“เจ้าทำอะไร…” เสียงเล็กถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเจิ้งเยี่ยนขะมักเขม้นทำบางสิ่งบางอย่างอยู่เป็นเวลาหลายชั่วยาม
“กำลังถักผ้าพันคอ… พะย่ะค่ะ”
“กับเขา… มิเห็นเจ้ามากพิธีเช่นนี้” น้ำเสียงหลี่เยี่ยนชิวในร่างที่ดูย้อนอายุไปยี่สิบกว่าปีฟังคล้ายตัดพ้ออยู่ในที “กับข้าก็พูดปกติเถอะ”
เจิ้งเยี่ยนอมยิ้ม ในใจคิดว่า ความมั่นใจของฝ่าบาทมีเหนือผู้ใดในแผ่นดิน… แต่กลับต้องมาถูกสั่นคลอนโดยตนเองอีกคนหนึ่งหรือนี่… ช่างน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
“เจ้าขำอะไร”
“มิได้ๆๆๆ” เจิ้งเยี่ยนสะดุ้ง “เพียงแต่เมื่อได้พูดคุยกับตัวท่านในร่างนี้… ข้ารู้สึก… ยินดียิ่ง… จึง...จึงยิ้ม ก็เท่านั้น”
“ให้ผู้ใด”
“หา…?” เพราะจู่ๆ หลี่เยี่ยนชิวตัวน้อยก็ถามออกมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ เจิ้งเยี่ยนจึงถามย้ำกลับไปอีกครา “ให้อะไร...กับผู้ใดหรือ” หมายถึงยิ้มให้ผู้ใด หรือให้สิ่งใด… กับใครหรือ ข้างงไปหมดแล้ว
“ผ้าพันคอที่เจ้าถักอย่างไรเล่า…" ใบหน้ากลมเล็กบูดบึ้ง กระแทกเสียงตอบออกมาอย่างไม่เต็มใจ "ถักให้เขาหรือ"
นี่อย่างไรล่ะ เจิ้งเยี่ยนคิด ข้าจับได้แล้วว่าหลี่เยี่ยนชิวคนใดคือองค์ชายสี่ ผู้ใดคือฝ่าบาทของข้ากันแน่… องค์ชายสี่ซื่อตรงไม่อ้อมค้อมพูดในสิ่งที่คิดเสมอ ส่วนฝ่าบาทของข้า...เที่ยงตรงทว่าเยือกเย็น ทบทวนพันครั้งเอื้อนเอ่ยเพียงหนึ่ง... กระบี่อาบน้ำผึ้งชัดๆ...
แต่ก็นะ… จะตัวท่านที่เยือกเย็นหรือที่ตรงไปตรงมาก็มีข้อดีแตกต่างกัน... ดีทั้งคู่... เอาล่ะๆ จากนี้ ข้าจะถือว่าท่านก็คือองค์ชายสี่ของข้าด้วยก็แล้วกัน…
“มิใช่…" เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้ม "ข้าตั้งใจถักผืนเล็กๆ ให้ท่าน… ลายใบเฟิงร่วงหล่นกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ท่านชอบหรือไม่”
“ไม่ชอบ…”
“เอ๋… ทำไมเล่า”
“วันก่อนข้าเห็นเจ้าห่มผ้าพันคอลายนั้นให้เขาเช่นกัน…” หึ! จงใจคล้องจากทางด้านหน้า รั้งรอให้เขากอดเสียด้วย หน้าหนายิ่งนัก! หลี่เยี่ยนชิวตัวน้อยคิด พลางสะบัดใบหน้าเล็กๆ ไปทางอื่น “ข้ามิอยากใช้ของสิ่งเดียวกับเขา”
“เห… แต่ท่านก็ต้องใช้ข้าร่วมกับเขานี่นา… เช่นเดียวกับเวลาที่ท่านแอบกอดเยี่ยนเอ๋อร์ตัวน้อยตอนนอนหลับก็เหมือนกับได้กอดข้าตอนโต… มิใช่หรือ” เจิ้งเยี่ยนเย้า “นี่แค่ใช้ผ้าพันคอลายเดียวกันไม่เห็นคอขาดบาดตายเสียหน่อย”
ใบหน้าเล็กๆ ของหลี่เยี่ยนชิวเข้มครึ้มเสียยิ่งกว่าเมฆฝน หากผู้พูดมิใช่เจิ้งเยี่ยนในวัยนี้คงต้องถูกเขาดึงหางม้าที่มัดไว้เป็นปล้องๆ เสียจนหน้าคะมำเป็นแน่ “เจ้ามิมีทางเทียบเยี่ยนเอ๋อร์ของข้า!”
