เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fictober2019pampamgirl
Day 30 : Make Up คืนดี
  • “ท่านลุง~”



    เยี่ยนเอ๋อร์นั่งแกว่งขาอยู่ข้างๆ กองฎีกาบนโต๊ะทรงอักษร… โยกศีรษะไปมา แย้มยิ้มสดใส ใบหน้าเล็กๆ นั้นแสดงสีหน้าราวกับกำลังบอกทั่วหล้าว่า ท่านลุงอุ้มข้าขึ้นมาวางไว้ตรงนี้เองนะ เยี่ยนเอ๋อร์มิได้นั่งเองส่งเดช… จากนั้นยิ้มยิงฟันให้หลี่เยี่ยนชิวเสียจนตาหยี พลางคิดว่า ท่านลุงอยากให้เยี่ยนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆ มือใช่ม้า~ เยี่ยนเอ๋อร์ก็อยากอยู่ข้างๆ ท่านลุงผู้งดงามเช่นกันขอรับ



    “เจ้าเรียก… เหตุใดจึงมิพูด”



    หลี่เยี่ยนชิวหันมองรอยยิ้มที่ครอบครองใบหน้าจิ้มลิ้มไปเสียครึ่งค่อน จึงแย้มสรวลตอบกลับ ก่อนยกพระหัตถ์ขึ้นลูบผมปล้อง… เอ่อ...​ ผมหางม้าสั้นๆ ของเด็กน้อยไปหลายครา พลางสังเกตเห็นว่ามีหยากไย่ติดอยู่บางเบาบนผมสีน้ำหมึก จึงตรัสถามขึ้น



    “ก่อนหน้านี้เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา”



    “เยี่ยนเอ๋อร์มิได้เล่นซนน้า~ เยี่ยนเอ๋อร์นำอาหารไปให้องค์ชายสี่มา” เด็กน้อยตอบเสียงใส



    “นำอาหาร… องค์ชายสี่…?” หลี่เยี่ยนชิวเลิกขนง “เหตุใดเจิ้งเยี่ยนมินำไปให้เอง”



    “พี่เยี่ยนเข้าไม่ได้ขอรับ”



    “เข้ามิได้?” หลี่เยี่ยนชิวขมวดขนงเหตุเพราะงงงวยอย่างยิ่ง ก็เจิ้งเยี่ยนผู้นั้นน่ะหรือจะเข้าไปที่ใดในวังหลวงนี้มิได้ ตรัสถามทันควัน “เหตุใดจึงเข้ามิได้?”


    “ช่องใต้เตียงแคบเหลือเกิน เยี่ยนเอ๋อร์เข้าไปได้คนเดียว… เอ… องค์ชายสี่ก็เข้าได้เช่นกัน… ก็เขานั่นแหละที่มุดเข้าไปไม่ยอมออกมากินข้าวตั้งแต่เช้า...”



    เด็กน้อยมีสีหน้าขบคิด จากนั้นก็ยิ้มกว้าง ทำน้ำเสียงภาคภูมิใจตอบกลับอีกครั้ง



    “เมื่อเย็นเยี่ยนเอ๋อร์จึงตามเข้าไป นำอาหารเข้าไปให้ องค์ชายสี่ถึงได้ยอมกินข้าว…ไม่หิวตาย เยี่ยนเอ๋อร์ช่วยชีวิตผู้คน… เยี่ยนเอ๋อร์เก่งหรือไม่ขอรับท่านลุง”



    หลี่เยี่ยนชิวไร้คำกล่าวแล้ว… ขณะนี้พระองค์พอจะประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้บ้าง จึงถอนพระทัยออกมายาวเหยียด พระหัตถ์ยกลูบศีรษะกลมๆ พลางตรัสถามอีกครา



    “แล้วเขาออกมาหรือยัง”



    แน่นอนว่าหลี่เยี่ยนชิวหมายถึงองค์ชายสี่…



    “ยังเลยขอรับ”



    “เหตุใดจึงมิออกมา”



    “ก็… พี่เยี่ยนเดาว่าน่าจะยังน้อยใจท่านลุงอยู่ขอรับ… แต่ตอนเยี่ยนเอ๋อร์ลองถามดู… องค์ชายสี่ก็บอกว่า ‘มิได้รอเขามาง้อเสียหน่อย!’ เช่นนี้ขอรับ ตอนนี้เยี่ยนเอ๋อร์จึงสับสน… ตอบมิได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะเหตุใดกันแน่” หนูน้อยเอียงคอ เกาหัวแกรก 



    หลี่เยี่ยนชิว “..........”



