เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[JackBam] Angels /GOT7 FanFictionChunari_CJ
Chapter 2 : แองเจิ้ลส์
  • .

    .

             “โว้วววววววววว” คำอุทานแรกออกจากปากแจ็คสันโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงจะพอจินตนาการภายในตัวตึกได้บ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะอลังการขนาดนี้ บรรยากาศคล้ายๆ กับแองเจิ้ลส์สเปซที่แม่เขาเคยพาไปตอนเด็กๆ แต่โอ่โถงกว่ามากนัก มองจากภายนอกอาคารสูงเกือบเท่าตึกสามชั้น แต่เมื่อเข้ามายังโถงทางเดินภายในกลับมีชั้นเดียวสูงขึ้นไปจรดเพดาน แสงธรรมชาติที่ถูกปรับผ่านกระจกกรองจนขาวกระจ่างเกือบเหมือนแสงประดิษฐ์ หลังคากระจกใสจนมองเห็นท้องฟ้าที่เขารู้ว่ามันเป็นกระจกพิเศษเพราะเวลาที่เขามองลงมาจากตึกสูง เขาไม่สามารถมองทะลุหลังคาเข้ามาได้แต่อย่างใด


    “พี่ใช้นี่เป็นใช่มั้ย” เสียงสูงๆ ของยูคยอมดึงเขาออกจากภวังค์  สภาพอ้าปากค้างของเขาคงน่าขำเพราะเด็กหนุ่มยิ้มกว้างใส่เขาเหมือนกำลังพยายามกลั้นหัวเราะเล็กๆ  เจ้าตัวกำลังยืนอยู่บนยูนิไซค์ล้อเดียวที่มีแป้นเหยียบยื่นออกมาทั้งสองข้าง มือยังถือแก้วกาแฟส่วนอีกมือชี้ไปยังยานพาหนะใหม่ของเขา ฮูเวอร์บอร์ดสองล้อแบบมีแฮนด์ยื่นขึ้นมาตรงกลาง เหมือนยานพาหนะภายในอาคารที่ใช้กันทั่วไป


    “ก็เป็นอยู่หรอก แต่เดินเอาไม่ดีกว่าเหรอ” นิสัยไม่ค่อยชอบใช้เครื่องอำนวยความสะดวกของเขามันออกมาแทบทุกที่ทุกเวลา เขามันเป็นคนประเภทเชื่อมั่นในกำลังของมนุษย์มากกว่าเทคโนโลยีซะด้วยสิ


    “เชื่อเหอะน่า อยู่ที่นี่ พี่มีเรื่องให้ออกแรงเยอะกว่าเดินถมเถไป” พูดจบยูคยอมก็บังคับยูนิไซค์ล้อเดียวของเขานำหน้าไป แจ็คสันกระโดดขึ้นฮูเวอร์บอร์ดสองล้อของเขาอย่างไม่มีทางเลือก แล้วทำความเร็วตีตื้นขึ้นไปจนทัน เด็กโย่งยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี ท่าทางการบังคับยูนิไซค์ด้วยขายาวๆ กับกางเกงหนังนั่นเท่จนเขาแอบอิจฉาเล็กๆ ถึงเขาจะมั่นใจว่าตัวเองเท่ไม่แพ้ใครก็เถอะ แต่เรื่องขานี่เขาแอบคิดว่ามันสั้นไปนี๊ดดด นิดเดียวจริงๆ


    “แผนกของเราอยู่ท้ายตึกโน่นเลยล่ะ ขืนเดินไปก็ไม่ต้องทำงานพอดี ที่นี่น่ะกว้างอย่างกับอะไรดี แต่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ สถาบันไม่ค่อยรับคนเพิ่ม เอาเงินไปลงกับเรื่องพิทักษ์และวิจัยซะมากกว่า ก็อย่างที่รู้ๆ นั่นแหละ พี่เข้ามาได้เนี่ยก็แสดงว่าเจ๋งพอตัวละมั้ง” 


    แจ็คสันฟังเสียงเจื้อยแจ้วของยูคยอมจนถึงประโยคสุดท้ายทำเอาหัวใจเขาพองโตขึ้นอย่างอดไม่ได้ ความทุ่มเทฝึกทักษะหลายๆ อย่างเพิ่ม เพื่อกรอกลงในใบสมัครของเขาดูท่าจะเห็นผล ไม่ใช่อย่างที่มาร์คบอกว่าสถาบันรับเขา เพราะสงสารกลัวเขาเรียนไม่จบ


