เจียเออร์ ...
เจียเออร์ ...
.
.
.
ใครน่ะ.... เดี๋ยว...
อย่าเพิ่งไป...
.
.
.
ดวงตาเรียวลืมตาตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ นอกหน้าต่างยังไม่มีสัญญาณของเช้าวันใหม่แจ็คสันเหลือบมองนาฬิกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเขายังมีเวลาอีกเกือบๆชั่วโมงก่อนเวลาที่ควรจะตื่น แต่เขาไม่รู้สึกง่วงหรืออยากนอนต่อ
ฝันนั่นอีกแล้ว... มือหนาลูบหน้าลูบตาเบาๆ เรียกสติ... มันไม่ใช่ฝันร้าย แต่เขาก็ไม่เคยชินกับมันสักทีทั้งๆ ที่เขาฝันแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ ความฝันนั่นทิ้งความรู้สึกอบอุ่นในอกกับความอาวรณ์โหยหาอย่างร้ายกาจเอาไว้พร้อมๆ กัน เหมือนว่าเขากำลังมีความสุขมากๆแล้วอยู่ดีๆ ก็ถูกพรากเอาไป เสียงที่เรียกเขาอ่อนโยน แต่ก็เว้าวอน แปลกที่เขายิ่งพยายามจดจำเสียงนั้นมากเท่าไหร่เขากลับยิ่งลืมเลือนมันไปมากเท่านั้น เหมือนกับพยายามคว้าทรายยิ่งพยายามหยุดไม่ให้ไหลออกจากมือมากเท่าไหร่ทรายทุกเม็ดยิ่งไหลร่วงออกจากมือเร็วยิ่งขึ้นเขาเคยนั่งอยู่ในสตูเป็นวันๆ ฟังเสียงคนเป็นพันๆ คน เพื่อเทียบกับเสียงที่เขาได้ยินในฝันแต่ไม่มีเสียงไหนเลยที่ทำให้เขารู้สึกแบบเดียวกัน
สมัยเด็กๆ เขาจะฝันแบบนี้นานๆ ครั้ง แต่พักหลังๆ นี่ชักจะถี่ขึ้นทุกทีเขาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ก็ได้คำตอบว่าเสียงในฝันของเขาไม่ได้มีตัวตน แต่เป็นเสียงที่สมองเขาประกอบกันขึ้นมาจากคลื่นเสียงที่เขาเคยได้ยินมันอาจจะเป็นวิธีที่จิตใต้สำนึกเขาพยายามคลายเครียดหรือจัดการกับอะไรบางอย่างความฝันที่ไร้รูปร่าง ไร้สีสัน มีเพียงสีขาวกระจ่างกับเสียงเรียกนั่น...
แจ็คสันลุกออกจากเตียงในที่สุด ไม่มีประโยชน์ที่จะนอนต่อในเมื่อเขาตื่นเต็มตามือยังคงลูบหน้าอกเป็นวงกลมเบาๆ เพื่อไล่ความรู้สึกที่ยังคงอัดแน่น ก่อนจะไปจัดการกับกิจวัตรประจำวัน
“ฮ้าาาาววว อ้าว.. เฮ้! ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง”เสียงงัวเงียดังขึ้นที่ประตูครัวขณะที่เขากำลังสาละวนกับอาหารเช้า แจ็คสันหันไปหาต้นเสียงมาร์คยืนพิงประตูด้วยหน้าตาที่ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเพิ่งตื่นนอน มีแค่ผมที่ดูยุ่งๆเหมือนจงใจ ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มปลดกระดุมเม็ดบนคอกว้างโชว์แผงอกหน้าตาที่ไม่มีรอยยับยู่ยี่หรือคราบน้ำลาย ดูแล้วเหมือนนายแบบนิตยสารแฟชั่นชุดนอนมากกว่านักศึกษาที่เพิ่งตื่นเทียบกับสภาพเขาเวลาตื่นนอนแล้วอย่างกับฟ้ากับเหว
“ถ้าสาวๆ เห็นนายสภาพนี้นะมาร์ค บอกเลยว่าแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือนี่ฉันทำบุญด้วยอะไรฟระ ถึงได้มาอยู่กับผู้ชายที่สาวๆ อยากได้กันค่อนประเทศ”มาร์คหัวเราะหึในลำคอเบาๆ กับคำแซวของคนที่หันกลับไปสาละวนกับกระทะ
“นายทำด้วยอะไรฉันไม่รู้ แต่ดูเหมือนฉันจะทำด้วยระฆังว่ะ”
“ทำไมวะ”
“ก็ได้มาอยู่กับคนเสียงดังชวนหูหนวกอย่างนายไง”ตะเกียบไม้ข้างหนึ่งลอยหวือมาจากคนที่กำลังทำอาหารเช้าโดยไม่ได้หันมามองมาร์คโยกหัวหลบแล้วคว้าตะเกียบไว้ในมือ
“อาหารเช้าจะเสร็จแล้ว เจอกันที่โต๊ะล่ะ”
“โอเค” หนุ่มหน้าหล่อโยนตะเกียบลงอ่างล้างจานอย่างแม่นยำก่อนเดินหายเข้าห้องน้ำไป
โต๊ะกินข้าวถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย เมื่อแสงธรรมชาติจากหน้าต่างเริ่มสาดส่องขนมปังปิ้ง ออมเล็ต ไส้กรอกและไข่ดาว เซ็ตอาหารเช้าแบบง่ายๆ กับกาแฟหอมฉุยมาร์คลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคนที่กำลังลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รอเขาชายหนุ่มหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาแล้วสแกนนิ้วโป้งที่มุมขวาเพื่อดาวน์โหลดข่าวสารของวันใหม่ตัวหนังสือบนกระดาษวิ่งไปมาสักพักก่อนจะหยุดลงเมื่อข้อมูลดาวน์โหลดเรียบร้อย พาดหัวข่าวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตามลำดับความสำคัญมาร์คพับหนังสือพิมพ์วางไว้ก่อนจะมาใส่ใจอาหารบนโต๊ะเริ่มจากกาแฟดำของเขาที่กำลังอุ่นได้ที่
“งานเบ๊นายเป็นไงมั่งล่ะ” มาร์คเอ่ยถามก่อนเริ่มละเลียดออมเล็ตของโปรด
“เหนื่อยโคตรอ่ะ โดนใช้ทั้งวัน จินยองฮยองนะเห็นหน้าตาใจดีขนาดนั้นแต่ดุยิ่งกว่าเสือ ใช้งานซะแทบไม่ทันหายใจ” แจ็คสันเริ่มสาธยายงานเบ๊ที่เขาเริ่มทำมาสองสามวันงานที่ทำให้เขาแทบลากสังขารกลับบ้านเกือบไม่ไหวมาถึงได้ก็หลับเป็นตายยันเช้าก่อนจะรีบออกจากบ้านแทบจะทันทีที่ตื่น ไม่ได้เจอหน้าเจอตาเพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกัน
“จินยอง??”
