เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[JackBam] Angels /GOT7 FanFictionChunari_CJ
Chapter 7 : งานเลี้ยง
  •  

    คุณเต่าไม่มีทางเป็นเจียเออร์ไปได้หรอกน่า..

     

    คุณเต่าเป็นมนุษย์นะ ไม่ใช่แองเจิ้ลส์ซะหน่อย..

     

    เลิกฝันว่าจะได้เจอเจียเออร์ได้แล้ว..

     

    แล้วอีกอย่าง ปีกของเราก็..

     

    แองเจิ้ลส์น้อยนั่งลูบขนปีกสีขาวด้วยอาการเหม่อลอย ยามกลางคืนภายในรังแองเจิ้ลส์อันมืดมิด แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับตาของแองเจิ้ลส์ที่สามารถมองเห็นได้ในความมืดไร้ซึ่งแสงใด เสื้อแขนสั้นสีขาวถูกถอดกองไว้ข้างเตียงนุ่ม เหลือเพียงร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดกับกางเกงขาสั้น ปีกสีขาวบริสุทธิ์ที่กางออกถูกพับลงครึ่งหนึ่งคล้ายกับจะห่อเจ้าของร่างเอาไว้เพื่อทำกิจวัตรประจำวันอย่างการตกแต่งขน เพื่อให้มือเล็กสามารถจัดระเบียบขนปีกของตัวเองตามจุดต่างๆ ได้สะดวก มือเรียวไล้ไปตามขนปีกด้วยความเคยชินเพื่อหาจุดที่พันกันหรือหลุดรุ่ยไม่เป็นระเบียบ

     

    ตั้งแต่ปลายจนถึงโคนปีกด้านหน้าทั้งสองข้าง มือเรียวทั้งสองไล่จัดการกับขนปีกของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว เหลือเพียงส่วนที่ยากที่สุดอย่างโคนปีกใกล้กับแผ่นหลังด้านหลังของเขาเองที่ไม่ว่าจะเอื้อมอย่างไรก็ไม่เคยถึง ทำให้ขนปีกแถวนั้นพันกันเป็นกระจุกๆ สร้างความรำคาญใจให้แองเจิ้ลส์น้อยเสมอ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้  เขาชินซะแล้วกับขนด้านหลังที่พันกันจนเป็นสังกะตัง แม้จะเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่ในฝูง  ก็ไม่เคยมีใครยอมเข้าใกล้เพื่อแตะต้องหรือจัดขนปีกให้กับเขา ทั้งๆ ที่ฝูงแองเจิ้ลส์มีไว้เพื่อการนั้น การจัดขนปีกให้กันและกันเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่รวมฝูง ฝูงที่เขาไม่เคยได้อยู่ แม้จะเหมือนอาศัยอยู่ในฝูงก็ตาม

     

    ตั้งแต่วันแรกที่พ้นวัยทารก เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในรังขนาดมหึมาที่ว่างเปล่า ความทรงจำช่วงสุดท้ายของวัยทารกมีเพียงเสียงกรีดร้องของใครบางคน ที่เขาเดาเอาว่าอาจจะเป็นเสียงของพ่อกับแม่ที่เห็นปีกสีขาวของเขา พวกท่านถึงได้ทิ้งเขาไป ความไร้เดียงสาช่วยให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักกับเรื่องนั้น แต่โลกของความจริงก็ถาโถมเข้าใส่เมื่อเขากางปีกออกไปนอกรังเป็นครั้งแรก เขาโผลงท่ามกลางแองเจิลส์เด็กวัยเดียวกันกลุ่มใหญ่เพื่อหาเพื่อนเล่น และได้เห็นปีกสารพัดสีสันละลานตาของคนอื่นๆ  ได้รับรู้ว่าเผ่าพันธุ์ของเขางดงามเพียงใด แต่เขากลับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความงดงามนั้นเลย

     

    สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่ปีกสีขาวของเขาเป็นจุดเดียว เพื่อนวัยเดียวกันที่ถอยหลังหนีเมื่อเขาเดินเข้าไปหา แองเจิ้ลส์ผู้ใหญ่หลายคนที่รีบโผลงจากรังเพื่อรับลูกๆ ของตนกลับขึ้นไป กลายเป็นคำอธิบายไร้เสียงที่แสนอ้างว้าง เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนนั้นแตกต่าง และสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เขาเรียนรู้ที่จะอยู่เพียงลำพังคนเดียว เรียนรู้วิธีใช้ชีวิตด้วยการแอบมองแองเจิ้ลส์คนอื่นว่าเขาทำอะไรกันแบบไหน เรื่องที่ทำไม่ได้อย่างการหาคนช่วยจัดขนปีกด้านหลังเขาก็แค่ปล่อยมันไป มีเพียงความรู้สึกแปลบๆ ในอกบางครั้งที่ได้เห็นแองเจิ้ลส์ผู้ใหญ่จับคู่จัดขนปีกให้กันด้วยความรักใคร่เท่านั้น

