ก่อนจะออกทริปนี้ เรามีอาการเจ็บเข่า
ซึ่งหลังจากที่ทนอยู่กับความเจ็บปวดที่ไม่แน่ใจในสาเหตุอยู่หลายวัน เราก็ตัดสินใจไปหาหมอ เพราะรู้ตัวว่าต้องใช้งานขา(และเข่า)อีกมาก ด้วยภารกิจเพื่อนเจ้าสาวและการเดินในทริปนี้
หมอบอกว่าสาเหตุมาจากรองเท้า ซึ่งรองเท้าวิ่งคู่นั้นน่ะ เป็นรองเท้าที่แพงที่สุดในชีวิตเลยตั้งแต่ซื้อรองเท้ามา เราไม่เคยคิดมาก่อนว่ารองเท้าราคานั้นจะทำให้เราเจ็บเข่าจนรู้สึกทรมานขนาดนี้
วิธีแก้ปัญหาหลังจากไปพบแพทย์ก็คือ หยุดใส่รองเท้าคู่นั้น กินยาและทายาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด
สุดท้ายเราก็หายจากอาการเจ็บเข่าทันก่อนออกทริป (แต่โชคร้ายที่หายไม่ทันงานแต่งเพื่อน)
เราบ่นกับน้องถึงความเสียดายจากการที่เราไม่สามารถใส่รองเท้าคู่นี้วิ่งได้ น้องก็เลยพูดขึ้นมาว่า "แล้วถ้าใส่เดินล่ะ" เราเลยคิดว่ามันน่าจะไม่เป็นไร เพราะการเดินน้ำหนักมันคงไม่ลงเข่าเท่าไหร่มั้ง
เราใส่รองเท้าคู่นั้นมาในทริปนี้ด้วย วันแรกก็รู้สึกเมื่อย ๆ แต่คิดว่าคงเป็นเพราะเดินเยอะละมั้ง ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บเข่าเท่าไหร่ วันที่สองก็ยังรู้สึกว่า เอ... ทำไมยังไม่หายเมื่อยนะ หรือควรจะแช่อ่างดี แต่พอวันที่เข้าคุมาโมโตะ ซึ่งเป็นวันที่ 3 เราทนไม่ไหวจนต้องออกปากบอกแม่และทุกคนในทริปว่าเราเจ็บเข่า เราต้องการเปลี่ยนรองเท้าตอนนี้เลย
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปตรงปราสาทคุมาโมโตะเสร็จแล้ว พวกเราก็พากันมาตรงย่าน Dori ซึ่งเช็คดูแล้วมีร้านรองเท้า เราเลือกอยู่สักพักก็ตัดสินใจเอา Nike Air Max คู่นี้มา คิดว่าน่าจะพออยู่ได้จนจบทริป พอได้รองเท้าแล้วทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะเข้าโรงแรมกันก่อน แม่เองก็ดูเพลีย ๆ บอกว่ามื้อเย็นคงไม่กินอะไรแล้ว ส่วนลูก ๆ สามคนมองหน้ากันแล้วคิดว่าเดี๋ยวค่อยออกมาอีกรอบก็แล้วกัน
สัญจรกันด้วยรถรางเป็นหลัก
หันไปเห็นแท็กซี่สีมินท์ น่ารักดี
ขากลับมาเห็นหน้าสถานีกำลังถ่ายอะไรกันไม่รู้ เจ้ามาสคอทเต้นดุ๊กดิ๊กๆ
หลังจากเช็คอินเสร็จแล้ว แม่ก็แสดงท่าทีออกมาว่าเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด เลยให้แม่พักผ่อน ส่วนพวกเราสามคนก็ออกมาจากโรงแรมเพื่อหามื้อเย็นใส่ท้อง ตอนนั้นหิวมาก และอยากกินเนื้อมาก ๆ เลยลองหาร้านจากในเน็ตและเดินหาด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาบู และเป็นเนื้อม้า ซึ่งตอนนั้นไม่ต้องการลองของใหม่ เลยตัดสินใจเดินไปร้านที่เขียนว่า MEAT ตัวเบ้อเริ่มที่เห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินเข้ามาในย่าน Dori