เห… เยี่ยนเอ๋อร์ของท่านงั้นหรือ… เจิ้งเยี่ยนแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว คนกลั้นขำจนใบหน้าขาวผ่องขึ้นสีระเรื่อ ในใจคิดซ้ำไปซ้ำมาว่า น่ารัก! ฝ่าบาทครั้งยังเป็นองค์ชายสี่ตัวน้อยๆ ในจิตใจยังสับสนวุ่นวาย เผลอกล่าววาจาหึงหวงออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง!
ไม่คิดเปล่า เจิ้งเยี่ยนวางมือที่กำลังถักผ้าไหมพรม จากนั้นโถมกายเข้าหาอีกฝ่ายทั้งตัวหมายจะกอดหลี่เยี่ยนชิวตัวน้อยให้หายคิดถึง ให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี
โครม!
“โอ๊ย! ฝ่าบาทหายไปไหนแล้วเล่า!” เจิ้งเยี่ยนร้องเสียงหลงเมื่อหลี่เยี่ยนชิวน้อยแอบหลบฉากออกจากอ้อมกอดอันตรายได้อย่างหวุดหวิด “เหตุใดจึงเป็นเด็กใจร้ายปล่อยให้ข้ากอดลม ตกเก้าอี้ได้!”
องค์ชายน้อยยกยิ้ม พลางแลบลิ้นปลิ้นตาให้เจิ้งเยี่ยนคราหนึ่ง “หากอนุญาตให้เจ้ากอดโดยที่ในใจยังคิดถึงบุรุษอื่น ก็หาใช่ข้าหลี่เยี่ยนชิวแล้ว!” จากนั้นจึงวิ่งหายออกจากตำหนักไป…
เป็นอย่างไรเล่าเจิ้งเยี่ยน… ถึงกายเขาจะเป็นเด็กแต่ยังสามารถใช้วาจาได้เชือดเฉือนแสบคันเช่นผู้ใหญ่ดุจเดิมใช่หรือไม่…
บุรุษอื่นที่ใดกัน… ที่พาดพิงก็ตัวท่านทั้งนั้นมิใช่หรือไร...
เจิ้งเยี่ยนหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้มิออก ทั้งรู้สึกสุขสันต์และสมเพชตนเองในขณะเดียวกัน…
จากนั้นคนถอนใจหนัก มือคว้าผ้าพันคอที่ยังถักไปได้เพียงครึ่งวิ่งไล่ตามฝ่าบาทที่มีร่างกายเหมือนเด็กแต่หัวใจเป็นผู้ใหญ่ออกไป คิดว่าหากทำได้ก็อยากคล้องขาเด็กดื้อเอาไว้ด้วยผ้าพันคอผืนนี้เสียเลย ทั้งในใจยังตะโกนก้องว่า ฝ่าบาทททททท อย่าวิ่งออกไปไกลนัก เดี๋ยวผู้คนจำท่านได้ข้าก็โดนท่านตัวโตลงโทษพลิกไปพลิกมาเข้าอีก เห็นใจร่างกายข้าบ้างเถิดดดดด กลับมา~ กลับม๊า~
พี่เจิ้งไล่ทันแน่ๆ คล้องขาจับมัดให้สมอยากเลยค่ะ พี่ต้องมีโอกาสเอาคืนบ้างนะคะ