“อื้ม หัวหน้าแผนกวิจัยน่ะ ชื่อจินยอง” แจ็คสันเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนซี้อย่างสงสัยมาร์คไม่เคยใส่ใจมนุษย์มนาขนาดถามชื่อซ้ำมาก่อน เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาเล่าให้เพื่อนฟังมากมายมาร์คก็แค่ฟังผ่านๆจะใส่ใจก็แค่เพียงรายละเอียดสำคัญเท่านั้น
“หรือว่า... ปาร์ค จินยอง”
“ก็คงใช่ละมั้ง เห็นยูคยอมบอกว่าที่บ้านมีโรงพยาบาล นายรู้จักด้วยเหรอ”
“ก็นิดหน่อย” มาร์คตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะหันไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นกาง บังตัวเองจากคู่สนทนาถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าการกระทำแบบนั้นเสียมารยาท แต่แจ็คสันไม่ได้ใส่ใจเขาลุกออกจากโต๊ะพร้อมจานในส่วนของตัวเองที่กินเสร็จไปล้างในครัว ก่อนจะเดินเข้าไปคว้าเป้ที่แขวนอยู่ในห้องนอนแล้วกลับมานั่งอ้อยอิ่งที่โต๊ะกินข้าวมองวิวยามเช้าที่นอกหน้าต่าง
ตั้งแต่เริ่มงานเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาชีวิตเขาก็เหมือนรีบร้อนอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกเหมือนไม่ได้มีเวลานั่งสบายๆ ตอนเช้าอย่างนี้มานานแสนนาน โชคดีที่วันนี้ตื่นก่อนเวลาถึงได้มีเวลามานั่งหายใจบ้างชายหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบกับบรรยากาศเบาๆ ของยามเช้าแจ็คสันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เพื่อนบางคนคิดว่าเขาเงียบไม่เป็นแต่เขามักจะนั่งเงียบๆ เสมอเวลาใช้ความคิด เขากับมาร์คถึงได้เข้ากันได้ดีทั้งๆ ที่ดูเหมือนไม่น่าเข้ากันได้มาร์คไม่เคยรำคาญความเอะอะโวยวายของเขา และเขาก็ไม่เคยเบื่อความเงียบกับความเฉยชาของมาร์ค ทั้งคู่เข้ากันได้ดีตั้งแต่เจอกันสมัยเริ่มเรียน
เสียงนาฬิกาที่ข้อมือเตือนถึงเวลาที่จะต้องไปทำงานแจ็คสันลุกขึ้นสะพายเป้พร้อมที่จะออกจากบ้าน
“เฮ้ เดี๋ยว”มาร์ครีบพับหนังสือพิมพ์เมื่อเห็นเพื่อนกำลังจะเตรียมตัวออกจากบ้านเหมือนเขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้
“ว่า”
“วันอาทิตย์ถัดไปนายว่างรึเปล่า”
“คิดว่านะ ทำไมเหรอ” แจ็คสันนึกตารางงานกับวันหยุดในหัวคร่าวๆ
“พ่อจะให้ฉันออกงาน แล้วในโค้ดบอกว่ามันต้องมีคู่ควงไปด้วยกันหน่อยสิ”
“ทำไมไม่ชวนสาวๆ เล่า คิวยาวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“วุ่นวาย นายแหละดีแล้ว ฉันเปย์ รับรอง นายได้กินของดีเพียบ”มาร์คยิ้มเจ้าเล่ห์กับมุกเอาของกินเข้าล่อของตัวเอง
“ก็ด้ายยยย บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ได้เห็นแก่กินแค่สงสารคนไม่มีคู่ควงเฟร้ยยย”
“ตกลงตามนั้น” มาร์คโบกมือไล่เบาๆ แล้วกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านอีกรอบแจ็คสันหัวเราะ ก่อนจะเดินไปที่ประตูอย่างสบายใจ
เพราะออกจากบ้านตรงเวลาวันนี้เขาเลยไม่จำเป็นต้องปั่นหน้าตั้งเหมือนวันก่อนๆเวลาที่ตั้งเตือนไว้เป็นเวลาที่เขากะเอาไว้ให้เดินทางอย่างสบายๆ เหมือนวันนี้ แต่ติดที่เขาตื่นสายแทบทุกวันก็เลยต้องปั่นกันจนหูตูบคำขู่ของจินยองที่บอกว่าเขาจะต้องเป็นเบ๊ไปตลอดชีวิตถ้าสายอีกครั้งยังก้องอยู่ในหัวผู้ชายคนนี้ทั้งๆ ที่ดูนุ่มนิ่มนุ่มนวล แต่กลับมีอำนาจมีพลังกดดันที่แรงกล้าขนาดที่ว่าถ้าใจไม่แข็งพออาจจะเข่าอ่อนกันตรงหน้าได้เลยแต่ถึงอย่างนั้นกลับเป็นคนที่เอาใจใส่และดูแลคนอื่นเป็นอย่างดีด้วยเช่นกันเหมือนที่ยูคยอมว่า “ฮยองเป็นคนใจดี” คำพูดติดปากของยูคยอมเวลาพูดถึงจินยอง
