Author’s Note : ฟิคเรื่องนี้เขียนในช่วงหลังจากดู Thor : Ragnarok จบนะคะ แต่มีความพัวพันในใจจากภาคเดิมจนเกิดเป็น Proloque (Ep00) นี้ขึ้น ฉากจะเป็นช่วง Thor : The Dark World ก่อนพาเข้า Ragnarok ค่ะ ฉากจากในหนัง แต่ความคิดติดฟิลเตอร์มโนของผู้เขียนไว้นะคะ บทนำนี้จะเรียกว่าฟิคได้เต็มปากไหมก็ไม่แน่ใจนะ ผิดพลาดประการใดพร้อมจะรับฟังไปแก้ไขปรับปรุงค่ะ
Pairing : Thor x Loki
Warning : เป็นฟิควายนะคะ แม้ว่าส่วนตัวจะชอบโมเม้นท์คู่นี้ในลักษณะ Bromance แต่ก็ไม่รู้อารมณ์คนเขียนจะพาลากเข้ารกเข้าพงแถวไหน (...) ใครไม่ชอบอ่านวายก็ผ่านไปดีกว่าเนอะ ตอนนี้ฉากเปิดชิลๆกันไปค่ะ เรทG พอ และ *Spoiler Alert* for Thor : The Dark World และ Thor : Ragnarok ค่ะ
..........................................................................
..........................................................................
...วาจาเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเรียกมันย้อนคืนมาได้เหมือนโยลเนียร์...
คือเรื่องหนึ่ง ซึ่งธอร์ บุตรแห่งโอดินเรียนรู้จากความผิดพลาด และเขาต้องจ่ายราคาของความผิดพลาดครั้งนี้แพงลิบลิ่วเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
‘อะไรทำให้เจ้าคิดว่าไว้ใจข้าได้?’
คำพูดของโลกิ อนุชาจอมแสบ สมชื่อเทพแห่งคำลวง ยังคงชัดเจนในความทรงจำ
ธอร์บอกตัวเองเป็นล้านครั้ง ว่าวันนั้น ในคุกใต้ดินของแอสการ์ด มันเป็นแค่การต่อรอง ยื่นข้อเสนอ และเกลี้ยกล่อม หากแต่คำพูดของเขายังตามหลอกหลอนตนเองให้ได้เจ็บแปลบทุกครั้งที่นึกถึง
‘ข้าไม่... แต่ท่านแม่ไว้ใจเจ้า’
น้ำเสียงเทพเจ้าแห่งสายฟ้าเยือกเย็นและคมกริบ ไม่ต่างกับดาบน้ำแข็งจากโยธันไฮม์ ที่พร้อมจะเสียบเข้ากลางหัวใจของบุรุษร่างโปร่ง ซึ่งนั่งพิงผนังห้องขัง และกำลังมองตอบกลับมาอย่างอ่อนล้า
‘เจ้าควรได้รู้... ที่ผ่านมาตลอดเวลาที่เราต่อสู้กัน ข้าหวังเสมอว่าน้องชายข้ายังสถิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในตัวเจ้า แต่ความหวังนั้นไม่อยู่คุ้มหัวเจ้าอีกต่อไปแล้ว’
ยิ่งพูดยิ่งพรั่งพรู แต่ละคำจงใจบั่นทอนเชือดเฉือน เพียงเพื่อปลุกจิตสำนึกคนตรงหน้า เพียงเพื่อต่อรองให้ได้มาตามเป้าประสงค์ ไม่แยแสสนใจเลือดที่กำลังไหลอาบจากรอยกรีดบนหัวใจของคนฟัง หรือแม้กระทั่งของตัวเขาเอง
‘เจ้าหักหลังข้าอีกครั้ง... ข้าจะฆ่าเจ้า...’