     

    ถึงแม้จะพยายามอยู่ให้ได้เพียงลำพังคนเดียว แต่โลกก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด การเป็นที่รังเกียจนั้นแค่หนีให้ห่างคงยังไม่พอสำหรับแองเจิ้ลส์วัยเดียวกัน เขาถึงได้ถูกคนอื่นๆ ตามรังควานรังแกทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าเขาจะพยายามหลีกหนีมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถไปไกลจากรัง หรือหนีไปจากฝูงอย่างถาวรได้ ครั้งแรกๆ เขาตอบโต้แองเจิ้ลส์วัยเดียวกันด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็จบลงที่ถูกแองเจิ้ลส์วัยผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ตบตีสั่งสอนจนต้องนอนไปหลายวัน แม้ว่าแองเจิ้ลส์จะมีพลังฟื้นตัวได้เร็วมากก็ตาม เขาจึงเลิกตอบโต้ และเลือกที่จะหนี แต่ยิ่งหนีก็ยิ่งถูกรังแกรุกไล่มากเข้าไปอีก หรือไม่ก็ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเลิกที่จะเชื่อใจใคร

     

    ท่ามกลางวันเวลาเหล่านั้น มีเพียงเสียงของเจียเออร์เท่านั้นที่คอยประคับประคองชีวิตเขา เจียเออร์ของเขา.. เมทของเขา..

     

    เขาไม่เคยเห็น ไม่สิ เรียกว่าไม่เคยรู้สึกถึงเจียเออร์ในฝูงของเขา แสดงว่าเจียเออร์คงจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็ดีเหมือนกัน เจียเออร์จะได้ไม่เห็นปีกสีขาวแล้วก็ทิ้งเขาไปเหมือนคนอื่นๆ เขาได้ยินเสียงของเจียเออร์ผ่านทางจิตที่ผูกพันกัน แต่กลับดูเหมือนว่าเจียเออร์จะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย เสียงหัวเราะของเจียเออร์ ทำนองเพลงของเจียเออร์ ความสุขของเจียเออร์ที่ดูจะมากมายท่วมท้น จนความสุขนั้นเผื่อแผ่มาถึงเขา เมื่อเขาร้องไห้ เมื่อเขาร้องเรียก ความอบอุ่นจะค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในอกแทนคำปลอบประโลม

     

    แองเจิ้ลส์น้อยถอนหายใจเบาๆ ล้มเลิกความพยายามที่จะจัดขนปีกที่พันกันเป็นกระจุกอยู่ด้านหลัง ร่างบอบบางขยับเหยียดปีกสีขาวออกกว้างจนสุดเพื่อเก็บปีกให้พ้นจากสายตา แล้วหยิบเสื้อแขนสั้นที่กองอยู่ขึ้นมาสวมไว้ตามเดิม เขาได้เรียนรู้ว่าการเก็บปีกเอาไว้แบบนี้ ถึงมันจะดูน่าอาย แต่ก็ทำให้เขาซ่อนตัวจากแองเจิ้ลส์คนอื่นๆ ได้ง่ายกว่า จนตอนนี้มันกลายเป็นนิสัยของเขาไปซะแล้ว ที่จะกางปีกเฉพาะเวลาที่ไม่มีใครเห็นอย่างตอนอยู่ในรังเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในโดมของเจบี และไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวจากใครก็ตาม

     

    ทำไมคุณเต่าถึงได้รู้จักเพลงของเจียเออร์นะ..

     

    หรือว่า.. คุณเต่าจะเคยเจอกับเจียเออร์..

     

    อยากถามจัง.. อยากเจอเจียเออร์จัง..

     

    ทั้งที่คิดว่าพอมาอยู่ที่นี่.. คงไม่มีโอกาสได้เจอกันแน่ๆ แล้ว..  

     

    เจียเออร์...

     

    เจียเออร์..…….

    .

    .

    .

     

    “กลับมาแล้ววว...   เอ๋ ไม่อยู่เหรอ” แจ็คสันลากสังขารที่ร้าวระบมจากการฝึกประชิดตัวกับออสริค กลับถึงบ้าน ไฟที่สว่างขึ้นทันทีที่เขาเปิดประตูแสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครอยู่ข้างใน ไฟสีแดงบนกระดานฝากข้อความหลังประตูกระพริบเป็นจังหวะ ชายหนุ่มจึงโบกมือผ่านเซ็นเซอร์เพื่อแสดงข้อความ

     

    พ่อเรียกตัวด่วน คงกินข้าวเย็นที่บ้าน ชุดของนายอยู่ในห้อง เจอกันพรุ่งนี้

     