ทั้งๆ ที่ใช้งานเขาอย่างหนักแต่มักจะมีอาหารหรือของว่างมาวางไว้ให้เขาระหว่างทำงานตอนที่ไม่รู้ตัวเสมอพร้อมกับโพสอิทห้วนๆ เช่น “กินซะ” หรือ “ให้” แปะไว้ด้านบนความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งนั้นทำให้คนที่ได้อยู่ใกล้รู้สึกนับถือเขาได้อย่างไม่ยากเย็นถึงได้เป็นหัวหน้าแผนกแม้จะอายุยังน้อย พอๆ กับเจบีหัวหน้าเขาที่เขายังไม่ได้แม้แต่จะเห็นหน้า แต่เขารู้มาว่าทั้งสองคนอายุเท่ากันและเข้ามาที่สถาบันพร้อมกัน ทั้งคู่สนิทกันแบบสุดๆ
“หวัดดีฮะปู่” กอร์ดอนเอียงหน้ามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจพยักหน้าให้นิดๆ ก่อนจะรับการ์ดไปรูดตามปกติ
“วันนี้ไม่หอบเรอะ” เสียงแหบต่ำแซวมาเบาๆ
“โธ่ ปู่ก็ มันก็ต้องมีตื่นเช้าบ้างซี๊” คนโดนแซวเกาหัวเขินๆ ตะเบ๊ะให้แล้วเดินเข้าประตูไป
แจ็คสันฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีบนยูนิไซค์แบบเดียวกับของยูคยอมที่เขาเบิกมาใช้เพราะรำคาญฮูเวอร์บอร์ดสองล้อที่เทอะทะเกินไปมือขวาล้วงหาการ์ดอย่างใจเย็นเมื่อเกือบจะถึงประตูแผนกเขาบังคับยูนิไซค์หันหน้าเข้าหาประตู แต่หางตาเห็นหลังไวๆของชายใส่แจ็กเก็ตมีฮู้ดสีดำ ที่เขารู้ว่านั่นคือเจบี เขายังคงถูกหลบหน้าเหมือนเดิมแต่เขาไม่ได้ตามหาเจบีเพื่อแก้ตัวเหมือนเวลาโดนเพื่อนๆ เข้าใจผิด ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบนักเวลาที่มีใครเข้าใจเขาผิดและมักจะเคลียร์ตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเสมอ แต่กับเจบีเท่าที่เขาได้ฟังจากคนอื่นๆวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เจบียอมรับ คือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี
สิ่งเดียวที่เขาอยากรู้คือ หัวหน้าเขาเป็นนินจาสำนักไหนเขาอยากรู้ว่าเจบีรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ตรงไหนและสามารถหลบหน้าเขาได้ทันเวลาทุกที่ ทุกครั้ง และทุกเวลา เขาไม่เคยเห็นแม้แต่เสี้ยวหน้าของผู้ชายที่ชื่ออิมแจบอมถึงจะรู้จักหน้าเพราะรูปที่แปะหราอยู่ตามที่ต่างๆ ในสถาบัน เคยเห็นแต่หลังไวๆกับเอกลักษณ์คือแจ็กเก็ตมีฮู้ดสีดำที่ยูคยอมคอยชี้ให้เขาดูเอาเป็นว่าสักวันเขาคงได้เจอ
“หวัดดีทุกคน โอ๊ะ!! บ๊อบบี้ วันนี้อยู่ด้วยเหรอฮะ”
“ก็บ๊อบบี้แก่แล้วนี่นา อยู่ในป่านานๆ จะเป็นตะคริว คนดูแลก็ม่ายยมี”เสียงหัวเราะคิกคักลอยมาจากเด็กหน้าม้าปิดตาหนาเตอะในชุดสีดำสนิทที่นอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาคิมยูคยอม จอมทะเล้นเจ้าเก่าหนังสือปกแข็งสีน้ำตาลเล่มเล็กแต่หนาหนักลอยหวือผ่านหน้าเขาไปที่โซฟาหวังทำร้ายไอ้ตัวแสบแต่ยูคยอมยื่นมือไปรับอย่างง่ายดาย
“บ๊อบบี้ ลุงก็รู้ว่าถ้าไม่ใช้ระเบิดทำอะไรผมไม่ได้ร๊อกกกก”สิ้นเสียงร๊อกกกของยูคยอม ลูกกลมๆสีดำลักษณะคุ้นตาก็ลอยหวือผ่านหน้าเขาไปเหมือนภาพสโลวโมชั่น
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!” ทั้งเขาและยูคยอมกระโดดขึ้นพร้อมกันยูคยอมที่ไวกว่าคว้าเอาลูกสีดำนั้นไปพร้อมกับมือที่กดไว้ตรงส่วนที่คิดว่าเป็นสลักระเบิด
“ปัดโธ่!!!! ของเก๊นี่นาาาลุง!!!!” ไอ้ตัวแสบโยนระเบิดปลอมทิ้งอย่างหัวเสีย
