เช้าวันนี้เราจะลา Kagoshima และเดินทางขึ้นเหนือไปยัง Kumamoto
แต่ก่อนจะไปจากที่นี่ เรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ นั่นก็คือการส่งโปสการ์ด
เมื่อวานเราได้โปสการ์ดมา 2 ชุด(?) จากบนรถไฟ Ibutama กับ สถานี Ibusuki
ก่อนนอนเราใช้เวลาเขียนไปได้ 4 ใบ คิดว่าอย่างน้อย 4 ใบนี้จะต้องประทับตราเมือง Kagoshima เดินทางกลับประเทศไทย
จากทริปก่อน ๆ ที่เราเคยเที่ยวและส่งโปสการ์ด เรามักจะซื้อโปสการ์ดจากร้านขายของที่ระลึกตามจุดท่องเที่ยว ซึ่งก็จะมีบริการขายแสตมป์อยู่ในร้านเดียวกัน เพียงแค่บอกว่าเราต้องการจะส่งไปที่ไหน พนักงานก็จะเลือกแสตมป์ให้เราแล้วจัดการแปะให้ตรงนั้นเลย เขียนเสร็จก็หย่อนตู้ใกล้ ๆ กัน ไม่ก็ฝากร้านส่ง (เช่น ที่ปูซาน)
เราพลิกดูโปสการ์ดที่ซื้อจากรถไฟ Ibutama เป็นโปสการ์ดธรรมดา ต้องไปหาแสตมป์มาแปะเอาเอง ส่วนโปสการ์ดที่ซื้อจากสถานี Ibusuki นั้นมีตัวเลขที่ดูเหมือนจะเป็นแสตมป์ในตัว แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก
เช้าวันที่ 2 เมษายน 2562 ก่อนจะเดินทางไป Kumamoto เราเลยตั้งใจว่าจะแวะซื้อแสตมป์ที่ไปรษณีย์ โชคดีว่าไปรษณีย์ Kagoshima อยู่ใกล้กับสถานี Kagoshima Chuo มาก ๆ เรียกได้ว่าแทบจะติดกับสถานี พี่สาวเราช่วยเช็คเวลาเปิดทำการของไปรษณีย์ ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตบอกว่า เปิด 9 โมง เช้าวันนั้นเราเลยให้แม่ พี่สาว น้องสาว ไปนั่งรอเราที่สตาร์บัคตรงสถานี Kagoshima Chuo แล้วเราก็เดินมารอไปรษณีย์เปิด ตัวเลขบนกระจกบอกเวลาเปิด 9 โมงเช้าจริง ๆ ด้วย
จังหวะนั้นอยู่ ๆ ก็คิดถึงไปรษณีย์ไทยขึ้นมา
แต่ดูจากเวลาปิดคือ 5 โมงเย็น แปลว่าเวลาทำการเท่ากันแหละ ต่างกันแค่ช่วงเวลา
พอถึงเวลาเปิด เราก็เข้าไปข้างในไปรษณีย์ มองซ้ายมองขวาว่าจะต้องติดต่อตรงไหน ก็ได้ยินเสียงพนักงานแว่วมาเลยคิดว่าไปถามเอาน่าจะง่ายสุด เราเลยบอกความต้องการไปว่า จะส่งนี่ไปแบงค่อก เขาก็เข้าใจว่าเราต้องการแสตมป์ใช่ไหม เราก็บอกใช่ ๆ เลยกะว่าจะซื้อเผื่อไปเลยสัก 10 ดวง ถ้าเจอโปสการ์ดอีกจะได้แปะส่งเลย
คุณพนักงานสาวบอกเราว่า โปสการ์ดใบที่เราซื้อจาก Ibusuki มันมีมูลค่าแสตมป์อยู่แล้ว แปะเพิ่มอีก 8 เยนก็พอ คุยไปคุยมาเลยได้ความว่าการจะส่งโปสการ์ดขนาด 4*6 นิ้ว จากญี่ปุ่นกลับประเทศไทยต้องแปะแสตมป์ดวงละ 70 เยน ส่วนโปสการ์ดแบบอื่นที่ทำออกมาเป็นรูปภูเขาไฟ รูปตู้ไปรษณีย์พวกนี้จะแพงหน่อย ต้องแปะใบละ 220 เยนแน่ะ ต่างกันตั้ง 3 เท่า แต่ด้วยความอยากลองก็เอาสักหน่อยก็แล้วกัน
พอสื่อสารและตกลงกันเสร็จ คุณพนักงานก็ถามว่าจะส่งเลยไหม เราก็บอกว่า 4 ใบที่เราเขียนแล้วฝากส่งเลย เขาก็รับมันไปก่อนจะร่ำลากัน
ส่งโปสการ์ดเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาหาชาวคณะ จิบกาแฟสักหน่อยเพราะต้องการคาเฟอีน วันนั้นเหมือนพนักงานจะได้ยินผิด เราสั่งใส่ Tall แต่ได้ Venti มาได้ อืม... ต่างกันมากอยู่
ก่อนจะขึ้นไปชานชาลาเจอร้านขายของที่ระลึก เจอสติ๊กเกอร์อันนี้ ชอบมาก เลยซื้อมา 555555
ประทับใจมาก ๆ สติ๊กเกอร์ผี ๆ เยอะดี ใครผ่านไปแถวนั้นลองแวะดูได้ 555555