    “หืมม ชุด?.. ชุดอะไรหว่า” แจ็คสันเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองเพื่อสำรวจสิ่งที่เพื่อนบอก เป้ใบโปรดถูกจับแขวนเข้าที่เป็นอันดับแรกก่อนจะกวาดสายตาหาสิ่งแปลกปลอมภายในห้องที่แทบไม่ต้องหาให้เสียเวลา ในเมื่อสิ่งที่มาร์คบอกแขวนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าของเขาเอง

     

    ถุงใส่สูทสีดำมียี่ห้อเสื้อผ้าแบรนด์ดังแขวนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าของเขา แจ็คสันรูดซิปเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่ภายใน สูททักซิโด้สีดำเนื้อดีดูหรูหราพร้อมเสื้อเชิ้ตและแอซเซสเซอรี่ครบชุด ที่พื้นหน้าตู้ยังมีรองเท้าหนังขัดเงามันปลาบวางอยู่คู่หนึ่งด้วยเช่นกัน

     

    “ชุดออกงานนี่นา..  หรือว่า...”  แจ็คสันทบทวนวันเวลาในหัวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เข้าฝึกงานที่สถาบันวันเวลาก็ดูจะผ่านไปอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ จนเขาเลิกที่จะใส่ใจ วันที่เขารับปากมาร์คว่าจะยอมเป็นเพื่อนออกงานด้วยก็มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    “แสดงว่าพรุ่งนี้วันหยุดสินะ อย่างนี้ก็ไม่ได้เจอแบมแบมน่ะสิ อุตส่าห์แวะซื้อขนมมาด้วยแล้วแท้ๆ” ชายหนุ่มคิดถึงถุงขนมในเป้ที่เขาแวะซื้อที่ร้านขายขนมสำหรับเด็กตอนขากลับอย่างเสียดาย เขาไม่รู้ว่าแบมแบมชอบอะไรก็เลยเลือกมาหลายๆ อย่าง อย่างละชิ้นสองชิ้นเอาไว้ให้แบมแบมเลือก และตั้งใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับจินยองเพื่อขออนุญาต ทั้งที่ใจจริงเขาอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ถ้าเกิดเขาให้แบมแบมกินอะไรที่เป็นอันตรายกับแองเจิ้ลส์ขึ้นมา คงไม่ดีแน่  

     

    แจ็คสันรูดซิปปิดถุงสูทเพื่อออกไปหาอะไรกินในครัว ลองมาร์คแขวนชุดไว้พร้อมแบบนี้แสดงว่าชุดที่ได้มาต้องพอดีตัวอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่อยากเอาชุดออกมาลองให้ยับเสียรูปไปก่อนถึงเวลา ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดใส่แล้วยับไปเข้างานจะเสียชื่อ “คุณชายต้วน” เอาได้

     

    ท่านต้วนคงจะคิดถึงลูกชายมากถึงได้เรียกเข้าไปหา เพราะมาร์คไม่ค่อยจะยอมกลับบ้านสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เหลืออีกแค่วิชาเดียวก็จะจบ และวิชาเดียวที่ว่านั่นเป็นวิชาง่ายๆ ที่มาร์คจงใจลงทะเบียนทิ้งไว้เพื่อรอจบพร้อมเขา ถ้าเขาผ่านการฝึกงานเมื่อไหร่ มาร์คก็จะสอบวิชานั้นเพื่อขอจบได้พร้อมกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนให้เสียเวลา มาร์คจึงมีเวลาว่างมากมาย ท่านต้วนเองก็เข้าใจลูกชาย ไม่ได้เร่งรัดให้มาร์ครีบจบเพื่อสืบทอดอาณาจักรอสังหาฯ ที่เขาก่อร่างสร้างมากับมือ

     

    คนทั่วไปก็เลยมักจะคิดว่ามาร์คเป็นแค่คุณชายเสเพลที่อยู่ว่างๆ ใช้เงินของพ่อที่เป็นมหาเศรษฐีไปวันๆ แต่ความจริงแล้วเพื่อนสนิทเขาไม่เคยใช้เงินของท่านต้วนเลยสักแดง เงินที่มาร์คใช้อยู่ทุกวันนี้มาจากกำไรของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจที่เพื่อนเขาตั้งขึ้นอย่างลับๆ ตั้งแต่สมัยเรียน บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการบริหารของมาร์คที่ทำทุกอย่างผ่านจอคอมพิวเตอร์โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ตัวจริงของเจ้าของบริษัทคือ มาร์ค ต้วน คนนี้ ภายใต้ท่าทางเฉื่อยชา ไม่สนใจใคร รักความสบาย และเงียบสงบ คือนักธุรกิจมือฉมังที่เก่งกาจไม่ต่างจากท่านต้วน รอเพียงเวลาที่เจ้าตัวพร้อมจะสืบทอดกิจการต่อไปเท่านั้น

     

    แจ็คสันจัดการกับอาหารจีนแบบเทคเอาท์จากร้านดังที่อยู่ในตู้เย็น ก่อนจะทำกิจวัตรประจำวันอย่างเร่งรีบด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า อย่างน้อยคืนนี้เขาก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนพรุ่งนี้ก็จะได้กินอะไรอร่อยๆ ในงานเลี้ยงให้เต็มอิ่ม จะได้รีบกลับไปทำงาน... กลับไปหาแบมแบม..