“ฮ่าๆๆๆ พวกโง่ เล่นกะใครไม่เล่น” ร่างของชายอเมริกันสูงวัยรูปร่างท้วมยืดตัวขึ้นพ้นกองหนังสือบนโต๊ะของตัวเองบ๊อบบี้สวมหมวกเบสบอลใบเก่าที่เก่าแบบเก๊าเก่าทั้งขะมุกขะมอมและขอบที่ขาดรุ่ยบางส่วน หนวดและเคราสีน้ำตาลแซมเทากันไว้ลวกๆบนใบหน้าอูมๆ ตาสีน้ำตาลอมเขียวล้ำลึกมากด้วยประสบการณ์ตามวัยบ๊อบบี้เป็นอีกคนนอกจากกอร์ดอนที่ไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มสาวเหมือนคนอื่นๆในสถาบันนี้
“โธ่ บ๊อบบี้ อย่าทำให้ใจเต้นแต่เช้าซี่”แจ็คสันที่เพิ่งตั้งสติได้เดินไปที่โต๊ะของตัวเอง เพื่อสำรวจคำขอหรืองานเบ๊ของเขาบ๊อบบี้ยักไหล่อย่างไม่สนใจ ชายแก่ในชุดเสื้อยืดเก่าๆสวมทับด้วยเสื้อเชิ๊ตลายตารางกลับไปจมลงในกองหนังสือที่ตั้งสูงเต็มโต๊ะ ยูคยอมจึงกลับไปนอนเล่นเกมบนโซฟาตามเดิม
แจ็คสันได้เจอกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ในแผนกครบทุกคนตั้งแต่วันที่สองที่เขาเริ่มทำงานยกเว้นก็แต่เจบี ทีมของเขา (ที่เขายังไม่ได้เข้าทีม) มีกันทั้งหมด 7 คน ได้แก่ เจบียูคยอม บ๊อบบี้ ไรอัน ออสริก ลิซ่า แล้วก็เขาเป็นคนสุดท้าย(ถ้าเขาได้เข้าทีมน่ะนะ) ด้วยความเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี หรืออัจฉริยะด้านความหน้าด้านของเขา ทำให้เขาพอจะพูดคุยอย่างสนิทสนมกับทุกๆ คนในแบบที่ว่าไม่มีความอึดอัดในบรรยากาศไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่คนอื่นๆ
ทีมพิทักษ์และลาดตระเวณจะไม่ค่อยได้อยู่ประจำที่แผนกทุกคนจะมีตารางลาดตระเวนตามส่วนต่างๆ ของป่าที่อยู่ไกลออกไปยกเว้นเวลาที่เจบีเรียกประชุม หรือมีเหตุด่วน มีเพียงยูคยอมที่ส่วนใหญ่จะประจำอยู่ที่สถาบันแจ็คสันไล่ดูคำขอที่ส่งถึงเขาแล้วไล่ลำดับความสำคัญในหัวก่อนจะลุกไปที่ประตูเพื่อเริ่มต้นทำงานตามแผนกต่างๆที่ส่งคำขอเข้ามา
“โชคดีนะเฮีย” เด็กโย่งที่โซฟาโบกมือหยอยๆ ให้เขาอย่างให้กำลังใจ
.
.
.
วันนี้งานเบ๊ของเขาก็ยังคงเยอะแยะมากมายเช่นเคยสถาบันนี้ทั้งใหญ่และกว้างขวางแต่คนค่อนข้างน้อย เมื่อมี “เบ๊”อย่างเขาหลายคนจึงนิยมชมชอบใน “ความสะดวก” จนเรียกใช้บริการกันอย่างไม่ขาดสายงานเล็กงานน้อยตั้งแต่ส่งเอกสาร ยกของ ทำความสะอาดหรือแม้กระทั่งฝากซื้อข้าวหรือของใช้
แจ็คสันโบกมือลาเจ้าของคำไหว้วานสุดท้ายของวันนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาบ่ายแก่ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเวลาเลิกงานเขาบังคับยูนิไซค์ตรงกลับไปที่แผนกเพื่อสแตนบายรองานอื่นๆ ที่จะเข้ามา
“เฮ้อออออ” ชายหนุ่มนั่งปุลงบนโซฟา บิดเนื้อตัวเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
“ไหวมั้ยเฮีย” ยูคยอมที่นั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะตะโกนถาม
“เฮ้ย!! สบายยย” แจ็คสันไม่ได้โกหกเพราะปกติแล้วเขาก็เป็นคนที่มีพลังค่อนข้างเหลือเฟือ อีกอย่างงานของแผนกพิทักษ์และลาดตระเวนจริงๆนั้นหนักกว่าที่เขากำลังทำอยู่มากมายนัก เขายังไม่ได้เริ่มงานจริงๆ ด้วยซ้ำแต่งานจิปาถะเล็กน้อยทั้งหลายเมื่อรวมๆ กันแล้วพอหมดวันก็เล่นเอาเขาหมดแรงได้เหมือนกัน
“บ๊อบบี้ล่ะ” สายตาคมกวาดไปรอบๆแต่ไม่เห็นชายแก่นั่งอยู่ที่โต๊ะเหมือนเมื่อเช้าจึงเอ่ยปากถาม
“ไปแล้วล่ะ” ยูคยอมตอบทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าก้มตาพิมพ์รายงานแจ็คสันจึงเอนตัวลงบนโซฟาเพื่อนอนพักเอาแรงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเตือนที่ดังลั่น
ตื๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงเตือนสั้นๆ เป็นจังหวะดังลั่นห้อง กับสัญลักษณ์สีแดงบนจอใหญ่เปล่งแสงเจิดจ้า
“อะไรน่ะ!!! เกิดอะไรขึ้น!!!!”
