“ท่านลุง~”
เยี่ยนเอ๋อร์นั่งแกว่งขาอยู่ข้างๆ กองฎีกาบนโต๊ะทรงอักษร… โยกศีรษะไปมา แย้มยิ้มสดใส ใบหน้าเล็กๆ นั้นแสดงสีหน้าราวกับกำลังบอกทั่วหล้าว่า ท่านลุงอุ้มข้าขึ้นมาวางไว้ตรงนี้เองนะ เยี่ยนเอ๋อร์มิได้นั่งเองส่งเดช… จากนั้นยิ้มยิงฟันให้หลี่เยี่ยนชิวเสียจนตาหยี พลางคิดว่า ท่านลุงอยากให้เยี่ยนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆ มือใช่ม้า~ เยี่ยนเอ๋อร์ก็อยากอยู่ข้างๆ ท่านลุงผู้งดงามเช่นกันขอรับ
“เจ้าเรียก… เหตุใดจึงมิพูด”
หลี่เยี่ยนชิวหันมองรอยยิ้มที่ครอบครองใบหน้าจิ้มลิ้มไปเสียครึ่งค่อน จึงแย้มสรวลตอบกลับ ก่อนยกพระหัตถ์ขึ้นลูบผมปล้อง… เอ่อ... ผมหางม้าสั้นๆ ของเด็กน้อยไปหลายครา พลางสังเกตเห็นว่ามีหยากไย่ติดอยู่บางเบาบนผมสีน้ำหมึก จึงตรัสถามขึ้น
“ก่อนหน้านี้เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา”
“เยี่ยนเอ๋อร์มิได้เล่นซนน้า~ เยี่ยนเอ๋อร์นำอาหารไปให้องค์ชายสี่มา” เด็กน้อยตอบเสียงใส
“นำอาหาร… องค์ชายสี่…?” หลี่เยี่ยนชิวเลิกขนง “เหตุใดเจิ้งเยี่ยนมินำไปให้เอง”
“พี่เยี่ยนเข้าไม่ได้ขอรับ”
“เข้ามิได้?” หลี่เยี่ยนชิวขมวดขนงเหตุเพราะงงงวยอย่างยิ่ง ก็เจิ้งเยี่ยนผู้นั้นน่ะหรือจะเข้าไปที่ใดในวังหลวงนี้มิได้ ตรัสถามทันควัน “เหตุใดจึงเข้ามิได้?”
“ช่องใต้เตียงแคบเหลือเกิน เยี่ยนเอ๋อร์เข้าไปได้คนเดียว… เอ… องค์ชายสี่ก็เข้าได้เช่นกัน… ก็เขานั่นแหละที่มุดเข้าไปไม่ยอมออกมากินข้าวตั้งแต่เช้า...”
เด็กน้อยมีสีหน้าขบคิด จากนั้นก็ยิ้มกว้าง ทำน้ำเสียงภาคภูมิใจตอบกลับอีกครั้ง
“เมื่อเย็นเยี่ยนเอ๋อร์จึงตามเข้าไป นำอาหารเข้าไปให้ องค์ชายสี่ถึงได้ยอมกินข้าว…ไม่หิวตาย เยี่ยนเอ๋อร์ช่วยชีวิตผู้คน… เยี่ยนเอ๋อร์เก่งหรือไม่ขอรับท่านลุง”
หลี่เยี่ยนชิวไร้คำกล่าวแล้ว… ขณะนี้พระองค์พอจะประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้บ้าง จึงถอนพระทัยออกมายาวเหยียด พระหัตถ์ยกลูบศีรษะกลมๆ พลางตรัสถามอีกครา
“แล้วเขาออกมาหรือยัง”
แน่นอนว่าหลี่เยี่ยนชิวหมายถึงองค์ชายสี่…
“ยังเลยขอรับ”
“เหตุใดจึงมิออกมา”
“ก็… พี่เยี่ยนเดาว่าน่าจะยังน้อยใจท่านลุงอยู่ขอรับ… แต่ตอนเยี่ยนเอ๋อร์ลองถามดู… องค์ชายสี่ก็บอกว่า ‘มิได้รอเขามาง้อเสียหน่อย!’ เช่นนี้ขอรับ ตอนนี้เยี่ยนเอ๋อร์จึงสับสน… ตอบมิได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะเหตุใดกันแน่” หนูน้อยเอียงคอ เกาหัวแกรก
หลี่เยี่ยนชิว “..........”