    “จากนั้น… พี่เยี่ยนเห็นว่าตะวันใกล้ตกดินแล้วจึงให้เยี่ยนเอ๋อร์กลับมาหาท่านลุงก่อนขอรับ...”



    เด็กน้อยช้อนตากลมโตมองหลี่เยี่ยนชิว เรียวปากเล็กๆ ขยับมุบมิบสอบถาม “แต่… องค์ชายสี่ยังอยู่ใต้เตียง ท่านลุงรู้วิธีให้เขายอมออกมาหรือไม่ขอรับ”



    หลี่เยี่ยนก้มพระพักตร์จ้องมองดวงตาไร้เดียงสา เพียงดำริไม่ตอบคำว่า เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร... เพียงแต่รู้สึกว่าการง้องอนตนเองในวัยเด็กนั้นช่างทำได้ยากเสียจริงๆ



    “หากท่านลุงลองไปพูดคุย… องค์ชายสี่จะยอมออกมานอนบนเตียงอุ่นๆ หรือไม่ขอรับ…” เยี่ยนเอ๋อร์พร่ำถามต่อ “พื้นใต้เตียงหนาวนัก...​ หากนอนข้ามคืน… เขาต้องจับไข้แน่ๆ เลย”



    “เช่นนั้นข้าจะให้เจิ้งเยี่ยนจุดเตาผิงเอาไว้ให้เขา…”



    .



    .



    .



    ท้องฟ้าคืนนี้ไร้ดาว… จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่ไกลลิบบนฟากฟ้า ส่องแสงริบหรี่นวลตา…



    จริงสิ… วันนี้เมื่อปีก่อน เยี่ยนเอ๋อร์กับองค์ชายสี่ถูกมนตร์จันทรานำพาให้มาที่นี่… รวดเร็วยิ่งนัก… ครบวาระหนึ่งปีแล้วหรือนี่…



    หลี่เยี่ยนชิวขบคิดขณะยืนมองท้องนภาอย่างเดียวดายบนระเบียงตำหนัก... จากนั้นไม่นาน… บนไหล่ก็มีเสื้อคลุมตัวหนาห่มคลุมลงมา… ตามด้วยจอกชาดอกเบญจมาศอุ่นๆ วางตรงหน้าและถ้อยคำห่วงหาอาทรจากเสียงของบุรุษที่คุ้นเคย



    “ฝ่าบาท… คืนนี้น้ำค้างแรงนัก”



    เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้ม แหงนหน้ามองจันทร์เสี้ยวดวงเดียวกับจักรพรรดิ “ท่านจิบชาเบญมาศจะช่วยให้นอนหลับสบาย”



    หลี่เยี่ยนชิวผินพระพักตร์ทอดพระเนตรเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจิ้งเยี่ยน ภาพตรงหน้างดงามหมดจด… คนยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสุกสกาว แพรวพราวสะท้อนแสงจันทร์



    “คืนนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้ว…” เจิ้งเยี่ยนหลับตาลง เอ่ยถ้อยคำช้าๆ “เวลาผันผ่าน… รวดเร็วราวกระพริบตา”



    หลี่เยี่ยนชิวตอบ อืม เบาๆ คลอในพระศอ



    “ฝ่าบาท...” เจิ้งเยี่ยนค่อยๆ หันใบหน้ามามองหลี่เยี่ยนชิวตรงๆ “สายน้ำไม่ไหลกลับ วันเวลาไม่หวนคืน… พรุ่งนี้… หากตื่นมาไม่พบพวกเขาแล้ว… ข้าคงคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นแน่”



