Sanctify — ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมา มีความหลอนเบาๆ ได้ฟีลศาสนาและความเชื่อพอสมควร เสียงเบสดึบมาก ถือว่าเป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ดี ชวนติดตาม
Hallelujah — เพลงเหมาะกับเปิดในผับช่วง warm up กำลังดีดๆ อุ่นเครื่องพร้อมดิ้น จังหวะเพลงสนุก มีความดิสโก้เล็กๆ แฝงอยู่ กลิ่นอายเพลงคล้ายอัลบั้มแรก คือสดใส
All for You — ซิงเกิ้ลที่ 4 ที่ปล่อยออกมา เพลงจังหวะสนุก แต่ดนตรีเหมือนเพลง Worship จากอัลบั้มก่อนมาก แต่ก็เหมือนเป็นเวอร์ชั่นที่ดึบกว่า จริงจังกว่า ส่วนตัวว่าสนุก
Karma — เพลงก่อนหน้าเป็นศาสนาคริสต์ เพลงนี้เป็นศาสนาพุทธ จะมีครบทุกศาสนาไหมเอ่ย เพลงนี้จังหวะช้าลงจากเพลงก่อนหน้า กลิ่นอายเหมือนเพลงของจัสติน ทิมเบอเลค มากๆ ทั้งในแง่ของทำนองและเสียงร้องของออลลี่
Hypnotised — เพลงช้าโชว์พลังเสียงของออลลี่ เพราะเสียงร้องเด่นที่สุดในเพลง ทำให้นึกถึงเพลง Foundation ของอัลบั้มก่อนมากๆ
Rendezvous — แค่ทำนองขึ้นก็เหมือนคุณกำลังเดินอยู่ใน H&M ใช่แล้ว มันเหมาะเป็นเพลงที่จะเปิดตามร้านเสื้อผ้าชั้นนำตามห้างมากๆ เปิดฟังตอนกำลังเดินจะยิ่งเพอร์เฟก เพราะจังหวะเพลงกับจังหวะการก้าวท้าวมันประสานกันมาก แล้วจะได้ฟิลเป็นนางแบบขึ้นมา ยินดีด้วยค่ะคุณชนะแคมเปญ
If You're Over Me — ซิงเกิ้ลที่ 2 ที่ปล่อยออกมา เอาจริงๆ เลยเป็นเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้ม เปิดฟังบ่อยที่สุด เป็นเพลงจังหวะไม่เร็ว สามารถแหกปากร้องตามได้ไม่ยาก ซึ่งพอดู MV ตามไปด้วยจะรู้สึกอินมากๆ
Preacher — ดนตรีหนึบหูมาก กลิ่นอายเหมือนเพลงประกอบหนังซักเรื่อง เป็นเพลงที่สนุกดี แต่ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ กลางๆ ใช้ได้ แต่ไม่ถึงขั้นแปลกใหม่
Lucky Escape — เพลงมีความ 2018 แต่อันนี้ไม่ใช่คำชม คือทำนองมันเหมือนกับเพลงอื่นๆ ที่ออกในปีนี้ คือก็เป็นเพลงที่ทำเหมือนๆ กับเพลงตลาดนั่นแหละ ก็ดีแต่ไม่ประทับใจ ข้ามได้
Palo Santo — ซิงเกิ้ลที่ 3 และเป็นชื่ออัลบั้มด้วย จังหวะไม่ช้าไม่เร็ว ฟังแล้วรู้สึกขนลุก ดนตรีมีความดาร์ก อธิบายคำว่าดาร์กยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าไม่ใช่ดาร์กแบบเดียวกับหนัง DC ละกัน แต่ชอบเพลงนี้ ฟังบ่อยไม่แพ้กับ If You're Over Me เลย
Here — ถ้าเป็นอัลบั้มแบบปกติ ไม่ใช่ deluxe แทร็คนี้จะเป็นแทร็คสุดท้ายปิดอัลบั้ม ความยาวแค่ 1 นาที 40 วิ เป็นเพลงที่เน้นเสียงร้องมากกว่าดนตรี แต่จุดประสงค์มีไว้แค่ปิดอัลบั้ม ในยุคที่เราฟังสตรีมมิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องฟังตั้งแต่ต้นจนจบ และแบบ deluxe ยังมีเพลงต่อเข้ามาอีก เลยกลายเป็นแทร็คที่กด skip ได้ก็กดไปเถอะ
Howl — กลิ่นอายทำนองต่างๆ เหมือนอัลบั้มก่อนมาก จนแอบสงสัยว่าเป็นเพลงที่ถูกตัดออกจากอัลบั้มก่อนหรือเปล่า เลยต้องเอามาใส่อัลบั้มนี้ใส่แทน อันนี้ไม่ใช่คำด่า ตัวเพลงฟังเพลินๆ มาก เพลินจนเกือบจะหาว
Don't Panic — กลิ่นอายเหมือนเพลงของเจทีอีกแล้ว เหมือนจนตกใจนึกว่าเอาเจทีมาฟีทด้วย โอ้ย จังหวะดี เหมาะกับเอาไปใช้บดยั่วร่านตามงานปาร์ตี้
Up in Flames — โอ้ยยยยยย แค่ทำนองก็คือ 80's vibe มากๆ นึกถึงเพลง I Wanna Dance With Somebody ของวิทนีย์มากๆ ทำไมต้องเป็นเพลงแถม ทำไมต้องเป็นแทร็คสุดท้ายด้วย น้อยคนจะฟังมาถึงแทร็คนี้ โคตรเพชรในตม อยากแนะนำจริงๆ
โดยรวมคืออัลบั้มนี้ยังคงแนวดนตรีไว้ใกล้เคียงกับอัลบั้มก่อนหน้า ซึ่งอันนี้โอเคแล้ว และมีการทำดนตรีให้หนึบขึ้น ดาร์กขึ้น ให้ตรงกับคอนเซปของอัลบั้ม ซึ่งแม้แต่ MV ยังทำเป็นเรื่องราวต่อกันเป็นพาร์ทๆ ชวนติดตาม โดยรวมเป็นอัลบั้มที่แนะนำอยากให้ฟังเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าเบื่อเพลงปี 2018 ที่มีแต่ดนตรีซ้ำๆ แร็พเด๋อๆ หรือเพลงห่วยๆ อย่าง No tears left to cry ที่วิทยุชอบเปิดกรอกหูทุกวัน (อิอิ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in