    ทั้งสองบังคับยานพาหนะตามกันมาเงียบๆ จนกระทั่งยูคยอมชะลอความเร็ว เมื่อเห็นกำแพงที่ปลายสายตา ไม่เชิงกำแพงละมั้งน่าจะเป็นกระจกชนิดเดียวกับบนเพดานซะมากกว่า เพราะเมื่อมองดูดีๆ แล้วเขาสามารถมองเห็นขอบของโดมกระจกที่อยู่ด้านนอกได้อย่างชัดเจน แบบนี้นี่เองคนในนี้ถึงไม่รู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่มองจากข้างนอกแล้วดูเหมือนแค่อาคารทรงสี่เหลี่ยมปิดทึบไม่มีกระจกหรือหน้าต่าง


    ทั้งสองหยุดลงตรงหน้าประตูที่มีป้ายสีดำกับตัวหนังสือสีเงิน “แผนกพิทักษ์และลาดตระเวน” ยูคยอมยังคงยืนทรงตัวอยู่บนยูนิไซค์แต่ดึงเอาการ์ดสีดำของเขาออกมาแตะลงบนแผงสี่เหลี่ยมสีดำด้านขวา  เสียงตื้ดเบาๆ พร้อมกับไฟสีแดงที่กระพริบเปลี่ยนเป็นสีเขียว


    “ไม่อยู่แฮะ” เสียงของยูคยอมเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง


    ภายในให้บรรยากาศเหมือนฐานบัญชาการอะไรสักอย่างมากกว่าสถานที่ทำงาน ผนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดจากสถานที่หลายๆ แห่ง เหมือนกับว่าผนังด้านนั้นทั้งหมดเป็นจอขนาดใหญ่ ถัดมาจากจอเป็นโต๊ะตัวยาวกินพื้นที่ฝั่งหนึ่งของห้อง บนโต๊ะมีเอกสารวางอยู่กระจัดกระจาย แผนที่ทั้งแบบอนาล็อกและจอ GPS ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง รอบๆ โต๊ะมี เก้าอี้ที่ว่างเปล่า 7 ตัว ผนังอีกด้านเป็นตารางเวลาระบุหน้าที่ เหมือนตารางเฝ้ายาม กับของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงกระดานปาเป้า อีกฝั่งของห้องเหมือนจะถูกแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยโต๊ะ 7 ตัวกับบรรยากาศของแต่ละโต๊ะที่ตกแต่งไว้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ยกเว้นเพียงโต๊ะตัวสุดท้ายที่ดูว่างเปล่า ตรงกลางระหว่างสองฝั่งของห้องที่กว้างขวาง มีชุดโต๊ะกาแฟและโซฟาที่ดูท่าทางจะนั่งสบายสุดๆ ตั้งอยู่ 1 ชุด แจ็คสันกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ อย่างสนใจ

    “ท่าทางพี่จะโดนเกลียดขี้หน้าซะแล้วล่ะ”

    “ว่าไงนะ”

    “ก็นี่ไง” ยูคยอมยื่นแผ่นกระดาษโพสอิทเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า ฉันยกให้นาย ให้เขาดู

    “ท่าทางเจบีฮยองจะโกรธน่าดู ฮยองไม่ชอบคนโกหกกับพวกไม่มีระเบียบวินัยสุดๆ เลยล่ะ”

    “เจบีฮยองที่นายว่า นี่ใช่.. หัวหน้าของเรารึเปล่า” แจ็คสันกลั้นใจถาม ใจเต้นตุ๊บๆ กับหลังที่แอบเกร็งเหมือนจะรอรับบาทาของใครสักคน

    “แหงอยู่แล้ว จะเป็นใครไปได้อีกนอกจาก พยัคฆ์ร้ายอิมแจบอม อัจฉริยะหัวหน้าหน่วยพิทักษ์และลาดตระเวนของสถาบัน ACRI” ยูคยอมตอบมาด้วยเสียงฉะฉานพร้อมกับทำคางยื่น


    แจ็คสันไม่รู้ว่าท่าทางนั้นหมายถึงอะไรแต่ก็อดขำไม่ได้ เขาเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าเขากำลังโดนหัวหน้าของตัวเองเขม่นถึงขนาดไม่อยากเจอหน้า ทำให้อยู่ในอารมณ์ขำไม่ออก


    “นายว่า.. ฉันจะโดนไล่ออกมั้ย” เสียงจ๋อยๆ ทำให้ยูคยอมเลิกทำคางยื่นแล้วหันกลับมามองแจ็คสันทิ้งที่ตัวลงบนโซฟา

    “นี่พี่ไม่ได้อ่านสัญญาหรอกเหรอ”


    “สัญญา?? ” แจ็คสันอยากจะเอาอะไรสักอย่างฟาดหัวตัวเองที่โชว์ความเด๋อเป็นครั้งที่ร้อยแปดของวัน นับว่าวันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกล้มเหลวที่สุดในชีวิต เขายอมรับว่าไม่ได้อ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วนนัก เพราะอารมณ์ดีใจแบบให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น เขาจึงได้เซ็นสัญญาแล้วส่งกลับภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้เอกสารตอบรับ