    .

    .

    .

     

    เจียเออร์.. ”

     

    “เจียเออร์... ”

     

    “อยากเจอจัง..”

     

    ใครน่ะ..    ร้องไห้ทำไม.. 

     

    อย่าร้องสิ..  จะไปหานะ..   อยู่ที่ไหนล่ะ..

     

    อยู่ที่ไหน…

    .

    .

     

    “เฮ้  แจ็ค!!  แจ็ค!”  

     

    “อื้อ มาร์ค? มีอะไร เรียกเสียงดังแต่เช้าเนี่ย”  

     

    “เช้าที่ไหนกันเล่า ลุกมาดูเวลาซะก่อนเหอะ ว่าแต่นายนอนครางเสียงดังไปถึงข้างนอกฉันถึงเข้ามาดู แถมยังร้องไห้อีกเนี่ย ฝันร้ายรึไง”

     

    “ร้องไห้เหรอ?”  แจ็คสันเพิ่งรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่หางตาทั้งสองข้าง มือหนายกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ

     

    “นายฝันอะไร”

     

    “ฝันเดิมนั่นแหละ  ตื่นมาก็จำไม่ได้แล้ว  แต่คราวนี้มัน.. ไม่รู้สิ ไม่เหมือนเดิม... ” ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในอกคราวนี้มันไม่ใช่ความอบอุ่นเหมือนเคย แต่เป็นความอาวรณ์โหยหาที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน หัวใจเขาปวดหนึบเหมือนถูกบีบ

     

    “ช่างมันเถอะ ก็แค่ฝัน ว่าแต่นายเถอะ พ่อเรียกกลับบ้าน เป็นไงมั่งล่ะ” แจ็คสันลุกขึ้นจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาสายโด่ง ร่างกายรู้สึกสดชื่นมากขึ้นเมื่อได้พักอย่างเต็มที่  มาร์คยืนมองเพื่อนด้วยสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ

     

    “ก็ไม่มีอะไร พ่อกับแม่คิดถึงน่ะ แล้วพ่อก็อยากให้ฉันเข้าไปทำความรู้จักกับท่านหลี่ที่งานเลี้ยงวันนี้ด้วยก็เท่านั้น” มาร์คผละออกไปจากห้องเมื่อไม่เห็นความผิดปกติอย่างอื่นของแจ็คสัน

     

    “ท่านหลี่???  หลี่เจิ้งไฉคนนั้นอ่ะนะ อย่าบอกนะว่านี่งานเค้าน่ะ!!!”

     

    “ก็ใช่ ทำไมล่ะ”

     

    “ก็เห็นเค้าว่าเป็นมาเฟียใหญ่จากไต้หวันไม่ใช่รึไง แล้วนายไม่กลัวเหรอ” แจ็คสันเดินตามออกมาคุยกับเพื่อนที่ห้องนั่งเล่น มาร์คกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาตรงข้ามกับทีวีจอแบนขนาดใหญ่บนผนัง ใบหน้าหล่อเหลาจับจ้องอยู่บนจอที่กำลังแสดงรายงาน ตารางกับกราฟต่างๆ  ส่วนมือก็รัวไปตามคีย์บอร์ดที่วางอยู่บนตัก  ชายหนุ่มทรุดลงนั่งที่โซฟาด้านข้าง บนโต๊ะกาแฟตรงกลางมีขนมปังปิ้งหลายแผ่นวางอยู่บนจานอุ่น มือหนาคว้าขนมปังเข้าปากโดยไม่ต้องคิด

     

    “จะกลัวทำไมล่ะ ในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อเคยทำธุรกิจกับเค้า ก็เลยอยากให้ฉันไปทักทายเผื่อว่าต่อไปอาจจะต้องติดต่อกันบ้าง ก็เท่านั้นแหละ”

     

    “ระวังตัวด้วยล่ะ ขึ้นชื่อว่ามาเฟียเล่ห์เหลี่ยมคงแพรวพราวใช่ย่อย” มาร์คพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มมุมปากให้เป็นคำตอบ แล้วทำงานต่อไปเงียบๆ แจ็คสันจึงลุกขึ้นจากโซฟา เขาตั้งใจว่าจะออกไปฟิตเนสให้ร่างกายอยู่ตัว เพราะเท่าที่ฝึกงานของแผนกลาดตระเวนมาสองสามวัน เขาก็เดาได้ว่าอาทิตย์หน้าจะต้องใช้ร่างกายหนักหนาแค่ไหน

     

    “เฮ้!! กลับมาก่อน 4 โมงนะ เดี๋ยวเสี่ยวเม่ยจะมาช่วยเตรียมตัว” เสียงคนที่กำลังนั่งทำงานตะโกนไล่หลังเขาก่อนจะออกจากบ้าน

     

    “โอเค!!” ชายหนุ่มตะโกนตอบก่อนที่ประตูจะปิดลง

    .