ธอร์จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวอ่อนจางยามต้องแสงสว่างของโลกิด้วยอาการสงบนิ่ง หวังว่าเขาจะตบตาเทพแห่งคำลวงได้ หวังว่าคนเบื้องหน้าจะไม่สังเกตเห็นเยื่อใยใดๆ ในแววตาของเขา
สุดท้ายโลกิก็ตอบรับมันด้วยรอยยิ้มเจือเศร้าแบบที่หมอนั่นชอบทำ รอยยิ้มซึ่งธอร์ไม่อาจคาดเดา หรือแน่ใจในความหมายของมันได้อีก
ธอร์เคยชอบมองรอยยิ้มบนใบหน้าอนุชาจอมซนมาแต่ไหนแต่ไร แต่หลังจากถูกหักหลังจนเกือบตายมาหลายต่อหลายครั้ง ก็ถึงเวลายอมรับความจริงเสียที ว่าโลกิโกรธและชิงชังเขาเพียงใด
รอยยิ้มซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนสิ่งเยียวยาจิตใจอันร้อนรุ่ม ช่วยให้เขาเผลอยิ้มตามไม่ว่าจะมีเรื่องใดทำให้หงุดหงิดใจ มาบัดนี้กลับมีแต่ทำให้เขาปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็น และนั่นเป็นเหตุผลที่ธอร์ต้องฝืนใจมาตลอด ไม่ให้ตนเหยียบย่างลงไปยังคุกใต้ดิน ตั้งแต่โลกิต้องโทษจองจำอยู่ในนั้น
ทว่าตอนนี้เล่า หากเลือกได้เขาเลือกจะยอมเจ็บปวดแสนสาหัส ยอมรับเอาความเกลียดชังทั้งหมดจากอนุชา ไม่ว่าจะถาโถมเข้ามาสักเพียงใด ขอเพียงแค่เจ้าของรอยยิ้มนั้นยังอยู่เคียงข้างเขา ยังคอยเดินตามอยู่เบื้องหลังเขา
...ไม่สิ...ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ... จะเป็นที่ใดก็ได้ในโลกทั้งเก้านี้ ต่อให้หลุดไปในห้วงอวกาศซึ่งอาจไม่ได้พบเจอกันอีก ขอเพียงแค่ได้รู้ว่าโลกิยังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขที่ไหนสักแห่ง... ขอเพียงคำพูดตรงข้ามกับใจในวันนั้นของเขา จะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่เขามอบให้อนุชาผู้เป็นที่รัก
--- ℑ ---
ธอร์แน่ใจว่าหญิงสาวที่เขารักคือ เจน ฟอสเตอร์ แต่วินาทีที่โลกิผลักเจนให้พ้นอันตราย แล้วทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อแทนในวิถีดูดกลืนชีวิตจากอาวุธชั่วร้ายของพวกดาร์คเอลฟ์ ทำเอาธอร์นึกโกรธอนุชาจนหัวร้อน ที่หมอนั่นดันมีความคิดทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น
...จะเป็นยังไงหากเขาพุ่งตัวเข้าช่วยเอาไว้ไม่ทัน! ...
ธอร์ไม่อยากคิด
แน่ล่ะว่าความปลอดภัยของเจนสำคัญ แต่เขาเองก็ไม่ต้องการจะสูญเสียโลกิไปเช่นกัน เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมอนุชาของเขาถึงไม่ยอมเข้าใจ
นับแต่วินาทีนั้นธอร์ได้ตระหนัก สำหรับเขาแล้วไม่ว่าโลกิจะทำผิดร้ายแรงแค่ไหน จะโกรธเกลียดชิงชังเขาเพียงใด จะหักหลังทำร้ายเขาอีกกี่ครั้ง สุดท้ายเขาก็ยังต้องการมีอนุชาตัวป่วนผู้นี้อยู่ในชีวิตของเขาอยู่ดี
แต่รู้ไปก็เท่านั้น เขาแทบไม่ทันได้เรียบเรียงความคิดในหัว หรือกลั่นกรองความรู้สึกที่มีออกมาเป็นคำพูดเสียด้วยซ้ำ
ท่ามกลางการต่อสู้กับพวกดาร์คเอลฟ์บนสวาทาล์ฟไฮม์ อ้อมกอดแห่งความตายของอสูรร้ายตนนั้นทำเอาร่างโลกิทรุดฮวบลงไปต่อหน้าต่อตา โดยพี่ชายเช่นเขาไม่สามารถปกป้องได้เลย
หัวใจของเทพเจ้าแห่งสายฟ้าแทบแตกสลาย ยามประคองร่างอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด มีแรงสั่นไหวน้อยๆ ซึ่งเขาไม่รู้ที่มา ไม่รู้ว่าจากร่างกายซึ่งกำลังหอบโยนดิ้นรนหนีความตายของอนุชา หรือจากแขนอันเคยแข็งแกร่ง ทว่ากลับไร้สิ้นเรี่ยวแรงของเขาในตอนนี้
“เจ้าโง่! ทำไมไม่เคยฟังที่พี่พูดเลย”
ในหัวเขามันตื้อไปหมด โกรธอีกคนจนดวงตาร้อนผ่าว
“ข้ารู้... ข้ามันโง่... ข้ามันโง่...”
“อยู่กับพี่!”