    “ก็สัญญาเข้าฝึกงานที่ให้เซ็นตอบกลับมาไง ในสัญญาระบุไว้อยู่แล้วว่าพี่ต้องฝึกงานให้ครบ 3 เดือน แล้วก็ต้องมาทำงานที่นี่เลย ที่นี่น่ะนะ เข้าแล้ว ออกยากนะจะบอกให้”


    “ว่าไงนะ!!!! ฝึกแล้วทำงานต่อเลย!!!!!!” แจ็คสันกระเด้งตัวขึ้นมาเขย่ายูคยอมที่นั่งอยู่บนพนักโซฟา


    “หรือว่า.. พี่ไม่อยากทำงานที่นี่เหรอ แล้วพี่ยื่นฝึกงานทำไมกันล่ะ” ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าม้าหนาเตอะที่บังอยู่เขาคงได้เห็นคิ้วของยูคยอมขมวดเข้าหากัน


    “ใครว่าเล่า!!! นี่มันดีสุดๆๆๆๆๆๆๆ ไปเลยต่างหากก โว้วววววว สุดยอดเลยยย ได้งานด้วยยยย” แจ็คสันเอามืออุดปากเพราะเขาแทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ แค่ได้ฝึกงานก็ว่าโชคดีสุดๆ แล้ว นี่เขายังได้ทำงานที่นี่เลยอีกต่างหาก เหมือนฝันชัดๆ เลย  ขาเขา กระโดดอยู่กับที่ย้ำๆ ด้วยความดีใจสุดขีด


    “เอ้อ ลืมไป ก็หัวหน้า....” แจ็คสันที่เพิ่งนึกเรื่องที่โดนเขม่นได้อีกครั้งกลับมานั่งจ๋อยที่โซฟาตามเดิม

    “ไม่ต้องห่วงน่า แค่ทำตัวดีๆ เดี๋ยวเจบีฮยองก็หายโกรธเองแหละ ผมดูแล้วพี่ก็ท่าทางจะไม่ใช่คนเหลาะแหละอะไร แค่เซ่อนิดๆ โง่หน่อยๆ แล้วก็สะเพร่าอีกตี๊ดนึงเท่านั้นเอง”  นี่ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งเจอกันแถมยังเป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานเขาคงเขกหัวยูคยอมไปโป๊กใหญ่

    “เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะแนะนำสถานที่ให้พี่ก็แล้วกัน เพราะยังไงวันนี้พี่ก็ต้องตัวติดกับผมอยู่แล้ว อ้อ ใช่แล้ว การ์ดของพี่น่ะ ห้ามลืมอีกนะ การ์ดนั่นเป็นทุกอย่างในนี้เลย ทั้งคีย์การ์ด ยืนยันตัวตน เงินเดือนก็อยู่ในนั้นด้วยนะจะบอกให้”


    “ห๊ะ ถ้าสำคัญขนาดนั้น ทำไมในเอกสารถึงไม่ได้ระบุไว้ล่ะ” แจ็คสันเกาหัวแกรกๆ ผ่านสแน็ปแบ็ค ก็เห็นแนบมาเฉยๆ ใครจะไปรู้ฟระ

    “บททดสอบล่ะมั้ง” ยูคยอมยักไหล่

    “งั้นก็สอบตกล่ะสิเนี่ย” จากที่จ๋อยอยู่แล้ว แจ็คสันยิ่งคอตกลงไปอีก ตัวเขาแทบจะหดเหลือสองนิ้ว

    “เอาน่า อย่าคิดมากเลย ไปดูรอบๆ กันดีกว่า” ยูคยอมตบไหล่เขาเบาๆ


    ยูคยอมพาเขาดูรอบๆ และทักทายคนจากแผนกอื่นๆ และก็เป็นจริงอย่างที่ยูคยอมว่าคือแทบทุกคนรู้จักเขากันหมด เมื่อเขาแนะนำตัวว่าเป็นเด็กฝึกงานที่ชื่อแจ็คสันหวัง มักจะตามมาด้วยประโยค เด็กฝึกในตำนาน ตอบกลับมาแทบทุกครั้ง จนเขาแปลกใจว่าตัวเองไปป๊อปปูล่าเอาตอนไหน ยูคยอมยังพาเขาไปดูโรงอาหาร ที่สามารถจ่ายด้วยเงินที่อยู่ในการ์ด โรงอาหารของฝั่งสถาบันจะมีเซ็ตอาหารแต่ละวันไม่ซ้ำกัน แต่ถ้าใครไม่อยาก หรืออยากกินอะไรแปลกๆ กว่านี้ก็สามารถขึ้นไปที่ตึกใหญ่ที่มีส่วนของห้างสรรพสินค้าได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับกาแฟของยูคยอมที่เขาเพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่กาแฟแต่เป็นไอซ์ช็อคโก้ที่ยูคยอมออกไปซื้อกับร้านประจำบนตึก ก่อนจะกลับมาเจอเขาที่หน้าสถาบัน