ยูคยอมรีบร้อนลุกขึ้นจากโต๊ะ วิ่งไปกดปุ่มที่ผนังโล่งๆ ฝั่งตรงข้ามกับตารางงานผนังสีขาวเลื่อนออกจากกัน เผยให้เห็นชั้นวางเรืองแสงสีฟ้ามากมายยุทธโปกรณ์หลากหลายชนิดบนชั้นวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบยูคยอมหยิบของสองสามอย่างก่อนหันกลับมาหาแจ็คสันที่ยังคงตกตะลึงผนังข้างหลังเลื่อนกลับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“เฮีย! ใส่นี่ไว้!” ยูคยอมยัดของสองอย่างลงในมือเขาถุงมือสีดำลักษณะเหมือนเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่นกับหลังมือที่มีลักษณะเหมือนเกราะและสิ่งที่รูปร่างเหมือนหูฟังแบบอินเอียร์สีดำมีส่วนที่ยื่นโค้งเหมือนเคียวเพื่อคล้องเกี่ยวกับใบหูแจ็คสันรีบจัดการใส่อุปกรณ์ทั้งสองอย่างโดยไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ
“ตามมา!!” เสียงตะโกนของยูคยอมดังชัดเจนทั้งๆ ที่เขาใส่อุปกรณ์ที่เหมือนกับหูฟังอุดหูเอาไว้แจ็คสันแปลกใจแต่ก็รีบกระโดดขึ้นยูนิไซค์ของเขาตามไปติดๆ ยูคยอมพาเขาตรงดิ่งไปยังแผนกวิจัยประตูสีดำสนิทเปิดอ้ารอพวกเขา ยูคยอมกระโดดลงจากยูนิไซค์แล้ววิ่งตรงดิ่งไปที่โดม เจ้าหน้าที่ในแผนกทุกคนยืนห่างจากทางเดินเขาจึงสามารถวิ่งไปได้โดยสะดวกประตูโดมเปิดกว้างสายลมพัดออกมาเหมือนครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่นี่ต่างกันตรงที่คราวนี้เขาติดตามยูคยอมมาอย่างรีบเร่ง
ยูคยอมจิ้มที่สมาร์ทริสแบนด์ของเขาสองสามครั้ง จอโฮโลแกรมก็ฉายภาพแผนที่พร้อมจุดสีแดงกระพริบถี่ๆเสียงคำรามดังแว่วมาในสายลม ยูคยอมวิ่งตรงไปยังเสียงที่ได้ยินร่างสูงโปรงในชุดสีดำลัดเลาะไปตามทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ด้วยฝีเท้าเบาหวิวแจ็คสันพยายามตามติดอย่างเต็มที่แม้ว่าบางครั้งร่างสีดำนั้นดูคล้ายจะกลืนหายไปกับสิ่งแวดล้อมรอบด้านไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงจุดเกิดเหตุ
ภาพการต่อสู้บนเนินหญ้ากว้างที่รายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ภาพชายในชุดกาวน์สามคนกำลังดึงเชือกสีดำที่รัดแองเจิ้ลส์เพศชายตรงกลางเนินนั้นไว้คนละด้านปีกสีฟ้าน้ำทะเลนั้นกางออกแผ่เต็มความกว้างราวกับจะข่มขู่เสียงคำรามที่ดังลั่นกับร่างกายที่ดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แองเจิ้ลส์ดิ้นรนสะบัดตัวด้วยความรุนแรงชายในชุดกาวน์ที่อยู่ด้านหน้าสุดใกล้กับเขาไม่อาจต้านแรงไหวจึงเสียกระเด็นออกมา
“ฮยองงงงง” เสียงยูคยอมดังขึ้นอย่างตกใจร่างสีดำรีบวิ่งเข้าไปประคองคนที่กลิ้งอยู่บนพื้น ที่เขาเพิ่งเห็นชัดถนัดตาว่าเป็นจินยองแจ็คสันปราดเข้าไปติดๆ ช่วยยูคยอมลากจินยองออกห่างจากแองเจิ้ลส์
“ฉันไม่เป็นไร!! ยูคยอม!! เร็วเข้า!!” จินยองชี้ไปยังแองเจิ้ลส์ที่กำลังดิ้นรนกับชายในชุดกาวน์สองคนที่เหลือที่เริ่มจะต้านทานแรงไม่ไหวเนื่องจากสูญเสียแรงดึงของจินยองไป ยูคยอมผละจากจินยองแล้วพุ่งเข้าใส่แองเจิ้ลส์มือล้วงเอาก้อนกลมๆ แบนๆ สีดำ ออกมาแล้วเขวี้ยงไปตรงกลาง ก้อนสีดำแผ่ออกเป็นตาข่ายคล้ายใยแมงมุมรัดตัวช่วงบนทั้งหมดของแองเจิ้ลส์ยกเว้นปีกที่แผ่กว้างปลายอีกด้านหนึ่งรวมเป็นเส้นเดียวอยู่ในมือของยูคยอม
“เฮียยยย” แจ็คสันวิ่งเข้าหาตามเสียงเรียก ยูคยอมยัดปลายเชือกเส้นนั้นลงในมือเขา
