“ฝ่าบาท… พักสักครู่ก่อนดีหรือไม่”
เสียงคุ้นเคยเรียกขึ้นเบาๆ หลี่เยี่ยนชิวผินพระพักตร์ขึ้นมองเจิ้งเยี่ยนที่กำลังวางถาดของว่างลงบนโต๊ะอักษร แววตาสีพยับฝนทอดมองมือเรียวรินน้ำชาลงจอก ไอร้อนสีขาวหอมกรุ่นพวยพุ่งพร้อมส่งกลิ่นให้รู้ว่ามันคือชาดอกเก๊กฮวย เคียงคู่มาด้วยขนมแป้งอบสีนวลจานเล็ก
แม้เวลาจะผันผ่านไปหลายสิบปี… แต่ทุกบ่ายบนโต๊ะทรงอักษรของหลี่เยี่ยนชิวจะต้องมีขนมหวานรสชาติเป็นหนึ่ง หน้าตาสีสันงดงาม แฝงความหมายล้ำเลิศวางไว้มิเคยขาด
วันนี้ก็เช่นกัน...
“วันนี้วันที่แปดเดือนแปด…” สายพระเนตรหลี่เยี่ยนชิวมองตามป้านสุราดอกเก๊กฮวยที่เจิ้งเยี่ยนเพิ่งวางลงบนโต๊ะเคียงข้างถาดขนม พลางดำรัสถามต่อ “เหตุใดจึงเป็นขนมฉงหยางกับชาดอกเบญจมาศของเทศกาลวันเก้าคู่”
ผู้ถูกถามอมยิ้ม พลางคิดว่าฝ่าบาทของข้าช่างมีสายตาเฉียบคม หลักแหลมหาใครเปรียบ
“แม้มิใช่วันที่เก้าเดือนเก้า แต่ราษฎรย่อมอยากให้จักรพรรดิอายุยืนยาวตลอดไป วันนี้จึงเป็นชาและขนมจากดอกเบญจมาศ”
แววตาเจิ้งเยี่ยนวาววับ แม้จะผ่านมาหลายสิบปี… ริมฝีปากบางนั้นยังคงกรีดยิ้มยั่วเย้าเล็กน้อยเฉกเช่นเดิม คนเลื่อนจอกชาไปตรงหน้าหลี่เยี่ยนชิวพร้อมกับรินสุราลงจอกให้ตนเอง พลางเปรยขึ้นเบาๆ “อีกทั้งเป็นวันนี้เป็นวันลี่ชิว วันเริ่มต้นฤดูสารท…”
สารทฤดู… ฤดูของท่าน... ฝ่าบาท...
แม้จะล่วงเลยมาหลายปี… ภาพพายุใบเฟิงสีแดงเพลิงพัดหยอกล้อรอยยิ้มบนใบหน้าขององค์ชายน้อยที่สดใสราวกับดวงตะวันในครั้งนั้น… ข้ายังจำได้มิเคยลืม
“เอ๊ะ!”
เจิ้งเยี่ยนร้องเสียงหลง เมื่อหลี่เยี่ยนชิวยกแขนเกี่ยวให้คนทิ้งตัวนั่งลงบนตัก พระกรสองข้างเลื่อนลงโอบผ่านเอวบาง แสร้งเอื้อมไปประคองจอกชาด้วยมือทั้งสอง ริมโอษฐ์เชิดขึ้นเล็กน้อย สุรเสียงที่ตรัสถามแฝงสำเนียงหยอกเย้า
“ขนมสำหรับอวยพรผู้เฒ่า… เจ้าตำหนิว่าข้าแก่ชราแล้ว… เช่นนั้นใช่หรือไม่”
เจิ้งเยี่ยนยกจอกเหล้าของตนขึ้นชนจอกสุธารส ทำท่าทางบ่งบอกว่า มาเถิด! ท่านดื่มชา ข้าดื่มสุรา ก่อนยกจอกขึ้นส่งเหล้าดอกเบญจมาศเข้าปากหมดจอกในคราวเดียว
“พละกำลังมากมายเช่นนี้… ใครจะว่าท่านแก่ได้เล่า”
หลี่เยี่ยนชิวแย้มสรวล จิบชาเล็กน้อยก่อนใช้ขอบจอกชี้ที่อกของคนบนตัก พลางตอบคำเดียวว่า “เจ้า” ในใจคิดว่าแต่ไหนแต่ไรเจิ้งเยี่ยนนิยมเกี้ยวพาบุรุษอายุน้อย เวลานี้จะยังคงชมชอบอยู่หรือไม่…
“ข้าเปล่า...” เจิ้งเยี่ยนเอี้ยวตัวส่งยิ้มยวนใจให้เจ้าของตัก นิ้วมือคีบจอกสุราเปล่าขึ้นมาโบกปฏิเสธ “เพียงแต่… บางครั้งข้าก็คิดถึงท่านตอนยังเป็นองค์ชายน้อย… ก็เท่านั้น”
“เมื่อใด” หลี่เยี่ยนชิวกระซิบถาม
“ตอนข้าพบท่านครั้งแรก… ก็เป็นวันที่เก้าเดือนเก้า เทศกาลฉงหยาง”
...ท่านลงจากรถม้า… เดินผ่านทะเลใบเฟิงสีแดงสด วิ่งมาเข้าเฝ้าอวยพรจักรพรรดิผู้เฒ่า… รอยยิ้มของท่านสดใสจนข้าตาพร่าไปหมด…
เจิ้งเยี่ยนหลุบตา แย้มยิ้ม
“ข้าพบเจ้าครั้งแรกในฤดูฝน… จะเป็นเดือนเก้าไปได้อย่างไร” หลี่เยี่ยนชิวแย้ง
“ฤดูฝน?”