    หลังจากเลือกเซ็ตอาหารเติมพลัง (ที่ยูคยอมออกให้ก่อน) เรียบร้อยแล้ว ยูคยอมก็พาเขามาถึงอีกแผนก ป้ายสีดำด้านหน้าบอกให้รู้ว่านี่เป็น “แผนกไอที” คีย์การ์ดสีดำทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง


    “ฮ้ายยยยยย ว่างายยยยย เด็กฝึกในตำนาน ทำเรื่องตั้งแต่วันแรกเลยนะนาย” เสียงทักทายที่ฟังดูคุ้นๆ ดังมาจากด้านหลังจอขนาดยักษ์ที่มีอีกสองจอต่อไปด้านข้าง ในลักษณะโค้งเป็นครึ่งวงกลมเล็กๆ บังคนที่อยู่หน้าจอจนมิด


    “พี่เค้าแก่กว่าฮยองนา แอบเล่นเกมอีกแล้วสิท่า” ยูคยอมเดินอ้อมจอยักษ์นั่นไปหาคนที่อยู่ข้างหน้า แจ็คสันยังยืนงงงวยกับแผนกไอทีที่เหมือนดินแดนลับแลสำหรับคนอย่างเขา ห้องที่เต็มไปด้วยจอและสายไฟ กับไฟกระพริบจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิสก์เต็มไปหมด


    “คนอย่างชเวยองแจไม่เคยต้องแอบเฟร้ยย อยากทำอะไรก็ทำได้สบายบรื๋ออออ ฮ่าๆๆ” เสียงพูดที่เหน่อนิดๆ กับเสียงหัวเราะใสๆ แบบมีเอกลักษณ์ลอยมาจากอีกด้านของจอ


    “เพราะไม่แอบก็เลยต้องมาหมกอยู่นี่น่ะสิ พี่แจ็คสันมานี่สิฮะ” ยูคยอมกวักมือเรียก แจ็คสันจึงเดินอ้อมจอขนาดยักษ์เข้าไปตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มผมสีทองแดง ตาเล็กๆกับจมูกเล็กๆ เหมือนตัวนากที่เขาเคยเห็นในสวนสัตว์ปรากฏแก่สายตา


    “พี่แจ็คสันนี่ยองแจฮยอง หัวหน้าแผนกไอที แผนกไอทีกับเราต้องทำงานด้วยกันตลอดเพราะงั้นสนิทกันไว้นะฮะ”

    “ทำไมนายถึงเรียกยองแจฮยอง เจบีฮยอง แต่กับฉันเป็นพี่แจ็คสันล่ะ” แจ็คสันโพล่งคำถามที่สงสัยมาตั้งแต่เช้า

    “อืม ก็พวกเราเป็นคนเกาหลีนี่ฮะ คำว่าฮยองก็เหมือนคำว่าพี่นั่นแหละ นอกจากพวกเราแล้วก็ยังมีจินยองฮยองอีกคน พี่ไม่ใช่คนเกาหลีผมเรียกพี่ก็โอเคนี่นา หรืออยากจะให้เรียกอย่างอื่นกันล่ะ”

    “เรียกเฮียแจ็คก็ได้นะ ถ้านายไม่ถือว่าฉันเป็นรุ่นน้องล่ะก็ จะได้ดูสนิทกันไง”

    “โอเคฮะ เฮียแจ็ค” ยูคยอมพยักหน้าน้อยๆ

    “อะแฮ่มมๆๆ จะยืนจีบกันข้ามหัวฉันอีกนานม้ายยย” ชเวยองแจโบกมือเรียกร้องความสนใจ

    “อ๊ะ โทษที ฉันหวังแจ็คสัน มาฝึกงานวันแรกฝากตัวด้วย” แจ็คสันยื่นมือไปจับกับมือที่เขารู้สึกว่านุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิง


    “ฉันชเวยองแจ หรือ Ars แฮ็คเกอร์อัจฉริยะ หัวหน้าแผนกไอทียินดีที่ได้รู้จัก แล้วอย่าลืมการ์ดอีกล่ะนายน่ะ” แจ็คสันชะงัก แล้วจึงนึกขึ้นได้ อ้อ ยองแจคนนี้น่ะเองที่ยูคยอมคุยด้วยเมื่อเช้า