“ดึงลงให้ต่ำที่สุด!!!! เอาให้สุดแรง!!!!” ยูคยอมตะโกน แจ็คสันพันปลายเชือกเข้ากับข้อมือและแขนเพื่อเพิ่มความมั่นคงขาแกร่งกางออกกว้างแล้วทิ้งน้ำหนักย่อตัวลงต่ำสุดพร้อมดึงเชือกที่อยู่ในมือแรงต้านจากอีกฝั่งที่กำลังดิ้นรนเล่นเอาทั้งแขนทั้งตัวของเขาสั่นกึก แจ็คสันย่อตัวลงต่ำอีกแล้วทิ้งน้ำหนักตัวกดลงบนเชือกสมาธิทั้งหมดของเขาพุ่งไปที่เชือกจึงไม่ทันเห็นยูคยอมที่ตีลังกาสูงข้ามหัวแองเจิ้ลส์ไปอยู่ด้านหลังมือควานเอาหลอดเล็กๆที่เรียงรายอยู่บนเข็มขัดขึ้นจ่อปาก ก่อนจะเป่าลูกดอกเล็กจิ๋วคล้ายเข็มเข้าที่โคนปีกทั้งสองข้าง
ปีกสีฟ้าน้ำทะเลที่แผ่ออกกว้างนั้นตกพับลงอย่างไร้เรี่ยวแรงยูคยอมหยิบหลอดใหม่ขึ้นจ่อปากตามทันที เขาเป่าลูกดอกเข้าที่กลางหลังบริเวณกระดูกสันหลังอย่างแม่นยำร่างกำยำที่กำลังดิ้นรนสิ้นฤทธิ์ร่วงผล็อยลงกับพื้น ชายสามคนที่กำลังดึงเชือกสุดแรงหน้าคะมำตามแรงต้านที่หยุดไปดื้อๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นด้วยอาการหอบฮั่กเหมือนกันทั้งสามคน แจ็คสันถอดสแนปแบ็คออกเพื่อเช็ดเหงื่อที่ไหลเป็นน้ำบนหน้าผากก่อนจะสะบัดผมแล้วใส่กลับไปตามเดิม
“เกิดอะไรขึ้นฮะ จินยองฮยอง”เขาหันไปถามชายที่ยืนอยู่ด้านหลังแต่จินยองกลับหันไปทางต้นไม้ใกล้ๆ
“เพิร์ล เรียบร้อยแล้ว” แจ็คสันมองตามไปยังทิศเดียวกันปีกสีชมพูไข่มุกขยับเบาๆ อยู่หลังต้นไม้ เขาไม่สังเกตเห็นตอนแรกเพราะมัวแต่พุ่งสมาธิไปที่เหตุการณ์ตรงหน้ายูคยอมไล่เก็บเชือกออกจากร่างที่สลบไสลอยู่บนเนิน แองเจิ้ลส์เพศหญิงผมสีชมพูกับปีกสีชมพูไข่มุกเหลือบระยับค่อยๆโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ ดวงตาสีแดงมีน้ำตาคลอหน่วยเพิร์ลที่จินยองเรียกเดินตรงไปหาแองเจิ้ลส์ปีกสีฟ้าน้ำทะเลที่นอนอยู่กลางเนินยูคยอมกับอีกสองคนที่เหลือเดินมารวมกลุ่มกับเขาเงียบๆ
เพิร์ลคุกเข่าลง มือเล็กลูบหน้าแองเจิ้ลส์ที่นอนสลบอยู่ด้วยความรักใคร่ก่อนจะอุ้มร่างที่ใหญ่กว่าตนทะยานขึ้นไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆแล้วหายไปบนนั้น แจ็คสันอ้าปากค้าง เขารู้ว่าแองเจิ้ลส์มีพลังมหาศาลก็จริงแต่ก็ไม่คิดว่าจะยกแองเจิ้ลส์อีกคนที่รูปร่างต่างกันขนาดนั้นลอยขึ้นไปได้สักพักเพิร์ลก็ลงมาจากต้นไม้ ร่างบอบบางกระพือปีกเบาๆ ร่อนลงตรงหน้าจินยองแล้วพยักหน้าน้อยๆจินยองนำคณะทั้งหมดเดินกลับไปที่แล็บ พร้อมกับเพิร์ลที่เดินตามไปด้วยโดยมีคณะดึงเชือกทั้งสี่คนตามมาติดๆ
เมื่อมาถึงแล็บชายสองคนในคณะดึงเชือกก็พาเพิร์ลแยกออกไปอีกทาง ส่วนแจ็คสันกับยูคยอมเดินตามจินยองไปที่ห้องส่วนตัว
“ขอบใจนะ ยูคยอม แจ็คสัน” จินยองยิ้มให้ทั้งสองคนที่นั่งลงบนโซฟาในห้องสีขาวที่ดูเหมือนคลินิคเล็กๆผสมกับห้องทำงาน
“ผมเคยได้ยินมาว่าแองเจิ้ลส์ที่อยู่ทีสถาบันยอมอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจไม่ใช่เหรอฮะฮยอง แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะฮะ”แจ็คสันเปิดประเด็นที่เขาสงสัยอย่างไม่ลังเล
“เพราะความสมัครใจ กับสันชาติญาณมันไม่ได้ไปด้วยกันเสมอน่ะสิ”เสียงทุ้มอธิบายอย่างใจเย็น ยูคยอมหยิบเกมของเขาขึ้นมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ
“ตอนนี้เป็นช่วงเซนส์ซิทีฟน่ะ แต่เราจำเป็นต้องพาเพิร์ลมาตรวจ เพราะเพิร์ลกำลังตั้งท้อง!”น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดของจินยองชวนให้อมยิ้มยูคยอมที่กำลังเล่นเกมเหมือนไม่ได้ใส่ใจฟังก็ยิ้มกว้างตามไปด้วย