พวกเราเดินเข้าไปในร้านขนาดเล็กที่น่าจะเดินสวนกันได้ลำบากพอตัว ที่นั่งส่วนใหญ่เป็นบาร์ แต่ตอนนั้นคิดว่าเอาตรงไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้กิน ดูจากลักษณะการตกแต่งร้านและเมนูแล้ว คิดว่าร้านคงเป็นสเต๊กกระทะร้อนสไตล์อเมริกันปน ๆ ญี่ปุ่นแหละมั้ง เมนูของร้านมีหลายภาษา น้องเด็กเสิร์ฟก็เอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้ เราเลยเลือกเมนูที่ดูน่าจะเป็นเมนูขึ้นชื่อของร้านเพื่อความปลอดภัย
ตอนยกมาเสิร์ฟ เสียงฉ่าของเนื้อกับกระทะเรียกน้ำย่อยได้ดี กลิ่นวัวสุกนี่มันหอมจริง ๆ ด้วย พวกเราฟาดเรียบภายในเวลาไม่นาน อิ่มพุงกางก็เดินออกจากร้าน
ก่อนกลับ เราจำได้ว่าขามาเดินผ่านร้านขายผลไม้เล็ก ๆ เห็นสตรอว์เบอร์รี่เลยคิดว่าจะซื้อไปฝากแม่ แม่เราชอบสตรอว์เบอร์รี่และผลไม้รสเปรี้ยว แพคเกจสวยงาม เลยหยิบมาแพคนึง แต่เหลือบไปมองเห็นส้มหน้าตาน่ากิน เลยลองสักลูกดีกว่า ได้ยินว่าแถวนี้ส้มอร่อย เป็นของขึ้นชื่อ
ตอนเดินหาข้าวเย็นกิน เดินผ่านร้านขายผักผลไม้ซ่อนตัวอยู่ในห้องแถวท่ามกลางย่านช้อปปิ้งกลางเมือง ร้านนี้อยู่ห่างจากดองกี้ประมาณ 30 เมตร สายตาเหลือบไปเห็นสตรอเบอร์รี่แพคเกจมีคุมะมงแปะอยู่ เลยคิดว่าขากลับลองซื้อไปกินดีกว่า
พอฟาดมื้อเย็นเสร็จก็เดินกลับมาร้านเดิม หยิบสตรอว์เบอร์รี่มา 1 แพคแล้วจ่ายเงิน พอจะออกจากร้าน หันไปเห็นส้ม เลยนึกได้ว่าแม่เคยพูดว่าอยากกิน เลยเลือกส้มลูกกลมๆมา 1 ลูก พอเดินไปจ่ายเงิน ลุงแกรับส้มไปจากเราแล้วยกมือห้ามก่อนจะเดินกลับมาที่แผงผลไม้แล้วชี้ไปที่ส้มหน้าตาคล้ายๆส้มจุกแล้วพูดว่า “กู๊ดๆ” จนถึงตอนนั้นเลยตีความว่า ส้มอีกชนิดที่ลูกละ 300 เยน น่าจะอร่อยกว่าที่เราหยิบไปตอนแรก ไม่เชื่อคนขายแล้วจะเชื่อใคร ออกตัวกันขนาดนี้เลยหยิบมา 2 ลูก ลุงแกบอกต่อว่านี่เมดอินคุมาโมโตะ ทีนี้ลุงเสื้อแดงอีกคนก็ถามว่ามาจากไหน ตอนแรกบอกไทยแลนด์ เห็นทำหน้างงๆเลยตอบว่า “บังคกขุ” ก็ทำหน้าอ๋อออออกัน เราก็ย้อนถามไปว่า “โออิชิ๊?” ทั้งสองคนก็รีบพยักหน้ารัวๆ โอเค ยืนยันกันซะขนาดนี้ มีการบอกอีกว่า นี่คือ “Dekopon” น่าจะเป็นสายพันธุ์ป่ะวะ เราก็ออกเสียงตาม แกดูพอใจ 5555555 (แหม ขายเก่ง) พอกลับถึงโรงแรมก็จัดการ เออแม่ง อร่อยจริง หวานนน ไม่มีเม็ดเลย พอแม่กินก็ชอบมาก ดูพอใจมาก สตรอว์เบอร์รี่ก็อร่อยมาก หวานนนนน ชื่นใจ คือแม้จะโคตรอิ่มจากเนื้อแต่ก็กินจนหมด ดีใจมากที่เดินมั่วๆมาเจอร้านนี้ 55555555
เอาเป็นว่าใครไปแถบคิวชูอย่าลืมลองกินส้มนี่ดูนะ มันอร่อยมากจริง ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in