    “ไม่มีวันเลยล่ะ” แจ็คสันทำท่าตะเบ๊ะตอบ เรียกเสียงหัวเราะจากรุ่นพี่ที่อายุน้อยกว่าอีกคน


    “ฮยองไม่เรียกเขาว่าพี่หน่อยเหรอ”


    “ขอพิจารณาดูก่อนละกัน ถ้าไม่เซ่อซ่าไปตลอดก็อาจจะเรียกละมั้ง” แจ็คสันยิ้มแห้งๆ ให้ยูคยอม ภาพลักษณ์ในการทำงานวันแรกของเขาช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เสียงติ๊งดังขึ้นเบาๆ ยองแจหันกลับไปที่หน้าจอแล้วจิ้มคีย์บอร์ดรัวๆ

    “ยูคยอม จินยองฮยองเรียกตัวเด็กฝึกแน่ะ”

    “โอเคฮะ เอ้อ ฮยองช่วยจับตาดูฝั่งขวาของป่าให้ด้วยนะ เหมือนไรอันบ่นว่าเจออะไรประหลาดๆ ไม่รู้ว่าพวกพรานมีเทคนิคใหม่อะไรมาอีกรึเปล่า”


    สัญลักษณ์โอเคถูกส่งมาลวกๆ ขณะที่พวกเขาหันหลังกลับออกไปจากห้อง ยูคยอมพาเขาย้อนกลับไปที่ด้านหลังอีกครั้งแต่คราวนี้เลี้ยวไปที่อีกด้านของอาคารแล้วหยุดที่ตรงหน้า “แผนกวิจัย”


    ข้างในแผนกวิจัยเหมือนห้องแล็บขนาดใหญ่ ไฟสีขาวสว่างจ้ากว่าแผนกอื่นๆ รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่หน้าตาประหลาดๆ ที่เขาไม่รู้จัก คนใส่เสื้อกาวน์สีขาวเดินไปเดินมาอยู่ประปราย ยูคยอมกวาดสายตาหาเป้าหมาย เมื่อไม่เจอเขาจึงยกริสแบนด์ที่ข้อมือมาจิ้มสักพักจอโฮโลแกรมก็ฉายขึ้นมา


    “ไง ยูคยอม”

    “ยองแจฮยองบอกว่าฮยองเรียกพวกผม แล้วฮยองอยู่ที่ไหนครับ” น้ำเสียงของยูคยอมตอนนี้สุภาพที่สุดเท่าที่เขาได้ยินมาตลอดทั้งวัน

    “ฉันอยู่ที่โดม เข้ามาสิ” น้ำเสียงที่ตอบมาฟังดูนุ่มนวล ถึงแม้จะผ่านลำโพงอิเล็กทรอนิกส์ จินยองเป็นคนแบบไหนกันนะ

    ยูคยอมพาเขาเดินตรงไปด้านหลังของแผนก แล้วใช้คีย์การ์ดเปิดประตูสีเทาขนาดใหญ่ หลังประตูเป็นอุโมงค์แก้วใหญ่ยักษ์ เชื่อมต่อไปยังโดมกระจกขนาดมหึมาที่เขาเคยเห็นแต่เฉพาะด้านนอก ประตูโดมที่อยู่สุดปลายอุโมงค์แก้วอีกด้านเปิดออก สายลมอ่อนพัดปะทะหน้าของเขาจนทำให้รู้สึกแปลกใจ ลมเหรอ?? ในโดมเนี่ยนะ


    ภายในโดมเหมือนหลุดมาอยู่อีกโลก ข้างในเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด ทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ๆ มากมาย เหมือนเอาป่าจำลองที่มีทั้งป่าทึบ ทุ่งหญ้ากว้างและทะเลสาบมาไว้ด้วยกัน แล้วครอบไว้ด้วยโดมกระจกขนาดยักษ์ เสียงนกตัวเล็กๆ เจื้อยแจ้ว กับบรรยากาศที่ร่มรื่น แสงแดดจากภายนอกที่ส่องทะลุกระจกพิเศษที่ใสแจ๋วจนแทบจะเหมือนว่าไม่มีโดมอยู่ด้านบน


    เขาเดินตามยูคยอมบนทางเดินที่ทำจากแผ่นหินลัดเลาะไปจนถึงส่วนที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างสีเขียวขจี อยู่ติดกับขอบโดมด้านหนึ่ง ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งหญ้ากว้าง แสงแดดของเวลาบ่ายแก่ๆ ใกล้จะเย็นทาบทับต้นไม้เป็นเงาทอดยาว ร่างของชายหนุ่มในเสื้อกาวน์สีขาวปรากฏแก่สายตา ผมสีดำสนิทถูกจัดทรงไว้อย่างลวกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูเหมือนออกมาจากร้านทำผม หลังในชุดเสื้อกาวน์สีขาวนั้นยืดตรง มือสองข้างล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ กับบุคลิกที่ดูดีจัดเหมือนฉากที่ออกมาจากภาพยนตร์ นี่ถ้าใส่สูทล่ะก็เขาคงนึกว่าเป็นคุณชายหรือเจ้าชายจากที่ไหนสักแห่ง