    .

    .

    .

     

    ลีมูซีนสีดำคันงามจอดเทียบพรมแดงหน้าโรงแรมหรูระดับไฮคลาสที่เป็นสถานที่จัดงาน พนักงานโรงแรมที่ยืนรอรับรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ ชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนก้าวลงจากรถ คุณชายต้วนในชุดสูทสั่งตัดเนื้อดีสีขาว สวมทับเสื้อคอเต่าสีดำขับให้ผิวขาวนั้นยิ่งดูโดดเด่น เข็มกลัดรูปตัวอักษรจีนสีแดงเข้มจากอัญมณีชั้นดีติดอยู่ที่อกซ้าย บอกสถานะให้เจ้าตัวโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสนิท ส่วนชายหนุ่มอีกคนอยู่ในชุดทักซิโด้แบรนด์หรูสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาวกับหูกระต่ายสีดำตามแบบสากล หลังยืดตรงทำให้ท่วงท่าดูสง่างาม ผมสีน้ำตาลเข้มถูกจัดทรงไว้อย่างดี ขับให้ใบหน้าคมดูหล่อเหลายิ่งกว่าปกติ เสียแต่ว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังบูดบึ้งอย่างชัดเจน


    "ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิ" มาร์คกระทุ้งศอกเข้าที่ลำตัวเพื่อนเบาๆระหว่างเดินขึ้นบันไดที่ปูด้วยพรมแดงมีตากล้องข่าวสังคมเรียงรายตามแนวที่กันไว้ด้านข้างไกลออกมาเล็กน้อย

     

    "ก็บอกแล้วว่ามันไม่ชินนี่หว่า"แจ็คสันปรับสีหน้าให้ฉาบด้วยรอยยิ้มบางเบาตามเพื่อนสนิทแต่กัดฟันกระซิบตอบเพื่อนไปเบาๆ

     

    "แค่ไม่ให้ใส่หมวกแค่นี้อย่างอแงไปหน่อยเลยน่า" มาร์คกระซิบตอบพร้อมกับโบกมือให้ช่างภาพที่ส่งเสียงเรียก

     

    "นั่นมันอวัยวะที่ 33 ของฉันเลยนะ นายก็รู้ แล้วนี่เสี่ยวเม่ยทำผมทรงอะไรให้ก็ไม่รู้ตั้งกระบังอย่างกับจะไปโต้คลื่น"

     

    "เอาน่าขอแค่งานนี้งานเดียวแค่นี้นายก็หล่อจนหญิงละลายหมดแล้ว อย่าบ่นนักเลยน่า"

     

    "ฉันเนี่ยนะหล่อที่ทำหญิงละลายมันนายต่างหาก" มาร์คส่ายหัวเบาๆ กับคำคัดค้าน  เพื่อนเขาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองหน้าตาดี ทั้งๆที่แจ็คสันเองก็มีใบหน้าที่คมคาย ตาโตแต่คมกริบกับรอยยิ้มและนิสัยที่เรียกเสียงหัวเราะให้คนที่ใกล้ชิดได้เสมอ  แล้วยิ่งแต่งตัวดีครบสูตรแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งดูดีเหมือนดาราหนังฮ่องกงไม่มีผิดแจ็คสันชอบบอกว่ามีผู้หญิงรอต่อคิวคบกับเขายาวเป็นหางว่าว แต่เขารู้ดีว่าผู้หญิงกว่าครึ่งมาทำความรู้จักเขาเพราะอยากเข้าใกล้เพื่อนสนิทเขาคนนี้ต่างหาก

     

    มาร์คเลิกต่อล้อต่อเถียงเมื่อเดินมาถึงหน้างานหญิงสาวหน้าตาดีหลายคนแต่งกายด้วยกี่เพ้าสีแดงเพลิงคอยต้อนรับแขกมีชายในชุดสูทสีดำยืนรักษาความปลอดภัยกระจายอยู่โดยรอบคุณชายต้วนยื่นการ์ดเชิญให้กับพนักงานหญิงที่อยู่ด้านหน้าสุด หญิงสาวอุทานเบาๆค้อมตัวต่ำทักทาย ส่งสร้อยข้อมือสีทองเส้นเล็กที่เป็นสัญลักษณ์สำหรับแขกพิเศษสองเส้นให้กับมาร์คแล้วผายมือเชิญทั้งคู่ให้เดินไปทางห้องแกรนด์บอลรูม มาร์คส่งสร้อยเส้นหนึ่งให้แจ็คสันสวมไว้แล้วเดินไปพร้อมกัน