หลี่เยี่ยนชิวพยักพระพักตร์ ตรัส “ยังจำได้ว่าครั้งนั้นฝนตกเจ็ดราตรีไม่หยุด...”
“จริงด้วย… ปีนั้นฝนตกหนักมากจริงๆ” เจิ้งเยี่ยนหัวเราะ “แต่ฤดูสารทที่ข้าพูดถึงคือปีก่อนหน้านั้น”
หลี่เยี่ยนชิวเลิกขนง ในใจคิดว่าเจ้าเคยพบข้าก่อนงั้นหรือ… มิน่าเล่า แรกพบจึงทักทายประหนึ่งรู้จักกันมานานแล้ว…
“ฝ่าบาท… รู้หรือไม่ว่าฤดูสารทเป็นฤดูของท่านอย่างแท้จริง” เจิ้งเยี่ยนรำพึงออกมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
“เป็นเพราะนามข้า...งั้นหรือ”
“ก็ใช่… สามส่วน”
“แล้วที่เหลือเล่า”
เจิ้งเยี่ยนชะงัก ในใจคิดว่า ฝ่าบาท… สำเนียงที่ท่านพูดกับข้าแบบนี้ ช่างเหมือนกับบทสนทนาของเราตอนเด็กๆ เสียเหลือเกิน...
“เจิ้งเยี่ยน...” หลี่เยี่ยนชิวแตะแขนเรียวเล็กน้อย พลอยทำให้คนหลุดออกจากภวังค์
“ข้า...ไม่ตอบไม่ได้หรือ”
หลี่เยี่ยนชิวกระชับอ้อมแขน มอบจุมพิตหนักๆ ลงบนต้นคอขาวดังฟอด ก่อนกระซิบเตือน “หากโดนลงโทษทัณฑ์… สุดท้ายเจ้าก็ต้องบอกข้าอยู่ดี...”
เจิ้งเยี่ยนยกมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนเอี้ยวตัวกลับ ท่อนแขนสองข้างโอบรอบพระศอ ส่งวาจายั่วเย้าไถ่ถาม “เช่นนั้น… ฝ่าบาทก็สืบสวนลงโทษ… แล้วกระหม่อมจะค่อยๆ สารภาพ… เหมือนตอนเด็กๆ ดีหรือไม่”
“ข้าเติบใหญ่แล้ว...”
“ใช่ๆๆ ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว… ส่วนท่านก็โตแล้ว...” ริมฝีปากเจิ้งเยี่ยนแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางกระซิบ “อืม... เช่นนั้น… ท่านก็ใช้บทลงโทษแบบผู้ใหญ่… ดีหรือไม่”
“เป็นเจ้าพูดเอง...” หลี่เยี่ยนชิวตรัสเสียงต่ำ
“ข้าย่อมรับผิดชอบในสิ่งที่พูด”
พระเนตรสีพยับฝนเข้มครึ้มขึ้นสามส่วนสบกับสายตาแวววาวสุกใสของเจิ้งเยี่ยน…
ราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้น… เจิ้งเยี่ยนมีเวลาตลอดค่ำคืนเพื่อสารภาพว่าเหตุใดฤดูสารทอันเงียบเหงา ทุกแห่งหนท่วมท้นไปด้วยใบไม้เหี่ยวแห้งร่วงหล่น ดูคล้ายฤดูแห่งการพลัดพราก… จากลา… จึงเหมือนหลี่เยี่ยนชิวไปได้...
เหตุเพราะยากนักที่จะมีผู้ใดล่วงรู้… ว่าใบไม้มากมายเหล่านี้ได้ปกปิดซุกซ่อนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ไว้เบื้องล่างอย่างแยบยล… อดทนเก็บงำ… บดบังผืนดินเอาไว้อย่างสงบและเงียบเชียบ… ปกป้องมิให้ลมเหมันต์และหิมะอันหนาวเหน็บพรากความอุดมสมบูรณ์ไปได้...
เสียสละตลอดระยะเวลาสามเดือนเต็มเพื่อโอบกอดและปกป้องผืนดินเอาไว้ รอคอยวันที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือน เหล่าบุปผาทั่วหล้าได้ชูช่อเบ่งบานให้ผู้คนได้ชื่นชมอีกครั้ง…
...แต่ตลอดมา... มิเคยมีครั้งไหนเลย... ที่สารทฤดูจะได้รับคำขอบคุณจากผู้คนเหล่านั้น...
ฝ่าบาท…
ถึงตอนที่ข้ายังไร้เดียงสาจะคิดว่าตนเองชมชอบฤดูแห่งบุปผางาม… แต่ข้าก็ตระหนักตั้งแต่ได้พบท่าน... ว่าแท้จริงแล้วตนเองหลงรักฤดูสารทไปแล้วอย่างหมดหัวใจ…
...และถึงท่านจะลงโทษอย่างไร ให้ตายข้าก็ไม่มีวันสารภาพเรื่องนี้ให้ท่านรู้อย่างแน่นอน…
ขออภัยนะพะย่ะค่ะ…
ฤดูสารทของข้า...
ชอบจังเลย บรรยากาศระหว่างพวกเขาอบอุ่นกันเหลือเกิน อ่านแล้วยิ้มแก้มแตกเลยค่ะ