ขาไป Kumamoto นี่ไม่ได้จองที่นั่ง เพราะคิดว่าคนคงไม่เยอะเท่าไหร่ และก็ไม่เยอะจริง ๆ มีที่นั่งว่างเหลือเฟือ นั่งตรงไหนก็ได้ คราวนี้เลยเลือกที่นั่งตรงหัวขบวนอย่างน้อยช่องมันก็กว้างพอที่จะยัดกระเป๋าเดินทางเข้าไปไม่ให้เกะกะทางเดินได้
ระหว่างทางก็นั่งมองวิวไป แอบหวั่นใจว่าจะเจอฝนไหม เพราะเมฆค่อนข้างเยอะ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานี Kumamoto พวกเราเลยเอากระเป๋าไปฝากที่ล็อกเกอร์หน้าสถานีก่อน แต่อันที่จริงเดินอีก 100 เมตรก็ถึงโรงแรมแล้ว เอาไปฝากที่นั่นยังไง แต่เห็นอยากใช้ล็อกเกอร์กันก็เอา 55555
พอฝากกระเป๋า เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวอะไรให้เสร็จเรียบร้อย มองนาฬิกาก็ 11.30 แล้ว เลยคิดว่ากินข้าวกลางวันเลยน่าจะดี จะได้มีแรงด้วย เพราะมื้อเช้ากินแค่ขนมปังกันมา เราเลือกร้านในสถานีแหละ น่าจะปลอดภัย(?) และด้วยความที่ Kumamoto ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อม้า เราก็เลยสั่งมาลอง พบว่า อืม... ลองให้รู้เนอะ
คือมันเหนียว ๆ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ก็กินได้จนหมด ส่วนน้องสาวเรากินไม่หมด 55555
เสร็จแล้วก็ซื้อ Waku Waku Pass หรือ 1 Day Pass ของ Kumamoto มา
ระหว่างนั้นทุกคนก็เติมพลัง กินไอติม จิบกาแฟ เราเองก็แวะซื้อกาแฟร้านนี้มา เห็นมันมีสาขาเยอะ รสชาติใช้ได้ ไม่แย่เท่าไหร่
ท้องอิ่มก็พร้อมจะลุยกันแล้ว ตามแผนเดิมคืออยากนั่ง Aso Boy กัน และไปเที่ยวภูเขาไฟ Aso แต่หลังจากแผ่นดินไหวเมื่อปี 2011 Aso Boy ก็เปลี่ยนเส้นทางวิ่ง และจากตารางเที่ยวของพวกเราดูแล้วเวลาไม่น่าจะพอ เลยตัดออก เหลือแค่เที่ยวในเมือง Kumamoto กัน เลยตั้งใจจะพาแม่ไปดูซากุระแถว ๆ ปราสาท Kumamoto
ตอนแรกพี่สาวบอกว่าอยากนั่งรถบัส เพราะเห็นรถรางคนเยอะ แต่รถบัสเองก็ไม่ค่อยมีสายที่ตรงไปปราสาทเท่าไหร่ เดินทางด้วยรถรางดูจะสะดวกสุดเลยคิดว่าขึ้นรถรางน่าจะดีกว่า
พวกเรานั่ง A-Line มุ่งหน้าไปยังปราสาทโดยไม่แวะที่ไหนเลย พอเดินเข้าใกล้เขตปราสาทก็เห็นสีชมพูฟุ้ง ๆ ซากุระที่นี่บานเยอะกว่า Kagoshima มาก พอตั้งใจมองก็รู้ว่าคงบานมาสักพักแล้วมั่ง เริ่มเห็นกลีบร่วง แต่ก็ยังถือว่าเยอะที่สุดตั้งแต่มาถึง
วันนี้อาจจะโชคไม่ค่อยดีเพราะเมฆเยอะ ฟ้าขาว ถ่ายได้ยากมาก
และผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อปี 2011 ทำให้ปราสาท Kumamoto ได้รับความเสียหายหนักมาก พื้นที่หลายส่วนยังคงถูกปิดเพื่อซ่อมบำรุง แต่ซากุระที่บานอยู่รอบ ๆ ปราสาทก็ยังทำให้คนหลั่งไหลกันมาชม ทั้งคนท้องถิ่นที่มานั่งปิกนิกกันกลางแดด มีให้เห็นตั้งแต่คนสูงอายุ มากันเป็นครอบครัว กลุ่มนักเรียนมัธยมที่น่าจะอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ และลูกเล็กเด็กแดงที่วิ่งกันสนุกสนาน นักท่องเที่ยวก็มีอยู่พอสมควร
แต่แปลกตรงเราไม่เจอคนไทยเลยแฮะ
ดูจากความเสียหายแล้ว คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะบูรณะเสร็จ แต่คิดว่าคงไม่นานมากเท่าไหร่ เพราะตอนเท่าเราไปก็เห็นเครนขยับ ปั้นจั่นยังทำงาน หวังว่าโอกาสต่อไปที่ได้มาจะบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้วเนอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in