    “นัยยะของเจ้าคือสิ่งใด” หลี่เยี่ยนชิวก็ก้มพระพักตร์จ้องมองตอบเจิ้งเยี่ยนตรงๆ เช่นกัน เปิดเผยแววพระเนตรดื้อรั้นที่หายไปเนิ่นนานกลับมาให้อดีตสหายสนิทได้เห็นอีกครา



    “ท่านทราบดีอยู่แล้ว…” เจิ้งเยี่ยนอมยิ้ม



    “เจิ้งเยี่ยน...​ อย่าโยกโย้กับเรา”



    มือสังหารอายุน้อยก้มหน้าแย้มยิ้มกับตนเอง คิดในใจว่า ข้าชอบเหลือเกินเวลาฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจเช่นนี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบโอรสสวรรค์



    “กระหม่อมมิบังอาจ… ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิ ย่อมเป็นเจ้าชีวิต… มีฐานะเป็นข้ารับใช้กับนายเหนือหัว...”



    หลี่เยี่ยนชิวหรี่ตาจับจ้องใบหน้าขาวผ่องด้วยแสงจันทร์สะท้อนของเจิ้งเยี่ยน ก่อนคนจะยกสองมือเรียวรวบประคองพระหัตถ์เย็นชืดขึ้นแนบพวงแก้ม เรียวปากบางกล่าวถ้อยคำเสียงเสนาะหวานหู



    “เพียงแต่… ในฐานะสหาย… ข้ามิอยากให้ท่านเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะมิสามารถย้อนคืนวันกลับไปกระทำบางสิ่ง… หรือเอ่ยถ้อยคำบางอย่างในอดีตได้… ก็เท่านั้น”



    หลี่เยี่ยนชิวตกตะลึง ฉวยไหล่เจิ้งเยี่ยน ตรัสถามทันควัน “เกิดเหตุอันใดขึ้นกับเด็กสองคนนั่น… เจิ้งเยี่ยน... เจ้ารู้สิ่งใดมาใช่หรือไม่”



    คำตอบของเจิ้งเยี่ยนแผ่วเบา… เงียบงัน



    “ข้าตื่นขึ้นมากลางดึก… เห็นร่างกายเยี่ยนเอ๋อร์โปร่งใสจนมองทะลุถึงผ้าปูเตียงได้… องค์ชายสี่ก็เช่นกัน”



    พระเนตรหลี่เยี่ยนชิวขึงค้าง



    “ข้าจึงรีบมาบอกท่าน…” เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้มหม่นเศร้า “แต่… ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทันเวลาหรือไม่”



    สายลมโชยเอื่อย… พัดชายฉลองพระองค์ตัวบางปลิวไสว ปีนี้… ลมเหมันต์พัดเร็วกว่าเคย… แม้จะมีชุดคลุมตัวหนาอีกชั้นหนึ่ง… แต่ข้าก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือก... เป็นเพราะอากาศภายนอกนั้นหนาวเหน็บ หรือภายในใจข้าวูบโหวงเพียงเพราะรู้ว่าจะมิอาจเอ่ยถ้อยคำที่อัดอั้นอยู่ในใจกับตัวตนในอดีตได้อีกแล้วกันแน่...



    ค่ำคืนนั้น... แสงจันทร์สะท้อนฉลองพระองค์ของจักรพรรดิสะบัดพลิ้ว พระองค์ดำเนินรวดเร็ว... วูบไหวราวกับเงา...

     


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Pderingring (@Pderingring)
ต้นเรื่องคืออมยิ้มกับความน่ารักของเยี่ยนเอ๋อร์มากเลยค่ะ
น่ารักและไร้เดียงสาเหลือเกินนนน น่ารักมากๆ ชอบจังเลย
แต่ว่าๆๆๆ เด็กจะกลับกันแล้วเหรอเนี่ย แงงงงงงง
ฝ่าบาทรีบไปคุยกับองค์ชายสี่นะคะะะะะะ โฮรวววววววว