     

    ห้องแกรนด์บอลรูมขนาดใหญ่โอ่โถง ถูกตกแต่งอย่างหรูหราด้วยสไตล์จีนโบราณมีสีแดงแซมทองเป็นธีมหลัก เพดานกระจกทรงโดมเผยให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน  ชั้นล่างคราคร่ำไปด้วยแขกเหรื่อแต่งกายด้วยชุดสากลบ้างสไตล์จีนบ้างแจ็คสันส่งสายตาสำรวจไปรอบๆ อย่างสนใจ นอกจากแขกและบริกรที่เดินกันขวักไขว่แล้วภายในยังเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่คุ้มกันรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาโดยเฉพาะบริเวณบันไดที่โค้งขึ้นไปยังชั้นสองทั้งสองด้านชั้นบนทางด้านขวาน่าจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านหลี่เพราะมีการคุ้มกันที่หนาแน่นทั้งด้านล่างและด้านบนส่วนสุดปลายบันไดโค้งทางซ้ายมีลักษณะเหมือนกรงนกสีทองขนาดใหญ่ที่เขายังมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


    แจ็คสันเดินตามมาร์คผ่านปิรามิดแก้วแชมเปญตรงกลางห้องไปยังโค้งบันไดด้านขวา หัวหน้าคนคุ้มกันก้าวออกมาขวางทางก่อนที่ทั้งสองคนจะถึงหน้าบันได

     

    “ขออภัยครับ จากตรงนี้ไปเป็นเขตหวงห้าม” มาร์คพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะล้วงเอาการ์ดเชิญสีทองจากด้านในสูทยื่นให้กับชายตรงหน้า

     

    “พ่อให้ฉันมาทักทายท่านหลี่ด้วยตัวเอง ท่านฝากของขวัญมาด้วย” หัวหน้าคนคุ้มกัน ก้มหัวให้มาร์คแล้วผายมือเปิดทาง แจ็คสันเดินตามขึ้นไปแต่ชายคนเดิมกลับยื่นมือออกมาขวางเขาไว้

     

    “ขออภัยครับ คนที่ขึ้นไปได้มีเพียงคุณชายต้วนเท่านั้น” มาร์คที่ก้าวขึ้นบันไดไปก่อนชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาเขา

     

    “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับมา” แจ็คสันส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้เพื่อนรักระวังตัว มาร์คพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าเข้าใจแล้วหันกลับเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ชายหนุ่มมองตามเพื่อนหายขึ้นไปชั้นบนก่อนจะถอยออกมาเพื่อหาอะไรกินอย่างที่มาร์คว่า

     

    แจ็คสันเดินสำรวจแถวบุพเฟ่บาร์ อาหารชิ้นพอคำทั้งคาวหวานถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงาม ซุ้มสำหรับเซฟมีระดับของโรงแรมมาปรุงอาหารสดๆ เลี้ยงแขกด้วยลีลาน่าตื่นตาตื่นใจแซมเป็นระยะ บริกรเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งมีและไม่มีแอลกอฮอล์อย่างไม่ขาดสาย ชายหนุ่มไม่รอช้าหยิบจานรองมาเพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งใจไว้ทันที เพียงครู่เดียวจานรองในมือค่อยๆ ถูกเติมด้วยอาหารน่าสนใจชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเต็ม

     

    “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เจอนายที่นี่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่กดดันคุ้นหูดังขึ้นใกล้ๆ แจ็คสันหันขวับไปทางต้นเสียงทันที  แล้วก็เป็นจริงตามคาด ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นจินยองในชุดสูทสีขาวล้วน กับทรงผมที่เซ็ตเสยขึ้นไปทำให้ยิ่งดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าตอนอยู่ที่แผนกวิจัย ส่วนคนที่อยู่ข้างๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจำไฝเหนือตาซ้ายสองเม็ดนั่นได้ เขาเองก็เกือบบอกไม่ได้เหมือนกันว่านั่นคือคนคนเดียวกับเจบีหัวหน้าแผนกลาดตระเวนของเขาเอง

     

    เจบีในชุดสูทสีเบอร์กันดี้สวมทับเสื้อเชิ้ตตัวในสีดำ หูที่เคยประดับด้วยจิวและห่วงแปลกๆ ตอนนี้กลายเป็นจิวสีเงินกับเพชรเม็ดเล็กเรียบหรูเรียงรายอยู่แทน ทรงผมถูกเซ็ตอย่างตั้งใจให้ยุ่งเล็กน้อยแทนที่จะเรียบแปล้เหมือนจินยอง ภาพลักษณ์ของศิลปินฮิปฮอปตอนอยู่ที่สถาบันหายไปแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มมาดเข้มไปแทน

     

    “หืม ดูเหมือนจะไม่ใช่แขกธรรมดาซะด้วยสิ ว่าแต่.. พอแต่งตัวแล้วก็ดูได้กับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย”

