“เจิ้งเยี่ยน… เราบอกให้ออกไปได้แล้ว”
“ฝ่าบาท…”
“เจิ้ง--” เสียงเข่ากระแทกพื้นดังตุบ พร้อมภาพเจิ้งเยี่ยนที่ทรุดกายคุกเข่าลงข้างพระวรกายทำให้รับสั่งของหลี่เหลี่ยนชิวชะงักงัน
มือเรียวขาวยกขึ้นลูบพระหัตถ์ที่ขณะนี้เริ่มบวมช้ำ พระฉวีที่เคยขาวผ่องขึ้นสีแดงก่ำจนเกือบเป็นสีม่วง
“ฝ่าบาท… กระหม่อมยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะได้ทำแผลให้ท่านก่อน” เจิ้งเยี่ยนพูดแทรกอีกฝ่าย ในใจตระหนักดีว่ามิอาจขัดพระบัญชาของจักรพรรดิ แต่ครานี้… ถึงต้องโทษประหาร เขาก็มิสามารถทำใจทอดทิ้งพระองค์เพื่อทำตามพระประสงค์ได้จริงๆ
“ท่านจะสั่งคนลงแส้ หรือโบย หรือเฆี่ยนตีข้าอย่างไรก็ได้… หรือหลังจากนี้ท่านจะมอบโทษตายที่ข้าขัดคำสั่งก็ได้… ข้ายินดีรับโทษทั้งนั้น” เจิ้งเยี่ยนเอ่ยเสียงสั่นเครือ ก่อนยืดกาย เอื้อมมือขึ้นสัมผัสโลหิตสดๆ ที่ไหลคลอพระปรางเย็นเฉียบตัดกับพระฉวีที่ขาวซีดไร้สีเลือด
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะลงแส้เจ้า…” หลี่เยี่ยนชิวเชิดมุมโอษฐ์บวมช้ำขึ้นเล็กน้อย แววพระเนตรที่ทอดมองเจิ้งเยี่ยนนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท…” เจิ้งเยี่ยนยิ้มบางทั้งที่น้ำตาคลอตา ในใจตัดพ้อว่า ท่านบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังทำเป็นเล่นอยู่อีกหรือ จากนั้นวกกล่าวเข้าเรื่อง มือทั้งสองข้างสัมผัสร่างกายจักรพรรดิไปทั่วอีกทั้งถามคำถามระรัวเป็นประทัดทันที “ท่านขยับนิ้วได้หรือไม่พะย่ะค่ะ พระหัตถ์กระแทกพื้นหรือ… ถึงได้บวมช้ำเช่นนี้… ยังมีขมับอีก… ตอนล้ม... โขกโดนมุมโต๊ะใช่หรือไม่… แล้วเหตุใดถึงหมดสติได้… โอสถ--”
“เจิ้งเยี่ยน”
“--ที่หมอหลวงจัดถวายมิได้ดื่มหรอกหรือ… หน้ามืดเช่นนี้พักผ่อนเพียงพอหรือไม่ สำรับอาหาร--”
“เจิ้งเยี่ยน…”
“--ของข้าต้องมีปริมาณน้อยไปเป็นแน่ ควรเสริมเครื่องปรุงบำรุงพลังหยางเสียหน่อยแล้ว… มิเล่าร่างกายฝ่าบาทจึงได้เย็นเฉียบเช่นนี้”
“เจ้าพูดพอหรือยัง… เริ่มทำแผลเสียที”
เจิ้งเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์อ่อนโยนทว่าซีดขาวของโอรสสวรรค์ ส่งยิ้มเก้อเขินบางเบาไปให้ พลางพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเริ่มลงมือซับโลหิตด้วยผ้าขาวสะอาด...
.
.
.
“จากนั้นหมอหลวงก็มาดูอาการฝ่าบาท แจ้งว่าโหมออกงานสะสางราชกิจติดต่อกันนานเกินไป อีกทั้งหลายคืนก่อนหน้านี้... พระองค์ยืนตากน้ำค้างจนเกือบสว่าง พระพลานามัยจึงอ่อนแอ พระวรกายทรุดโทรม เมื่อครู่จึงหน้ามืดหมดสติก็เท่านั้น… ฝ่าบาทมิได้จงใจหลอกลวงท่านหรอก… องค์ชายสี่”
หลังจากเดินตามหาองค์ชายน้อยทั่วตำหนัก ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม เจิ้งเยี่ยนก็พบเด็กน้อยนั่งกัดริมฝีปากกลั้นน้ำตากอดเข่าซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่เขาเคยพาเจ้าตัวกับเยี่ยนเอ๋อร์อาศัยร่มเงาเพาะเมล็ดเขอเข่อ องครักษ์หลวงจึงปีนขึ้นไปนั่งลงข้างๆ ค่อยๆ อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง…
คราแรก… องค์ชายน้อยตั้งแง่จะไม่รับฟังท่าเดียว ยิ่งเจิ้งเยี่ยนปีนขึ้นไปใกล้ก็พยายามปีนขึ้นกิ่งก้านหนีไปอีก จนกระทั่งเยี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างทนดูไม่ไหว วิ่งหอบเอาผ้าซับโลหิตกองโตที่เจิ้งเยี่ยนกับหมอหลวงใช้ห้ามเลือดหลี่เยี่ยนชิวมากองให้ดูใต้ต้นไม้ พลางพองแก้มใส่เสียหลายคราว องค์ชายสี่จึงยอมสงบลงและนิ่งฟังขึ้นมาได้บ้าง
“แล้วเหตุใดเขาจึงอมพะนำอยู่ได้… มิพูดกันให้รู้เรื่อง ณ ตอนนั้นเล่า”
“ก็ท่านไม่ฟังท่านลุงเลย! ชี้นิ้วตะโกนใส่อย่างเดียว!” เยี่ยนเอ๋อร์เอ่ยขัดเสียงแง่งอน
“เจ้าผมปล้อง! เงียบเลย! เจ้ามิได้อยู่ในตำหนัก จะไปรู้ได้อย่างไรกัน!”
