"ท่านลุง..." เสียงเล็กๆ เรียก 'ท่านลุง ท่านลุง' ดังรบกวนนิทรารมย์อยู่ข้างหูจักรพรรดิที่กำลังบรรทม
หลี่เยี่ยนชิวขมวดพระขนงเล็กน้อย พลางค่อยๆ ลืมพระเนตรขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก… แต่สัมผัสและภาพตรงหน้ากลับทำให้ต้องตื่นเต็มตา
“ท่านลุงงงงงงงงงงง”
นัยน์ตากลมโตวาววับจับจ้องมองลงมาจากด้านบน ใกล้...เพียงคืบ พระทรวงถูกร่างจ้อยร่อยนั่งคุกเข่าทับอยู่ สองมือเล็กประคองพระปรางทั้งสองพลางเขย่าเบาๆ
หลี่เยี่ยนชิวพิจารณาใบหน้าจิ้มลิ้มที่นั่งเอียงคอส่งยิ้มมาให้จากบนทรวงอก ในใจคิดว่า เด็ก… งั้นหรือ
เด็กน้อยผู้นี้...
ใบหน้านี้… เหมือนข้าเคยเห็นจากที่ใด
“ท่านลุง” เสียงเล็กๆ เรียกขึ้นอีกครั้ง ดังปลุกหลี่เยี่ยนชิวให้ตื่นจากภวังค์เป็นครั้งที่สอง “ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ เยี่ยนเอ๋อร์เรียกท่านตั้งน้านนานแน่ะ...” เด็กน้อยยิ้มจนตาปิด
เยี่ยน...เอ๋อร์… งั้นหรือ
“เจ้า…” หลี่เยี่ยนชิวตะลึงงัน “เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่…”
ที่นี่… จริงสิ…
หลี่เยี่ยนชิวทอดพระเนตรโดยรอบ...
ที่นี่คือหวยอิน…
เป็นหวยอินจริงๆ...
แต่เมื่อคืนนี้... คลับคล้ายคลับคลาว่าข้านั่งชมจันทร์อยู่ที่นอกชานตำหนักบรรทมในวังหลวง ฟังเรื่องราวพิสดารจากเจิ้งเยี่ยน... เหตุใดเช้านี้จึงมาตื่นอยู่ในเรือนรับรองหลังเล็กที่หวยอินได้เล่า…
.
.
.
คืนก่อน...
“ฝ่าบาท… มีตำนานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับมนตร์จันทร์เสี้ยว”
หลี่เยี่ยนชิวผินพระพักตร์ขึ้นมองดวงจันทร์ ตรัส “อย่างไร”
“หากวงขอบเดือนหงายคล้อยลงแตะยอดเขาไท่ซานในคืนจันทร์ 5 ค่ำเดือน 12 สวรรค์จะบันดาลให้คำอธิฐานเป็นจริง”
“เวลานี้ข้ามิได้ต้องการสิ่งอื่นใดอีก…” พระเนตรสีพยับฝนจับจ้องริมฝีปากเจิ้งเยี่ยนที่โค้งขึ้นเป็นวงคล้ายเสี้ยวจันทร์ จากนั้นเคลื่อนสายตาผ่านสองแก้มขาวที่ขึ้นสีระเรื่อ มุมโอษฐ์หยักลึกของหลี่เยี่ยนชิวเชิดขึ้นตามอารมณ์สุขสันต์นิดหนึ่ง ก่อนโบกพระหัตถ์เบาๆ พลางกระซิบ “เจ้าลองดูเองเถิด”
เจิ้งเยี่ยนแตะหลังพระหัตถ์ ไถ่ถามบางเบา "ฝ่าบาทมิมีสิ่งใดจะขอจันทร์จริงหรือ..."
รอยยิ้มที่เจิ้งเยี่ยนส่งกลับมาในครานี้งดงามเย้ายวนเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กระทั่งหลี่เยี่ยนชิวลืมตัวร้องขอในพระทัยว่า…
หากจะมี... ข้าก็คง... อยากพานพบเยี่ยนเอ๋อร์ตัวน้อยผู้นั้นอีกครั้ง... กระมัง
.
.
.
“ฝ่าบาทคิดเห็นว่ามนตร์จันทร์เสี้ยวจะสามารถบันดาลให้สิ่งที่ข้าต้องการเป็นจริงได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”
“เหลือเชื่อเกินไป… เกิดขึ้นได้ยาก”
เจิ้งเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “เรื่องเหนือธรรมชาติ ผู้คนมิอาจลบหลู่นะพะย่ะค่ะ”
“หาได้ลบหลู่”
“หากแต่มิอาจเชื่อถือใช่หรือไม่”
เจิ้งเยี่ยนจับจ้องแววพระเนตรลุ่มลึกของหลี่เยี่ยนชิว พระขนงงดงามได้รูปรับกับสันนาสิก เรียวปากหยักดูลึกคล้ายกระจับ ชุ่มชื้นอิ่มเอิบคล้ายริมฝีปากสตรี แต่เมื่อประดับไว้ด้วยร่องรอยเชิดยิ้มเย้ยหยันผู้คนอยู่เป็นนิจกลับขับพระพักตร์นี้ให้ดูหล่อเหลาอย่างยิ่ง…
ตั้งแต่เมื่อใดหนอ... ที่องค์ชายน้อยที่สดใสร่าเริงของข้าผู้นั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นฝ่าบาทผู้เงียบขรึมและงามสง่าเช่นนี้…
แม้แต่ตัวข้าเองก็จำมิได้แล้วว่าเมื่อใดกัน…
หากแต่ถ้าจันทราบันดาลให้กลับไปพบรอยยิ้มสดใสเช่นนั้นได้อีกครา… ก็คงดีไม่น้อย
.