“จากนั้น… พี่เยี่ยนเห็นว่าตะวันใกล้ตกดินแล้วจึงให้เยี่ยนเอ๋อร์กลับมาหาท่านลุงก่อนขอรับ...”
เด็กน้อยช้อนตากลมโตมองหลี่เยี่ยนชิว เรียวปากเล็กๆ ขยับมุบมิบสอบถาม “แต่… องค์ชายสี่ยังอยู่ใต้เตียง ท่านลุงรู้วิธีให้เขายอมออกมาหรือไม่ขอรับ”
หลี่เยี่ยนก้มพระพักตร์จ้องมองดวงตาไร้เดียงสา เพียงดำริไม่ตอบคำว่า เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร... เพียงแต่รู้สึกว่าการง้องอนตนเองในวัยเด็กนั้นช่างทำได้ยากเสียจริงๆ
“หากท่านลุงลองไปพูดคุย… องค์ชายสี่จะยอมออกมานอนบนเตียงอุ่นๆ หรือไม่ขอรับ…” เยี่ยนเอ๋อร์พร่ำถามต่อ “พื้นใต้เตียงหนาวนัก... หากนอนข้ามคืน… เขาต้องจับไข้แน่ๆ เลย”
“เช่นนั้นข้าจะให้เจิ้งเยี่ยนจุดเตาผิงเอาไว้ให้เขา…”
.
.
.
ท้องฟ้าคืนนี้ไร้ดาว… จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่ไกลลิบบนฟากฟ้า ส่องแสงริบหรี่นวลตา…
จริงสิ… วันนี้เมื่อปีก่อน เยี่ยนเอ๋อร์กับองค์ชายสี่ถูกมนตร์จันทรานำพาให้มาที่นี่… รวดเร็วยิ่งนัก… ครบวาระหนึ่งปีแล้วหรือนี่…
หลี่เยี่ยนชิวขบคิดขณะยืนมองท้องนภาอย่างเดียวดายบนระเบียงตำหนัก... จากนั้นไม่นาน… บนไหล่ก็มีเสื้อคลุมตัวหนาห่มคลุมลงมา… ตามด้วยจอกชาดอกเบญจมาศอุ่นๆ วางตรงหน้าและถ้อยคำห่วงหาอาทรจากเสียงของบุรุษที่คุ้นเคย
“ฝ่าบาท… คืนนี้น้ำค้างแรงนัก”
เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้ม แหงนหน้ามองจันทร์เสี้ยวดวงเดียวกับจักรพรรดิ “ท่านจิบชาเบญมาศจะช่วยให้นอนหลับสบาย”
หลี่เยี่ยนชิวผินพระพักตร์ทอดพระเนตรเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจิ้งเยี่ยน ภาพตรงหน้างดงามหมดจด… คนยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสุกสกาว แพรวพราวสะท้อนแสงจันทร์
“คืนนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้ว…” เจิ้งเยี่ยนหลับตาลง เอ่ยถ้อยคำช้าๆ “เวลาผันผ่าน… รวดเร็วราวกระพริบตา”
หลี่เยี่ยนชิวตอบ อืม เบาๆ คลอในพระศอ
“ฝ่าบาท...” เจิ้งเยี่ยนค่อยๆ หันใบหน้ามามองหลี่เยี่ยนชิวตรงๆ “สายน้ำไม่ไหลกลับ วันเวลาไม่หวนคืน… พรุ่งนี้… หากตื่นมาไม่พบพวกเขาแล้ว… ข้าคงคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นแน่”
“นัยยะของเจ้าคือสิ่งใด” หลี่เยี่ยนชิวก็ก้มพระพักตร์จ้องมองตอบเจิ้งเยี่ยนตรงๆ เช่นกัน เปิดเผยแววพระเนตรดื้อรั้นที่หายไปเนิ่นนานกลับมาให้อดีตสหายสนิทได้เห็นอีกครา
“ท่านทราบดีอยู่แล้ว…” เจิ้งเยี่ยนอมยิ้ม
“เจิ้งเยี่ยน... อย่าโยกโย้กับเรา”
มือสังหารอายุน้อยก้มหน้าแย้มยิ้มกับตนเอง คิดในใจว่า ข้าชอบเหลือเกินเวลาฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจเช่นนี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบโอรสสวรรค์
“กระหม่อมมิบังอาจ… ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิ ย่อมเป็นเจ้าชีวิต… มีฐานะเป็นข้ารับใช้กับนายเหนือหัว...”
