หลังจากทำงานมาได้ 3 เดือน ย่างเข้าเดือนที่ 4 ความคิดว่า อยากจะลาออกก็ได้เข้ามาเยือน
เรามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เราจะไม่สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้ หากไม่มีความสุขกับงานที่ทำ
คุณลองนึกภาพตามนะคะ ในหนึ่งวัน เราใช้ชีวิตอยู่กับงาน (ซึ่งไม่จำกัดว่า ต้องเป็นที่ทำงาน) ราวๆ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายความว่า 24 ชั่วโมงของคุณเป็นของงานไปแล้ว 1 ใน 3
เราเป็นคนที่ชอบทำงานและจริงจังกับงานมากคนหนึ่ง ทำให้เวลาได้รับคำชมจากการทำงาน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ใจก็ะฟูขึ้นมาทันที แต่ด้วยธรรมชาติของงานเราแล้ว ไม่ค่อยจะได้รับคำชมหรอกค่ะ ด้วยมันเป็นงานที่เครียด แข่งกับเวลา และต้องใช้ skepticism สูง กระมัง
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับเพื่อนร่วมอาชีพและประสบพบเจอลูกค้ามากหน้าหลายตา ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ เราตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า 'ฉันเองก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย!'
เรื่องที่ 1
เมื่อวันคริสมาสต์ที่ผ่านมา (ซึ่งความจริงแล้วเป็นวันหยุดของออฟฟิศ) เราได้ไปนับสต็อคมา
การนับสต็อคในวันหยุด พูดแล้วก็เศร้าที่เราต้องทำงานวันหยุด แต่กลับการเป็นว่า การนับสต็อคครั้งนี้ เป็นการนับสต็อคที่ดีที่สุดของปีนี้เลยก็ว่าได้
คำว่า 'ดี' ในที่นี้ของเรา ไม่ได้หมายถึง นับง่าย งานเสร็จเร็ว หรือ ลูกค้าน่ารัก แต่การนับสต็อคในครั้งนี้ ทำให้เราได้เจอกับผู้คนที่ทำหลายอาชีพ ทำหน้าที่หลายบทบาท และได้แชร์เรื่องราวของพวกเขากับเรา
การนับสต็อคถือเป็นงาน labour ที่ต้องใช้ทักษะประกอบกับดวงอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะ มีปัจจัยมากมายที่จะส่งผลต่อการนับเร็ว นับช้า นับแล้วดิฟ (difference)
ในการนับสต็อควันนี้ จะว่านับยากก็ไม่ยาก แต่ด้วยความกระจัดกระจายของสินค้าก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ในวันนี้ ตอนงานเสร็จ พี่ลูกค้าที่น่ารักพูดขึ้นมาว่า 'นับเสร็จเร็วกว่าครั้งก่อนอีกนะคะ'
ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ ใจเรามันฟูมากเลยทุกคน เราเองก็ไม่รู้ว่า ครั้งก่อนเป็นใครมานับ แต่ด้วย nature สินค้าที่เหมือนกัน ตัวแปรควบคุมที่เท่ากัน เราสามารถใช้เวลาที่น้อยกว่าอ่ะ มันภูมิใจจริงๆนะ
เรื่องที่ 2
จ็อบประจำของเรา เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มี related มากมายถึง 23 บริษัทด้วยกัน ทำให้แม้ nature จะไม่ได้อลังการขนาดพวกโรงไฟฟ้า แต่ก็มีความ tough อยู่ประมาณหนึ่ง ในช่วงที่เรารู้สึกว่า เราทำงานได้ช้าจังเลย ทำไมงานไม่เสร็จสักที เราก็ได้คุยกับเพื่อนร่วมชะตากรรม แล้วก็ค้นพบว่า อ้อ บางจ็อบ เขาใช้เด็กเลเวลเท่าเราสองคนในการทำงานของเรา
นอกจากนี้ จ็อบประจำของเราก็เป็นจ็อบที่พี่เมเนเจอร์โด่งดังเรื่องความเครียด (ทำให้น้องเครียด!) และยังมีความบีบเวลาสุดๆตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การที่เราผ่านมาได้นั้นก็เป็นการเติบโตรูปแบบหนึ่ง
เรื่องที่ 3
หากการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิงทั้งทัศนคติทางด้านการพูดจา การทำงาน การเมืองและสังคม เป็นเรื่องที่ยากแล้ว การต้องเป็นรูมเมตกันไปตลอด 4 วัน 3 คืนนั้น ยากยิ่งกว่า เชื่อเราเถอะ...