    “จินยองฮยองฮะ” ยูคยอมเรียกเบาๆ ให้เจ้าตัวรู้ตัว คนข้างหน้าหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี

    “มาได้สักทีนะ แผนกวิจัยน่ากลัวนักหรือไง ถึงไม่มาทักทายสักที ทั้งๆ ที่อยู่แค่ตรงข้ามกันนี่เอง”

    “ขอโทษฮะ ผมคิดว่าฮยองกำลังยุ่ง เลยไม่อยากรบกวน” ยูคยอมยืนคอตกเหมือนเด็กน้อยที่โดนดุ จินยองยิ้มเล็กน้อยเหมือนพอใจอะไรบางอย่าง


    “นาย.. แจ็คสันสินะ ดังพอตัวเลยนี่ กล้ามาทำงานสายตั้งแต่วันแรกแถมยังลืมเอาการ์ดมาด้วย เจบีฝากให้ฉันดูแลนายเป็นพิเศษ” น้ำเสียงฟังสบายๆ ใบหน้าที่ดูใจดี แต่กลับมีแรงกดดันอย่างบอกไม่ถูก


    “เจบียังไม่ยอมรับนายเข้าทีม เพราะฉะนั้นหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้ นายต้องทำทุกอย่างที่มีคนสั่งหรือไหว้วานให้ทำ เรียกง่ายๆ ว่าเบ๊” หางเสียงลงน้ำหนักคล้ายดูถูกเล็กๆ


    “หวังแจ็คสันคนนี้ยอมทำทุกอย่างครับผม!!!” คำตอบเสียงดังกับท่าตะเบ๊ะผิดข้างเรียกเสียงหัวเราะจากอีกสองคนที่เหลือ บรรยากาศมาคุเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่ดูใจดีแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มจนตาหยี แก้มที่ยกขึ้นจนเกิดริ้วใต้ตาทั้งสองข้างเหมือนแมวไม่มีผิด


    “ฮ่ะๆๆ ได้อย่างนั้นก็ดี” เสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบลง ยูคยอมยังยืนยิ้มกว้าง บรรยากาศที่กดดันหายไปเหลือเพียงบรรยากาศสบายๆ


    “ได้ข่าวว่านายเข้ามาที่นี่เพราะอยากทำงานกับแองเจิ้ลส์เหรอ” จินยองเปลี่ยนหัวข้อเป็นชวนคุย เพราะดูจากท่าทางแล้วหวังแจ็คสันคนนี้คงไม่ยอมแพ้แรงกดดันของเขาเหมือนคนอื่นๆ ก็ถือว่าพอใช้ได้

    “แล้วเคยเห็นรึเปล่า”

    “ครับ??”

    “แองเจิ้ลส์น่ะ เคยเห็นรึยัง”


    “คือว่า แม่ผมเคยพาผมไปที่แองเจิ้ลส์สเปซตอนเด็กๆ ครับ ผมก็เลยชอบแองเจิ้ลส์มากๆ ตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานที่เกี่ยวกับแองเจิ้ลส์มาตลอด แต่ตอนที่ไปแองเจิ้ลส์สเปซก็ได้เห็นแบบที่ผ่านกระจกกั้นน่ะครับ”

    “งั้นเหรอ.. แองเจิ้ลส์สเปซสินะ” ใบหน้าสวยยังคงยิ้ม แต่แววตากลับดูเศร้าหมองลงเล็กน้อย

    “แล้วถ้าแบบนั้นล่ะ” จินยองพยักเพยิดไปทางต้นไม้ใหญ่ ยูคยอมมองตามแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย ส่วนแจ็คสันต้องเพ่งอยู่นานกว่าจะเข้าใจ (เขาไม่ได้บอกใครว่าสายตาสั้นแต่ไม่อยากใส่แว่นเพราะมันไม่เท่)


    เพราะพวกเขายืนอยู่ในด้านที่ย้อนกับแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ จึงเห็นเพียงเงาดำของต้นไม้ใหญ่ แต่เมื่อแจ็คสันเพ่งดูดีๆ แล้วเขาก็ได้เห็นสิ่งที่จินยองต้องการให้เขาเห็น สิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกต


    แองเจิ้ลส์ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหยอกล้อกันอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น แองเจิ้ลส์เพศชายรูปร่างสูงโปร่งกับปีกสีน้ำตาลทองคู่ยักษ์กำลังขยับไปมาเชิงหยอกล้อกับปีกอีกคู่ที่เล็กกว่า แองเจิ้ลส์เพศหญิงที่ดูบอบบางมีปีกสีน้ำเงินเข้มสลับแซมด้วยสีฟ้าดูงดงามน่าหลงใหล แองเจิ้ลส์ทั้งสองอยู่ในชุดที่ดูคล้ายเดรสสีขาวพริ้วไหว ทั้งคู่หยอกล้อกันสลับกับช่วยกันแต่งขนปีกที่อยู่ในจุดที่อีกฝ่ายเอื้อมไม่ถึง


    แจ็คสันอ้าปากค้างเหมือนได้เห็นความฝันอยู่ตรงหน้า หัวใจเขาเต้นถี่ยิบด้วยความตื่นเต้นจนเหมือนจะระเบิด ขาค่อยๆ ก้าวตรงดิ่งไปยังทิศทางที่สายตาจับจ้อง แต่ถูกกระชากกลับด้วยมือใหญ่ของยูคยอม


    “อยากตายเหรอเฮีย เข้าไปทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเดี๋ยวก็โดนเด็ดหัวหรอก ไม่อยากมีหัวไว้ใส่หมวกแล้วเหรอไง”  ยูคยอมกระซิบเสียงเข้ม มือกำแขนเขาแน่นจนเจ็บ

    “ขะ ขอโทษที” แจ็คสันตบหน้าตัวเองดังเพี๊ยะ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืน


    “เอาล่ะ ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” จินยองบอกพร้อมกับเดินนำหน้าไปเงียบๆ ยูคยอมเดินตามทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือจากแขนของเขา แจ็คสันเหลียวกลับไปมองคู่แองเจิ้ลส์ที่อยู่บนต้นไม้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเตะมือยูคยอมให้ปล่อยเขาแล้วเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย


    ในที่สุดเขาก็ได้เห็นแล้ว... แองเจิ้ลส์ตัวเป็นๆ ที่ไม่ผ่านกระจกกั้น


    “แองเจิ้ลส์” .... สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่มีปีกขนาดใหญ่ที่กลางหลัง สิ่งมีชีวิตที่เมื่อหลายสิบหรือร้อยปีก่อนผู้คนคิดว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ในตำนานหรือนิทานปรัมปรา เพิ่งมีการค้นพบเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วว่าแองเจิ้ลส์นั้นมีตัวตนอยู่จริง แองเจิ้ลส์อาศัยอยู่แต่ในป่าลึกหลบหนีจากสายตาของมนุษย์ จนเมื่อมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้นเพื่อสำรวจพื้นที่ป่าลึกโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ แองเจิ้ลส์จึงได้ถูกค้นพบ และสิ่งที่มนุษย์ทำด้วยนิสัยอันละโมบโลภมากและเห็นแก่ตัวทุกครั้งในประวัติศาสตร์เมื่อค้นพบสิ่งมีค่า คือการ “ล่า”


    แองเจิ้ลส์ถูกล่ามาเลี้ยงเพื่อประดับบารมี และไข่ของแองเจิ้ลส์ที่เป็นแร่หายากก็มีราคาแพงลิบลิ่ว ถึงแม้แองเจิ้ลส์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย เนื่องจากเสียงที่สามารถทำร้ายโสตประสาทและพละกำลังที่มหาศาล แต่มนุษย์ผู้ละโมบก็ยังคิดค้นเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อจับแองเจิ้ลส์จนได้ แต่เพราะแองเจิ้ลส์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะและพฤติกรรมที่พิเศษ แองเจิ้ลส์ที่ถูกนำมาเลี้ยงจึงค่อยๆ ตายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ และถูกล่าใหม่มาทดแทนเรื่อยๆ  ประชากรแองเจิ้ลส์ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และแองเจิ้ลส์ยิ่งพยายามหลบซ่อนตัวจากมนุษย์มากยิ่งขึ้น


    20 ปีที่แล้วสถาบัน “พิทักษ์และวิจัยแองเจิ้ลส์”  แห่งนี้จึงถูกก่อตั้งขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อปกป้องแองเจิ้ลส์จากการถูกล่าและสูญพันธ์ รวมถึงการวิจัยวิเคราะห์พฤติกรรมของแองเจิ้ลส์เพื่อสร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์อย่างไม่เอาเปรียบและเบียดบังซึ่งกันและกัน แต่เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการล่าแองเจิ้ลส์ ข้อมูลการวิจัยและข้อมูลอื่นๆ ของสถาบันจึงถูกปิดเป็นความลับสุดยอด ดังนั้นถ้าอยากเห็นแองเจิ้ลส์ตัวเป็นๆ มีแค่เดินทางเข้าป่าลึกที่อันตราย หรือไม่ก็มาทำงานที่สถาบันแห่งนี้เท่านั้น


