เวลาเดียวกัน เจิ้งเยี่ยนกำลังเดินมาทางตำหนักทรงอักษร สองมือยกถาดใบเล็กบรรจุสำรับของว่างและกาน้ำชา
"ฝ่าบาท... ของว่างพะย่ะค่ะ..." เจิ้งเยี่ยนวางถาดสำรับลงบนโต๊ะเล็ก จากนั้นชะเง้อมองผ่านม่านบังตาเข้าไปภายในส่วนทรงพระอักษรเพราะไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
"ฝ่าบาท..."
ก่อนนัยน์ตาเรียวงามจะเหลือบไปเห็นองค์ชายน้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
"องค์ชายสี่... มีอะไรหรื--"
"เจิ้งเยี่ยน! เจ้ามาแล้ว!!! มาเร็วๆ เข้าไปดูเขาเร็วเข้า!!!"
องค์ชายสี่ฉวยแขนเจิ้งเยี่ยน มือน้อยๆ สั่นเทาอย่างหนัก น้ำตานองหน้าด้วยความหวาดหวั่น แต่ดวงตาทั้งสองยังคงฉายแววกล้าหาญ แขนทั้งสองพยายามฉุดรั้งให้อีกฝ่ายตามตนเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง
"เขา? ใคร? เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
"ก็ฝ่าบาทของเจ้าไง!" องค์ชายน้อยแหวด้วยอารมณ์หงุดหงิดยิ่ง ในใจคิดว่า ในตำหนักนี้นอกจากเขาแล้วจะมีใครได้อีก แต่สถานการณ์ขณะนี้คับขันเกินกว่าจะพูด เด็กน้อยจึงได้แต่ฉุดกระชากแขนเจิ้งเยี่ยน พร่ำพูดตะกุกตะกัก "เขา... เขา... เจ้ารีบตามข้ามาดูเองเถิด"
"ช้าก่อนองค์ชาย... องค์ชายสี่..." เจิ้งเยี่ยนขืนแรง รั้งแขนเล็กๆ เอาไว้ชั่วขณะ จากนั้นลูบมือน้อยๆ ที่กำลังสั่นเทาเบาๆ อย่างใจเย็น พลางสอบถามปลอบโยนเสียงอ่อน "ท่านหายใจลึกๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น... ดีหรือไม่"
องค์ชายสี่ถอนหายใจยาว เรียบเรียงความคิด ก่อนอธิบายเสียงเบา
"ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่ารู้สึกวิงเวียน... จากนั้นยืนขึ้นได้ครู่เดียวก็ล้มลง... หัวคงกระแทกโต๊ะกระมัง... ตอนนี้... ตอนนี้... ตอนนี้..."
"ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรหรือ"
"ตอนนี้... ข้าว่า... ข้าว่า..."
"องค์ชาย..." เจิ้งเยี่ยนลูบหลังปลอบโยน "พูดมาเถิด"
สีหน้าองค์ชายน้อยหวาดหวั่น กล่าวเสียงเบายิ่งกว่ากระซิบ
"เจิ้งเยี่ยน... เมื่อครู่ข้าลองสัมผัสดู... ข้าว่า... เขาไม่มีลมหายใจแล้ว..."
.
.
.
เจิ้งเยี่ยนเดินเร็วๆ จนกระทั่งคล้ายกำลังวิ่ง คนรีบตามองค์ชายสี่ที่วิ่งนำเข้าไปในห้องทรงอักษรก่อนแล้ว ยังไม่ทันจะได้กล่าวอันใด ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ตะโกนร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
"เจ้า! เหตุใดเจ้าถึง--"
"องค์ชาย... เกิดอะไรขึ้นอีกหรื--"
เมื่อฝ่ายหลังตามเข้ามาถึงส่วนในของห้องทรงอักษร นัยน์ตาดอกท้อเรียวงามจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งประทับอย่างสงบเงียบเหนือพระที่นั่งตามปกติ มีเพียงเครื่องเขียนและฏีกาที่กระจายเกลื่อนกลาดบนพื้นเท่านั้นที่พอจะยืนยันกับทั้งสอง... ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นจริงๆ
เจิ้งเยี่ยนจับจ้องพระพักตร์เรียบนิ่งของจักรพรรดิ พยายามอย่างหนักที่จะเสาะหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสุขุมอ่อนโยน...
แต่เจิ้งเยี่ยนมิอาจค้นพบสิ่งใด...
หลังจากจับจ้องอยู่เนิ่นนาน... คนได้รับเพียงแววพระเนตรเรียบเฉยฉายตอบกลับมาเท่านั้น...
เจิ้งเยี่ยนเงียบงันไร้คำกล่าว... มีเพียงองค์ชายน้อยผู้น่าสงสารเท่านั้นที่ยกนิ้วเล็กๆ สั่นเทาขึ้นชี้หน้าโอรสสวรรค์ ส่งวาจาตัดพ้อ สุ้มเสียงกราดเกรี้ยวดังลั่นตำหนัก
"หลี่เยี่ยนชิว! เจ้า! เจ้าหลอกลวงข้า!" ใบหน้ากลมเล็กแดงก่ำ น้ำตาหลั่งไหลเป็นสาย เหตุเพราะเมื่อครู่... ในใจเด็กน้อยคิดเป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการตกเป็นเครื่องมือในการละเล่นครั้งใหญ่ของจักรพรรดิ...
"โกหกข้าเช่นนี้ เจ้าสนุกมากใช่หรือไม่!"
องค์ชายสี่ตะโกนจนหอบตัวโยน
หลี่เยี่ยนชิวปรายพระเนตรไปทางเด็กน้อย ประทับนิ่งไม่ตอบคำ
"ฝ่าบาท..."
"เจิ้งเยี่ยน..." โอรสสวรรค์ขัดขึ้นโดยมิผินพระพักตร์กลับมามององครักษ์หลวง รับสั่งเรียบๆ "เจ้าพาเขาออกไป"
"ฝ่า--"
"หลี่เยี่ยนชิว! วันนี้เจ้าติดค้างคำขอโทษกับข้า!" เด็กชายตัวน้อยตะโกนแทรกเสียงดังลั่นด้วยมิสามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
"คอยดูเถิด... วันหน้า... เจ้าจะต้องนึกเสียใจกับสิ่งที่เจ้ากระทำ!!!"
จากนั้น... เด็กน้อยสะบัดหน้า วิ่งออกจากตำหนักอย่างรวดเร็วจนเจิ้งเยี่ยนห้ามไม่ทัน
"เจิ้งเยี่ยน..."
"ฝ่าบาท... กระหม่อมคิดว่--"
"เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว..." ในพระทัยหลี่เยี่ยนชิวล่วงรู้แล้วว่าครานี้ตนทำเกินไปจริงๆ พระองค์ถอนหายใจเบาๆ หลับพระเนตรลงช้าๆ "เจ้ารีบตามไปดูเขาก่อนเถิด"
"ฝ่าบาท..."
หลี่เยี่ยนชิวตรัส สุรเสียงเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง
"เจ้าไปเถิด..."
อีกครู่หนึ่งข้าจะตามไปขอโทษเขาเอง
เพราะฝ่าบาทคือองค์ชายสี่ต้องเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่สุดแล้ว...
คงจะอาการไม่ดีจริงๆ อาการกำเริบขึ้นมาจริงๆ
แล้วรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน...ระหว่างที่องค์ชายสี่ไปตามเจิ้งเยี่ยนมา ใช่มั้ยคะๆๆๆ