     

    “ฮยอง! จินยองฮยอง เจบีฮยอง มาได้ยังไงครับเนี่ย!!” แจ็คสันหุบปากที่อ้าค้างอยู่ลงได้แล้วกระซิบถาม ในใจพลันนึกถึงสิ่งที่ยูคยอมเล่าให้ฟังว่าจินยองมาจากตระกูลใหญ่ น่าจะเพราะแบบนั้นเอง

     

    “ก็ต้องได้รับเชิญแหงอยู่แล้วน่ะสิ เจบีมากับฉัน นายนั่นแหละมาได้ยังไง” จินยองขยับเข้ามาใกล้แล้วหยิบคานาเป้บนจานของเขาพร้อมกระซิบถาม แล้วพยักเพยิดไปที่สร้อยข้อมมือสีทองที่เขาสวมอยู่

     

    “ผมมากับเพื่อนครับ ตอนนี้เขาคุยกับท่านหลี่อยู่ข้างบน”

     

    “เพื่อนนายเป็นใครกันแน่ ถึงขนาดคุยกับท่านหลี่เป็นการส่วนตัวได้” เจบีเอื้อมมือมาหยิบคานาเป้เพื่อคุยกับเขาด้วยเสียงกระซิบแบบเดียวกับจินยอง

     

    “เอ่อ มาร์ค ต้วนครับฮยอง” เจบีพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจในทันทีเมื่อได้ยินนามสกุลดัง

     

    “มาเจอนายที่นี่ก็ดีแล้ว จะได้ช่วยกันทำงาน”

     

    “งาน?? งานอะไรครับฮยอง ในงานเลี้ยงเนี่ยนะครับ” น้ำเสียงจริงจังของเจบีทำให้แจ็คสันอดเหลือบสายตาสำรวจการ์ดที่ยืนคุมอยู่รอบๆ ไม่ได้

     

    “โน่นไงล่ะ งานของเรา”  จินยองพยักเพยิดขึ้นไปที่ชั้นบนทางด้านซ้าย ตรงส่วนที่เหมือนกรงนกสีทองขนาดใหญ่ แจ็คสันมองตามแต่ก็ยังมองไม่เห็นอะไรจากมุมที่เขายืนอยู่ จินยองดูเหมือนจะเข้าใจได้ว่าเขายังมองไม่เห็น จึงสะกิดให้เขาเดินตาม ทั้งสามคนขยับไปยังมุมที่เห็นด้านในกรงได้มากขึ้น

     

    ด้านในกรงเหมือนสวนหย่อมขนาดเล็ก ตรงกลางมีชิงช้าสีทองขนาดใหญ่ และสิ่งที่อยู่บนชิงช้านั้นเกือบทำให้จานรองร่วงหล่นจากมือของแจ็คสันเมื่อเขามองเห็นชัดๆ แองเจิ้ลส์ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งตระกองกอดกันอยู่บนชิงช้านั้น แองเจิ้ลส์เพศชายมีผมและปีกคู่ยักษ์สีดำสนิทส่วนแองเจิ้ลส์เพศหญิงในวงแขนมีผมเป็นลอนยาวสลวยและปีกคู่เล็กกว่าแต่เป็นสีทองเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้า ทั้งคู่ถูกจับให้แต่งองค์ทรงเครื่องราวกับเทวดานางฟ้าในเทพนิยายโบราณ  ทั้งคู่โอบกอดปลอบประโลมซึ่งกันและกันถึงแม้จะดูเต็มไปด้วยความรักแต่กลับดูยิ่งเศร้าสร้อย

     

    “นั่น.. แองเจิ้ลส์..” แจ็คสันครางออกมาเบาๆ จินยองกับเจบีพยักหน้าช้าๆ

     

    “แต่ว่าแบบนี้มันไม่ผิดกฎหมายเหรอฮะฮยอง!!”

     

    “ผิด! แต่เราทำอะไรไม่ได้” เจบีตอบเขาเบาๆ แต่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความพยายามข่มอารมณ์โกรธ

     

    “เราได้ข่าวเรื่องแองเจิ้ลส์ของท่านหลี่มาสักพักแล้ว วันนี้ได้โอกาสก็เลยว่าจะมาดูลาดเลาสักหน่อย เสียดายที่เราไม่มีเส้นสายมากพอจะหาข้อมูลให้ได้มากกว่านี้” จินยองกระซิบบอกเขาเสียงเรียบ

     

    “ถ้าพวกคุณต้องการ ผมคิดว่าผมช่วยเรื่องนั้นได้นะ” เสียงของเพื่อนเขาดังมาจากด้านหลัง จินยองกับเจบีมองไปที่ต้นเสียง ท่าทีเปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวมากขึ้น

     

    “มาร์ค มันอันตรายนะ อีกอย่างมันก็ไม่เกี่ยวกับนายด้วย ฉันไม่อยากให้นายเอาตัวเข้ามาเสี่ยง นี่มันเป็นงานของพวกเรา” แจ็คสันหันไปคุยกับเพื่อนรักที่เดินเข้ามาร่วมวงช้าๆ  

     

    “ไม่เป็นไร ฉันอยากช่วย ว่าแต่แนะนำตัวกันก่อนจะดีกว่ามั้ย ผมมาร์ค ต้วนเป็นเพื่อนของแจ็คสัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

     

    “นั่นอิมแจบอมหัวหน้าฉัน แล้วก็..”