“แองเจิ้ลส์ที่กำลังตั้งท้องน่ะส่วนใหญ่ “เมท” จะไม่ยอมอยู่ห่างจากกันเลยแต่เราจำเป็นต้องแยกเพิร์ลออกมา เพื่อตรวจอะไรหลายๆ อย่าง โฮเซ่ก็เลยอาละวาดอย่างที่เห็นแต่ก็นั่นแหละไม่ว่าแองเจิ้ลส์จะมีจิตใจที่ยอมรับและยินยอมแค่ไหนก็สู้สันชาติญาณไม่ได้อยู่ดี อย่าลืมว่าถึงพวกเขาจะมีรูปร่างและสติปัญญาเหมือนมนุษย์แต่พวกเขาก็เหมือนสัตว์ป่าดีๆ นั่นเองแหละ”
“นั่นรูปของแองเจิ้ลส์ในสถาบันเหรอฮยอง” แจ็คสันชี้ไปที่รูปแองเจิ้ลส์หกคนที่มีสีสันต่างๆกันที่ติดอยู่บนกำแพงใกล้โต๊ะทำงานของจินยองแองเจิ้ลส์สีชมพูที่เขารู้จักแล้วว่าคือเพิร์ลกับแองเจิ้ลส์สีฟ้าน้ำทะเลที่จินยองเรียกว่าโฮเซ่ แองเจิ้ลส์สีน้ำตาลทองกับน้ำเงินเข้มที่เขาเห็นวันแรกแล้วยังมีแองเจิ้ลส์เพศชายอีกสองคนที่เขาไม่เคยเห็น คนหนึ่งปีกสีแดงสลับส้ม กับอีกคนปีกสีน้ำตาลปลายสีเขียวเข้มดูสวยแบบแปลกๆ
“ใช่แล้ว ปีกสีน้ำตาลทองนั่นการ์เน็ท ส่วนสีน้ำเงินคือแซฟไฟร์ ปีกสีแดงนั่นเมเปิ้ล ส่วนสีน้ำตาลปลายเขียวที่อยู่ข้างๆนั่นคือไพน์ แล้วก็เพิร์ลกับโฮเซ่นายคงรู้แล้วทั้งหมดนั่นคือแองเจิ้ลส์สามคู่ของสถาบัน”จินยองชี้ให้แจ็คสันดูพร้อมบอกชื่อทีละคน
“สามคู่??? หมายความว่าเมเปิ้ลกับไพน์นั่นก็เป็นเมทกันเหรอฮะฮยอง”
“ใช่สิ”
“ตะ แต่ว่า แบบว่าผู้ชายทั้งสองคน....” จินยองมองหน้าเขาแล้วหัวเราะ
“รูปร่างทางกายภาพภายนอกน่ะไม่เกี่ยวข้องกับการจับคู่ของแองเจิ้ลส์หรอกแจ็คสันเพราะแองเจิ้ลส์เป็นพวกสมบูรณ์เพศ มีทั้งสองเพศในคนเดียว แองเจิ้ลส์หนึ่งคนจะจับคู่เพียงครั้งเดียวแล้วอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิตเมท ของแองเจิ้ลส์จะเกิดมาเพื่อกันและกันเท่านั้น” จินยองมองภาพแองเจิ้ลส์บนกำแพงด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“โรแมนติกดีใช่มั้ยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแองเจิ้ลส์ที่ผมเคยเห็นที่แองเจิ้ลส์สเปซล่ะฮะฮยอง ผมเห็นเขาอยู่คนเดียวตลอดเวลาหรือว่ายังไม่ได้เมทฮะ” แจ็คสันนึกถึงแองเจิ้ลส์ที่เขาเคยเห็นผ่านกระจกกั้นตอนเด็กๆงดงามแต่ก็ดูเย็นชา จินยองหันกลับมามองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“ถ้านายยังอยู่ทั้งๆ ที่อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตนายไม่อยู่แล้วนายจะเป็นยังไง” จินยองถามเขาเรียบๆ
“ก็คง.. ทรมาน.. ”
“ในกรณีของแองเจิ้ลส์มันมากกว่านั้น เมทของแองเจิ้ลส์ผูกพันกันลึกซึ้งถึงระดับจิตวิญญาณหัวใจสองดวงจะไขว่คว้าหากันตลอดเวลา ถ้าใครคนหนึ่งตายลง อีกคนจะค่อยๆอ่อนแอและตายตามไปอย่างช่วยไม่ได้” จินยองถอนหายใจเบาๆ
“ฉันพยายามคัดค้านพยายามให้เขายกเลิกแองเจิ้ลส์สเปซหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผลแองเจิ้ลส์ที่อยู่ที่นั่น เป็นแองเจิ้ลส์ที่เมทของเขาตายไปตั้งแต่ยุคล่าแองเจิ้ลส์ครั้งใหญ่สถาบันช่วยให้เขารอดตายด้วยวิทยาการล่าสุดที่เรามี ตอนนั้นที่เราพยายามช่วยเพราะคิดว่าแองเจิ้ลส์ที่ขาดเมทจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่เราคิดผิด ตอนนี้เหมือนกับว่าเรากักขังเขาไว้ในร่างกายที่ไร้ซึ่งวิญญาณรัฐบาลขอตัวเขาไปจากเราเพื่อสร้างแองเจิ้ลส์สเปซให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสแองเจิ้ลส์เราคิดว่าสิ่งนั้นจะช่วยเขาแต่กลับกลายเป็นความผิดร้ายแรงที่สุดที่เราเคยทำมา”