“พี่เจิ้งบอกข้า”
เยี่ยนเอ๋อร์ชี้ไปทางเจิ้งเยี่ยนที่นั่งหย่อนขาเหงื่อตกอยู่บนคาคบไม้… เหตุเพราะแววตาคมกริบขององค์ชายสี่ที่ปรายมาทางเขายิ่งมาก็ยิ่งดูอันตรายเหลือเกิน
“เจิ้งเยี่ยน… ตกลงเจ้าเข้าข้างเขาใช่หรือไม่”
“เขากับท่านก็ผู้เดียวกัน… องค์ชาย… อีกทั้งครานี้ฝ่าบาทมิได้ตั้งใจกลั่นแกล้งท่านจริงๆ” เจิ้งเยี่ยนโน้มน้าวเสียงอ่อน จากนั้นจึงเติมน้ำเชื่อมลงในน้ำชาอีกหน่อย เพื่อให้องค์ชายสี่ใจเย็นลง “เมื่อครู่... ทั้งที่เพิ่งได้สติ... แต่เขากลับเป็นห่วงท่าน… เกรงว่าท่านจะเสียใจ… จึงให้ข้ารีบตามมา”
“...” องค์ชายน้อยเริ่มลังเล ถาม “จริงหรือ”
“จริงอย่างยิ่ง..” เจิ้งเยี่ยนเขยิบเข้าใกล้ ค่อยๆ ตะล่อมจนองค์ชายน้อยยอมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “ส่วนเรื่องที่ข้าเล่ามา ก็จริงทั้งสิบส่วนเช่นกัน… หากฝ่าบาทรู้ว่าข้านำเรื่องจริงมาขยายให้ท่านฟัง ข้าอาจจะถูกลงแส้ก็ได้”
“หากเจ้าพูดความจริง… เหตุใดเขาต้องลงแส้เจ้าด้วย”
“องค์ชายสี่... ตอนอายุสิบขวบเขาอาจจะฉลาดเฉลียว สดใสร่าเริง พูดจาฉะฉาน คิดอย่างไรพูดเช่นนั้นเช่นเดียวกับท่าน…” เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้มเศร้า “แต่วันคืนในวังหลวงเหน็บหนาวว้าเหว่เกินไป… ฝ่าบาทในตอนนี้จึงสุขุมเย็นชา คิดมากแต่ตรัสน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย… แล้วพอข้านำมาเฉลยกับท่านแทน… ฝ่าบาทก็อาจจะไม่พอพระทัย… สั่งโบย หรือลงแส้ข้าก็เป็นได้...”
“เจิ้งเยี่ยน… เจ้าอย่ามาหว่านล้อมข้าเสียให้ยาก… เจ้ารู้ดีที่สุดว่าคนอย่างเขา… มิมีทางลงแส้เจ้าด้วยเรื่องพรรค์นี้หรอก” องค์ชายน้อยขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง ในใจคิดว่าเมื่อตนเองโตขึ้น จะไม่แสดงพฤติกรรมที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนคนทั้งวังหลวงหามีผู้ใดเข้าใจไม่อย่างหลี่เยี่ยนชิวผู้นี้เด็ดขาด ก่อนเด็กน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ อภัยให้ตนเองในอนาคตแต่โดยดี “ครานี้ข้าจะลองเชื่อเจ้ากับกองผ้าซับเลือดของเจ้าผมปล้องดูก็แล้วกัน…”
“ขอบคุณองค์ชายที่เข้าใ--”
“แต่…”
“องค์ชาย…” เจิ้งเยี่ยนครางเสียงอ่อน มีแต่แบบนี้เขารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย
“เขาต้องมาอธิบายเรื่องนี้กับข้าเอง…”
“โธ่… องค์ชาย…จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า”
“ได้สิ… เจ้าก็ไปบอกเขา… ว่าข้ามีคำถามให้เขามาตอบกับข้า ว่านิสัยเปิดเผยจริงใจของเด็กสิบขวบอย่างข้ามันไม่ดีอย่างไร… เมื่อโตขึ้น... เขาจึงต้องแสร้งปิดบังอมพะนำ ทำตนเป็นบุรุษซึมซำคาดเดาจิตใจและการกระทำได้ยากเย็นถึงเพียงนี้!”
จากนั้นเด็กน้อยปล่อยตัวไถลลงจากต้นไม้ จูงแขนสหายตัวน้อยวิ่งกลับเข้าเรือนหายลับตาไป… ทิ้งเจิ้งเยี่ยนให้นั่งทบทวนคำพูดของเด็กสิบขวบ… ที่ถ่ายทอดออกมาได้ซื่อตรงและเปิดเผยจริงใจอย่างยิ่ง… ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นเอง
พอมาคิดถึงช่วงเวลาที่พี่เจิ้งยังอยู่หวยอิน แล้วอาสี่ต้องอยู่คนเดียวนี่...
ต้องเหงามากแน่ๆ เลยค่ะ หรือเพราะแบบนี้ถึงฝืนตัวเองบ่อยๆ แงงงงงงงง
แต่ชอบตอนสองเจิ้งเยี่ยนช่วยกันกล่อมองค์ชายสี่จังเลยค่ะ น่ารักกกกกก
ไม่น่าเชื่อเลยว่าองค์ชายสี่ที่ตรงไปตรงมาคนนั้น โตขึ้นจะเก็บงำความรู้สึกจนอยากจะกอดปลอบจังค่ะ