     

    “ปาร์ค จินยอง ผมรู้จักคุณ” มาร์คยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นมือให้จินยอง จินยองยื่มมือมาจับด้วยอย่างงงๆ

     

    “ขอโทษที ผมไม่คิดว่าผมรู้จักคุณ” จินยองเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงแสดงความเฉยชา

     

    “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้อยู่แล้ว” มาร์คยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี  แจ็คสันมองหน้าเพื่อนสลับกับจินยองฮยอง วันนี้เพื่อนเขาดูกระดี้กระด้าแปลกๆ แฮะ


    “เอาเป็นว่า พวกคุณบอกผมมาว่า พวกคุณต้องการข้อมูลอะไรบ้าง” จินยองกับเจบีพยักหน้ารับแล้วเริ่มปรึกษากับมาร์คถึงข้อมูลที่ต้องการ แต่แจ็คสันกลับไม่ได้ฟัง เขาเงยหน้าขึ้นไปมองแองเจิ้ลส์สีดำกับสีทองที่กำลังตระกองกอดกันอย่างเหม่อลอย

     

    วินาทีถัดไปจากนั้นดูเหมือนเป็นภาพสโลว์โมชั่น แองเจิ้ลส์สีดำเงยหน้าขึ้นจากกลุ่มผมสีทองที่เขาซบอยู่ สายตาของเขากับแองเจิ้ลส์ประสานเข้าด้วยกันโดยบังเอิญ ทันใดนั้นเอง แองเจิ้ลส์สีดำก็ปราดมาที่ริมกรง ปีกสีดำสนิทคู่ยักษ์กางออกเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหว แต่สายตายังคงจับจ้องมาที่เขาเขม็ง ดวงตาสีดำคมกริบที่เขาแน่ใจว่าสบตาอยู่กับเขาไม่ใช่คนอื่น ครู่ถัดมาแองเจิ้ลส์สีดำก็หันกลับไปหาแองเจิ้ลส์สีทอง ประคองร่างบอบบางมาที่ริมกรง เขากระซิบบางอย่างที่ข้างหูเธอแล้วชี้ตรงมาที่ชายหนุ่ม แองเจิ้ลส์สีทองเองก็จ้องลงมาที่เขา เพียงครู่เดียวใบหน้าสวยก็นองไปด้วยน้ำตา แต่ริมฝีปากกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แล้วทั้งคู่ก็กลับไปนั่งที่ชิงช้าเหมือนเดิม แองเจิ้ลส์สีดำยังปลงปลอบประโลมแองเจิ้ลส์สีทองที่ซบอยู่กับอก ดวงตาสีดำเหลือบมองมาที่เขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันไปซบหน้าลงกับกลุ่มผมสีทองเช่นเดิม

     

    “แจ็ค! เฮ้! นายฟังอยู่รึเปล่า” มาร์คเขย่าแขนแจ็คสันเบาๆ เมื่อเห็นเพื่อนดูเหม่อลอย แจ็คสันรู้สึกตัวและมองไปรอบๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทันสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อสักครู่

     

    “ขอโทษที เหม่อไปหน่อย” แจ็คสันตอบเสียงอ่อย

     

    “เอาเป็นว่า ถ้าได้เรื่องอะไรผมจะฝากแจ็คไปให้ก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้พวกเราแยกกันก่อนจะผิดสังเกตจะดีกว่า” มาร์คแนะนำ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนที่ทั้งสองคู่จะแยกจากกัน จินยองหันมาสะกิดเขาเบาๆ

     

    “อ้อ แจ็คสัน นายอย่าสัญญามั่วซั่วทั้งๆ ที่ทำไม่ได้จะดีกว่านะ ทำให้อีกฝ่ายรอเก้อน่ะ มันไม่ดี คราวหน้าฉันจะไม่จบแค่เตือน โอเคนะ” น้ำเสียงของจินยองอ่อนโยน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นมารดที่กลางหลัง จินยองตบบ่าเขาแล้วเดินจากไปพร้อมกับเจบี มาร์คมองตามทั้งสองคนไปโดยไม่ละสายตา ส่วนแจ็คสันทวนคำพูดของจินยองอยู่ในหัว

     

    “แบมแบม...”

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Ten Ten (@ginso_graf)
อยากอ่านต่อแล้วคะ รอนะคะ