    แจ็คสันตัวสั่นเหมือนจะเป็นไข้ แต่เขารู้ว่ายิ่งต้องพยายามทำตัวให้ชินกับสิ่งนี้ให้ได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นเขาคงทำงานไม่ได้ ถ้าแค่เห็นแองเจิ้ลส์ก็เดินละเมอหรือไม่ก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้


    “เชื่อแล้วล่ะว่าหลงจริง” จินยองเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ แจ็คสันยังคงตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ แค่วันแรกวันเดียวภาพพจน์เขาก็ย่อยยับแทบไม่มีเหลือ ความท่งความเท่นี่ไม่ต้องพูดถึง


    “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ยูคยอมนายออกไปส่งเขา แล้วกลับมาหาฉัน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” จินยองที่พูดพร้อมกับดูเวลาบนสมาร์ทริสแบนด์สีดำที่เหมือนกับของยูคยอม


    “ครับฮยอง” ยูคยอมพยักหน้ารับ

    “ส่วนนายห้ามมาสายอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นนายได้เป็นเบ๊ไปตลอดชีวิตแน่”

    “ครับฮยอง” จินยองเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ กับเสียงที่เรียกเขาว่าฮยองตามยูคยอม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปรับตัวเร็วดีเหลือเกินนะ เสียงในใจคิดอย่างติดตลก

    .

    .

    .

    “เฮ้อออออออ” แจ็คสันถอนหายใจอย่างหมดแรง บนฮูเวอร์บอร์ดสองล้อของเขาระหว่างทางออกไปที่ประตูหน้า

    “จินยองฮยองนี่โคตรจะกดดันเลย” แจ็คสันรำพันให้ยูคยอมได้ยิน

    “แต่ฮยองเค้าก็ใจดีมากเหมือนกันนะ” ยูคยอมยิ้มเล็กน้อย ลูบคอด้วยท่าทางเขินๆ

    “แล้วฮยองเค้าเป็นอัจฉริยะด้วยรึเปล่าล่ะ เห็นนายเรียกคนโน้นคนนี้ว่าอัจฉริยะมาตั้งแต่เช้าแล้ว”


    “ห๊ะ อ๋อออ เป็นสิ บ้านจินยองฮยองน่ะ เป็นหมออัจฉริยะกันทั้งบ้านเลยละ ตระกูลของฮยองน่ะใหญ่มากเลย มีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง แต่ฮยองเลือกจะมาทำงานที่นี่พร้อมกับเจบีฮยองล่ะ”


    “ในสถาบันนี้มีแต่อัจฉริยะรึไงเนี่ย แทบจะเดินชนกันตายอยู่แล้ว” แจ็คสันเริ่มท้อใจเล็กๆ เพราะเขาเป็นแค่คนธรรมาดา ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นด้านใดเป็นพิเศษพอที่จะเรียกว่าอัจฉริยะได้


    “แหงล่ะ ก็สถาบันรับแต่อัจฉริยะหรือไม่ก็พวกหัวกะทินี่นา แต่ว่าเจบีฮยองก็เคยบอกว่าเฮียก็อัจฉริยะนะ”  ยูคยอมยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว

    “จริงเหรอ!!!” แจ็คสันตื่นเต้น นี่มีคนเห็นแววอัจฉริยะด้านไหนของเขาด้วยเหรอเนี่ย

    “จริงสิ ก็อัจฉริยะเรื่องความหน้าด้านไง” ยูคยอมระเบิดเสียงหัวเราะร้ายกาจ

    “เออ เอาก็เอาวะ ก็ยังดี” แจ็คสันตามน้ำ เขาไม่โกรธที่โดนยูคยอมแซวแรงๆ แต่กลับรู้สึกสนิทสนมกันมากกว่า

    “แล้วนายล่ะ อัจริยะด้านไหน ถึงเข้ามาทั้งๆ ที่อายุก็ไม่เยอะเลย”


    “ของผมมันกรณีพิเศษ ไว้อยู่ไปเฮียก็รู้เองแหละ” ยูคยอมเงียบลงกะทันหันจนแจ็คสันแปลกใจ แต่ไม่ได้ถามต่อ เขาไม่ใช่คนซอกแซกรู้ว่าอะไรควรไม่ควร สิ่งที่ควรรู้จะได้รู้เองเมื่อถึงเวลา


    “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะเฮีย” ยูคยอมยิ้มกว้างโบกมือลาเมื่อเขาออกไปพ้นประตู แจ็คสันทำสัญลักษณ์พีชก่อนจะคว้าจักรยานพับที่อยู่ในเป้กดปุ่มดีดตัวจักรยานออกแล้วปั่นจากไป..

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in