เป็นอีกครั้งที่จ็อบประจำส่งเราไปเผชิญวิบากกรรม ในครั้งนี้ เราต้องไปทำงานเกือบ 1 สัปดาห์ แบบ 24/7 กับพี่ซีเนียร์ที่เราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย ! และจากการทำงานก็ค้นพบว่า เข้ากันไม่ได้จริงๆแหละ
ซึ่งเราไม่พอใจอะไรเขาหลายอย่างนะ แต่ก็ไม่ได้ชักสีหน้าหรือตอบโต้อะไรเขากับไป และช่างบังเอิญเหลือเกินที่เราติดจ็อบถัดไปกับเขาอีกสัปดาห์หนึ่ง
พระเจ้าโปรดประทานพร เหลือเกินจริงๆ แต่คนเราก็เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้นี่คะ ยังไงก็ต้องผ่านกันไป
ผลลัพธ์ก็คือ เราพิสูจน์แล้วว่า ขีดความสามารถในการปรับตัวและความอดทนของตัวเองนั้น สูงกว่าที่คิด
ทั้งๆที่ปกติแล้ว เราคงทนไม่ได้มากขนาดนั้น คงต้องมีหลุดชักสีหน้าหรือตอบโต้ไปบ้าง แต่เราก็ทำได้จริงๆ เราไม่ได้ทำอะไรที่คิดว่า เป็นการก้าวร้าวใส่พี่คนนั้นกลับไปเลย
'เก่งมากแล้วนะ ตัวฉัน'
เรื่องที่ 4
เราได้รับ assign ให้ทำ EGA หนึ่ง ทำไปทำมาก็มีดิฟเกิดขึ้น เราไปนั่งหาแล้ว หาอีก จนไปให้พี่ช่วยหาหากันเป็นวันเลยนะ (แต่ระหว่างวันก็ทำงานอย่างอื่นด้วยจ้า)
ระหว่างอยู่ในเส้นทางหาคำตอบ เราก็ได้ปิ๊งไอเดียขึ้นมาอย่างหนึ่ง แล้วเอาไปคุยกับพี่ แล้วก็ได้รับคำชมว่า 'เก่งมากเลยจ๊ะ' นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมา 3 เดือนที่เราได้รับคำชม มันรู้สึกดีมากจริงๆอ่ะทุกคน
♡
ส่งท้าย
content นี้ ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอก เราแค่อยากจะส่งข้อความถึงใครก็ตามที่อ่านอยู่ว่า แม้คุณเองอาจจะรู้สึกว่า เราไม่เก่งเลย หรือ เราไม่ใช่คนเก่งในงานที่ทำ แต่เราสามารถภูมิใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้นะ อยากให้ทุกคนที่กำลังเดินในเส้นทางที่อาจจะยากลำบาก ต้องใช้ความอดทน เก็บเกี่ยวเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ในแต่ละวัน มาใช้เติมพลังใจให้กับตัวเองนะคะ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ให้คุณฝืนในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ถ้าคุณค้นพบว่า งานที่ทำ มันไม่ใช่ตัวฉันเลย เราก็อยากเป็นกำลังใจให้คุณ (และตัวเราเอง) มีความกล้าที่จะก้าวออกไปทำสิ่งที่ฝัน
ใช่คะ เราไม่ปฎิเสธว่า สังคมอันโหดร้าย (ปัญหาเศรษฐกิจ สถานะการเงิน การศึกษา พื้นเพครอบครัว และอีกหลายๆปัจจัย) เป็นอุปสรรคในการเดินตามสิ่งที่ฝัน ระหว่างที่เรายังไม่สามารถออกไปทำสิ่งที่ฝันได้อย่างเต็มตัว ก็อยากให้ทุกคนเตรียมตัวและเตรียมอาวุธให้ครบมือ เมื่อโอกาสมาถึง อย่าปล่อยให้มันหลุดไปนะคะ
รัก,
ตัวฉันเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in