หลี่เยี่ยนชิวหรี่ตาจับจ้องใบหน้าขาวผ่องด้วยแสงจันทร์สะท้อนของเจิ้งเยี่ยน ก่อนคนจะยกสองมือเรียวรวบประคองพระหัตถ์เย็นชืดขึ้นแนบพวงแก้ม เรียวปากบางกล่าวถ้อยคำเสียงเสนาะหวานหู
“เพียงแต่… ในฐานะสหาย… ข้ามิอยากให้ท่านเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะมิสามารถย้อนคืนวันกลับไปกระทำบางสิ่ง… หรือเอ่ยถ้อยคำบางอย่างในอดีตได้… ก็เท่านั้น”
หลี่เยี่ยนชิวตกตะลึง ฉวยไหล่เจิ้งเยี่ยน ตรัสถามทันควัน “เกิดเหตุอันใดขึ้นกับเด็กสองคนนั่น… เจิ้งเยี่ยน... เจ้ารู้สิ่งใดมาใช่หรือไม่”
คำตอบของเจิ้งเยี่ยนแผ่วเบา… เงียบงัน
“ข้าตื่นขึ้นมากลางดึก… เห็นร่างกายเยี่ยนเอ๋อร์โปร่งใสจนมองทะลุถึงผ้าปูเตียงได้… องค์ชายสี่ก็เช่นกัน”
พระเนตรหลี่เยี่ยนชิวขึงค้าง
“ข้าจึงรีบมาบอกท่าน…” เจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้มหม่นเศร้า “แต่… ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทันเวลาหรือไม่”
สายลมโชยเอื่อย… พัดชายฉลองพระองค์ตัวบางปลิวไสว ปีนี้… ลมเหมันต์พัดเร็วกว่าเคย… แม้จะมีชุดคลุมตัวหนาอีกชั้นหนึ่ง… แต่ข้าก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือก... เป็นเพราะอากาศภายนอกนั้นหนาวเหน็บ หรือภายในใจข้าวูบโหวงเพียงเพราะรู้ว่าจะมิอาจเอ่ยถ้อยคำที่อัดอั้นอยู่ในใจกับตัวตนในอดีตได้อีกแล้วกันแน่...
ค่ำคืนนั้น... แสงจันทร์สะท้อนฉลองพระองค์ของจักรพรรดิสะบัดพลิ้ว พระองค์ดำเนินรวดเร็ว... วูบไหวราวกับเงา...
น่ารักและไร้เดียงสาเหลือเกินนนน น่ารักมากๆ ชอบจังเลย
แต่ว่าๆๆๆ เด็กจะกลับกันแล้วเหรอเนี่ย แงงงงงงง
ฝ่าบาทรีบไปคุยกับองค์ชายสี่นะคะะะะะะ โฮรวววววววว