกินคลีนหรือคนที่ไม่ชอบของเลี่ยน แต่จากที่เคยลองทานเนื้อโยเนซาวะมา เราว่ามันก็รสชาติกำลังดี ไม่มันไม่ลีนจนเกินไปนะ
ว่าแต่จะกินที่ไหนดีล่ะ? เราขอแนะนำให้ไปลองที่ Uesugi Hakushakutei ส่วนเมนูก็จัดสุกี้ยากี้แบบจุกๆไปเลย!
อิโมนิ (Imoni) คือซุปเผือกต้มทรงเครื่อง เป็นเมนูที่คิดค้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 อีกทั้งยังเป็นอาหารดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งยามากาตะ
ส่วนประกอบของอาหารจานนี้มีต้มเผือก บุก ต้นหอมญี่ปุ่น และเนื้อวัว จากนั้นก็ปรุงรสด้วยโชยุ สาเกญี่ปุ่น และน้ำตาล เมื่อเผือกนิ่มลงจากการต้มในซุปดาชิแล้ว มันก็จะมีรสหวานละมุนมาก
ส่วนร้านที่ควรค่าแก่การไปโดน เราขอเสนอร้าน Yonezawagyu Oki Gyu-nabe Oki
นี่ไม่ใช่บะหมี่เย็นอย่างที่เราคุ้นเคยกันนะ แต่เป็นราเมนใส่น้ำแข็งต่างหาก!
ต้นกำเนิดของ 'ฮิยาชิราเมน' นั้นมาจากร้านซากาเอยะ ฮนเต็น (Sakaeya Honten) หลังจากที่มีลูกค้าพูดเปรยขึ้นมาว่า "หน้าร้อนอย่างนี้ อยากลองกินราเมนเย็นๆดูบ้าง" ทางร้านจึงคิดเมนูนี้ขึ้นมา และแน่นอนที่สุดว่าเมนูก็ได้รับความรักจากคุณลูกค้ามาตั้งแต่ปี 1952 มาจนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว
ถ้าใครมายามากาตะก็อย่าลืมแวะไปกินกันนะ
ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ เป็นหนึ่งในของอร่อยขึ้นชื่อประจำ 'จังหวัดยามากาตะ' ลูกชิ้นชนิดนี้ทำจากบุกขนาดพอดีคำ ต้มรวมกับปลาหมึกแห้งและซอสถั่วเหลือง จุดเด่นคือรสชาติของซอสถั่วเหลืองและเนื้อบุกที่นุ่มหยุ่น
ไอเดียในการทำทามะ คอนยักกุนั้นมาจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายบุก โดยบริษัทยามะคอน โชคุฮิง (Yamakon Shokuhin)
'จังหวัดยามากาตะ' มีผลไม้ดังมากมายหลายอย่าง แต่ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเชอร์รีนี่ล่ะ แถมยังมีการเคลมด้วยนะว่าเชอร์รีของยามากาตะนั้นดีที่สุดในญี่ปุ่น!
เราอยากแนะนำให้เพิ่มความสนุกในการทาน ด้วยการลองไปเก็บผลเชอร์รีสดตามสวนผลไม้ดู เช่นสวน Yamagata Cherry Land & Kaminoyama Tourism Fruit Garden
เรารับรองเลยว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการทานผลไม้ชนิดนี้อย่างแน่นอน
ที่มา: รวมสถานที่ที่ต้องไปโดนสักครั้งใน 'จังหวัดยามากาตะ'
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่: fromJapan.info
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in