.
.
“เจิ้งเยี่ยน…” สุรเสียงที่เคยทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆ เสียงเล็กแหลมเหมือนเสียงเด็กแหบพร่างัวเงียด้วยเพิ่งตื่นจากบรรทม
“เจิ้งเยี่ยน”
“พะย่ะ--” เจิ้งเยี่ยนที่เพิ่งวิ่งเข้ามาถึงข้างแท่นบรรทมกล่าวไม่จบคำ นัยน์ตาเรียวรีถลึงกว้าง ตะลึงตะลานกับภาพที่เห็น “ฝ่าบาท… องค์... องค์ชายสี่…”
หลี่เยี่ยนชิวในร่างองค์ชายสี่ตัวน้อยขมวดพระขนง องค์ชายสี่อันใด “เจ้าเรียกผู้ใด...”
ถึงแม้สำเนียงจะนุ่มนวลทรงอำนาจมิแปรเปลี่ยน แต่น้ำเสียงที่คนทั้งสองได้ยินกลับเปลี่ยนแปลงไปเป็นแหลมเล็กอย่างเด็กชาย หาใช่บุรุษวัยฉกรรจ์ไม่
ใบหน้าเจิ้งเยี่ยนแตกตื่น...
ทางด้านหลี่เยี่ยนชิวยิ่งตกตะลึงกับน้ำเสียงที่ตนเองเอ่ยออกมา สองมือเล็กจ้อยยกขึ้นต่อหน้าเพื่อพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง…
“ฝ่า--”
“เจิ้งเยี่ยน…” หลี่เยี่ยนชิวตัวน้อยสั่งการอย่างกระชับเงียบขรึม “กระจก…”
.
.
.
มนตร์จันทร์เสี้ยวถูกทั้งสองฝ่ายปกปิดเป็นความลับ…
ฝั่งวังหลวง… เจิ้งเยี่ยนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหม่อมองพระพักตร์กลมเล็กอย่างแสนคิดถึง ส่วนผู้ตกอยู่ภายใต้สายตานั้นกลับมีสีหน้าคล้ายบึ้งตึงไม่สบอารมณ์
ฝั่งหวยอิน… หลี่เยี่ยนชิวอุ้มเยี่ยนเอ๋อร์ตัวน้อยขึ้นม้า… พากลับเจียงโจวอย่างเร่งด่วนที่สุด… แต่มิคาดคิดว่าเมื่อก้าวขาเข้าตำหนักกลับได้ยินเสียงเด็กอีกคนหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างประหลาด…
“หากยังไม่หยุดจ้องมองใบหน้านี้ เห็นทีข้าต้องสั่งโบยเจ้าแล้ว” หลี่เยี่ยนชิวในร่างองค์ชายสี่กล่าวคาดโทษ
“เจิ้งเยี่ยน”
เจ้าของชื่อและองค์ชายน้อยหันมองตามสุรเสียงทุ้มนุ่มเยือกเย็น ทั้งสองตกตะลึงไม่แพ้กันเมื่อเห็นเด็กน้อยอีกคนในอ้อมแขนหลี่เยี่ยนชิว
“ฝ่าบาท… ทางนั้นก็มีข้าตัวเล็กๆ เช่นกันหรือนี่” เจิ้งเยี่ยนสืบเท้าเดินยิ้มแย้มเข้าหลี่เยี่ยนชิว พลางเอื้อมมือออกมาขออุ้มเจ้าตัวน้อยทันที “ตัวข้าวัยเยาว์น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนักใช่หรือไม่~”
หลี่เยี่ยนชิวพยักพระพักตร์ให้คำถามแรกของเจิ้งเยี่ยน ละเลยคำถามสุดท้ายก่อนหันมองตนเองอีกคนหนึ่ง ตรัสถาม “เจ้า… ก็คือเจ้าสี่หรือ”
หลี่เยี่ยนชิวในร่างเด็กช้อนตาขึ้นมอง พลางตอบว่า “ข้า… คือฝ่าบาท”
!!!
"เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน"
ใช่แล้ว เป็นไปได้อย่างไร!!! เจิ้งเยี่ยนคิดพลางคล้ายเห็นสายฟ้าฟาดเปรียะระหว่างสายตาของคนทั้งสอง...
โธ่... ฝ่าบาทของข้าทั้งสอง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้เราควรคำนึงว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกันได้ ก่อนที่ท่านจะเขม่นกันมิใช่หรือ...
นอกจากมนตร์จันทร์เสี้ยวจะพาตัวข้าในอดีตมาที่นี่ ซ้ำยังบันดาลให้มีฝ่าบาทองค์ปัจจุบันถึงสองคน…
ฝ่าบาทเพียงคนเดียวยังเคี่ยวกรำข้ามิพอ ตอนนี้เพิ่มเป็นตัวเล็กคนหนึ่งตัวใหญ่คนหนึ่งอีกหรือนี่…
โอ้สวรรค์ โอ้มนตร์จันทร์เสี้ยว… ชีวิตน้อยๆ ของทาสรับใช้อิสระอย่างข้าจะรอดถึงตะวันรุ่งพรุ่งนี้หรือไม่หนอ...
ขอบคุณมนตร์จันทร์ที่สำแดงเดชค่ะะะะะะะ