ความเงียบที่หนักอึ้งลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศแจ็คสันหวนคิดถึงแองเจิ้ลส์ที่แสนเย็นชาที่เขาหลงใหล แองเจิ้ลส์ที่สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตเขาปีกสีมรกตซีดๆ นั้นยังคงเด่นอยู่ในความทรงจำ แต่ตอนนี้เมื่อรู้ความจริง เขาได้เห็นความเศร้าสร้อยแทรกตัวอยู่ในความเย็นชานั้นในทุกอณู
“นายไม่รีบกลับรึไง ดึกแล้วนะ” เสียงของจินยองเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์นาฬิกาในข้อมือบอกเวลาสองทุ่มกว่าๆ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ในขณะที่เขาสนใจแต่เรื่องของแองเจิ้ลส์แจ็คสันมองไปรอบๆ หาเพื่อนร่วมงาน แต่จินยองบอกว่ายูคยอมขอตัวออกไปตั้งนานแล้วระหว่างที่เรากำลังคุยกัน
แจ็คสันขอตัวกลับ พอพ้นจากแผนกวิจัยที่สว่างเท่ากันตลอดทั้งวันทางเดินโดยรอบก็มืดมิดไปถนัดตา มีเพียงแสงไฟสีเหลือนวลตามทางเดินเป็นระยะๆถึงแม้คนในสถาบันจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมีคนทำงานกับเกือบตลอดคืนแต่ภายในสถาบันกลับเลือกให้แสงธรรมชาติมากกว่าจะเปิดไฟสว่างทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนเหมือนที่อื่นแจ็คสันกลับมาเก็บข้าวของของเขาที่แผนก แล้วจึงเดินออกจากประตูเรื่องที่จินยองเล่าทำเอาร่างกายของเขาหนักอึ้ง เขาจึงยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าประตูแทนที่จะรีบขี่ยูนิไซค์ออกไปเหมือนเคย
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเพลงแผ่วเบาลอยแว่วมา แจ็คสันขนลุกซู่แต่ก็พยายามเงี่ยหูฟัง
“ใครมาร้องเพลงป่านนี้ ผีรึเปล่าวะ” ชายชาตรีรำพึงกับตัวเองเบาๆปลอบใจสั่นๆ ของตัวเอง ขาแกร่งที่แอบสั่นนิดๆ กลับก้าวไปทางต้นเสียงที่เขาได้ยินไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนกลัวผีแบบสุดๆ แจ็คสันย้อนไปถึงริมกำแพงจนเห็นทางเดินเล็กๆ เลียบไปกับกำแพง ทางเดินที่เขาไม่เคยสังเกตเห็น
ทางเดินเล็กๆ นำไปยังอุโมงค์แก้วคล้ายๆ กับทางไปโดมใหญ่ประตูทั้งสองฟากของอุโมงค์เปิดอยู่ เสียงที่เขาได้ยินดังแว่วชัดเจนยิ่งขึ้น ที่น่าแปลกคือมันเป็นทำนองเพลงที่เขาคุ้นเคยเสียงที่เขาฟังชัดแล้วว่าไม่ใช่เสียงร้อง แต่เป็นเหมือนฮัมเพลงเอามากกว่าขาเขายังพาก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดทั้งๆ ที่ใจป๊อดๆ ของเขาบอกว่าอยากกลับบ้านใจจะขาดอุโมงแก้วพาเขามาถึงโดมกระจกที่มีขนาดเล็กกว่าโดมแองเจิ้ลส์ของจินยองอยู่มากโขแต่บรรยากาศภายในไม่ค่อยต่างกันมากนัก ยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่มากมาย คล้ายๆกัน
แจ็คสันเดินลึกเข้าไป แต่แล้วเขาก็พบลูกกรงสีดำสนิทกั้นพื้นที่ด้านหน้าเขาเป็นแนวยาวไปตลอดเสียงเพลงที่เขาได้ยินเงียบเสียงลงไปแล้วแจ็คสันพยายามเพ่งมองหาต้นเสียงเท่าที่เขาจำได้ในความมืดมิด ของโดมที่ไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงจากพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องลอดผ่านต้นไม้ใหญ่เป็นลำแสงสีขาวกระจ่าง
ที่สุดปลายของลำแสงนั่นมีร่างหนึ่งกำลังยืนเงยหน้ามองดูพระจันทร์ผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับชุดสีขาวกับผิวที่ขาวซีดจนแทบจะกลืนเป็นสีเดียวกัน มีเพียงริมฝีปากอิ่มที่ออกชมพูระเรื่อทั้งๆ ที่ร่างนั้นอยู่ไกลออกไป แต่สายตาสั้นๆของเขากลับเหมือนซูมภาพของร่างนั้นเข้ามาใกล้จนแทบชิดลูกตา
.
.
“เด็กผู้ชาย..... ”
:
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in