เขาออกคำสั่งอย่างสิ้นหวังจนเกือบจะเป็นร้องขอ
“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”
อีกคนพูดเหมือนรู้ว่านี่คงเป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องขัดใจเชษฐา และบางทีคงเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงพร่ำย้ำคำขอโทษของโลกิ พาห้วงความคิดพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นเด็ก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อนุชาตัวน้อยละล่ำละลักขอโทษ เพราะกลัวว่าตลกร้ายในบางครั้งของเขา จะทำให้เชษฐาองค์เดียวหมางเมินตน
...ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน...
ธอร์บอกตัวเองซ้ำๆ ให้เชื่อเช่นนั้น แต่ดวงตาสีฟ้าของเขากลับไหววูบ คำพูดมากมายจุกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก
เขาเคยพร่ำบอกให้โลกิสำนึกผิดมานานนักหนาแล้ว แต่มาตอนนี้เขากลับมองมันเป็นเรื่องไร้สาระไปเสียหมด เขาไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าชีวิตของน้องชายเขาอีกแล้ว
“ชี่ยย...”
เขาส่งเสียงให้คนในอ้อมกอดหยุดพูดเพื่อจะได้เก็บแรงไว้
“ไม่เป็นไร”
ธอร์เค้นเสียงเอ่ยตอบและปลอบน้องชาย
“ข้าจะเล่าสิ่งที่เจ้าทำวันนี้ให้ท่านพ่อฟัง”
นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ธอร์นึกออก เพราะโลกิมักบอกเล่าความน้อยเนื้อต่ำใจ และความต้องการให้พระบิดายอมรับ ว่าทัดเทียมเชษฐาเช่นเขาให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่คำตอบที่ได้จากอีกฝ่ายกลับฟาดลงมาราวสายฟ้า ตอกลิ่มลึกลงบนหัวใจเขาจนทั้งร่างสะท้าน
“...ข้าไม่ได้ทำเพื่อเขา”
โลกิจ้องมองใบหน้าผู้เป็นเชษฐา ขณะที่ร่างกายผู้พูดค่อยๆ เย็นลงช้าๆ และหยั่งรากฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ลงกลางอกของผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่
--- ℑ ---
โลกิจากไปแล้ว และพาเอาสิ่งซึ่งเจ้าตัวเก็บงำมาตลอดให้ตายไปพร้อมกับเขา ความลับที่ใช่ว่าธอร์จะไม่เคยระแคะระคาย แต่เป็นความลับที่เขาเลือกจะมองข้ามมันไป และแสร้งไม่รับรู้มาโดยตลอด
สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่พี่ชายโง่ๆ ของหมอนั่นอยู่ดี แม้ว่าในบางครั้งที่มองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้น นานมาแล้วที่เขาเคยรับรู้...
...ข้ารู้โลกิ... ข้ารู้...
--- ℑ ---
ธอร์ลงมาอยู่ที่มิดการ์ดได้หลายเดือนแล้ว หลังจากได้กลับไปแจ้งข่าวการตายของโลกิกับพระบิดา หลังๆ มานี้ เขามักใช้เวลากับตัวเองบ่อยครั้งเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา
การต้องสูญเสียแม่และน้องชายไปในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ ภายใต้หน้ากากของเทพเจ้าผู้แข็งแกร่ง และในฐานะเจ้าชายรัชทายาทแห่งแอสการ์ด เขาจำต้องรับมือกับความเศร้านั้นเพียงลำพัง โดยไม่อาจบอกเล่าให้ใครฟังได้ แม้แต่กับโอดินผู้เป็นบิดา หรือเจน ฟอสเตอร์ หญิงสาวคนรัก
...จนถึงตอนนี้ดูเหมือน ‘โลกิ’ จะเป็นหัวข้อเดียวที่ทำให้เขาและเจนทุ่มเถียงกันได้... ดูเอาเถอะ... กระทั่งวิญญาณแตกดับไปแล้ว หมอนั่นก็ยังหา ทางกลั่นแกล้งพี่ชายอย่างเขาได้ตลอดจริงๆ ...
ธอร์เหยียดยิ้มจางๆ ยามนึกถึงคนที่จากไป
เจนกับเขาเริ่มห่างๆ กันไปอย่างไร้ซึ่งคำอธิบาย และนั่นเป็นช่วงเดียว กับที่ความฝันดุจนิมิตร้ายสำหรับชาวแอสการ์ดเริ่มกวนใจเขา ในเมื่อหัวใจไม่ต้องการเวลาอยู่เฉยเพื่อจมลงไปในอดีต ธอร์เลยพาตัวเองออกไปวุ่นวายกับปัจจุบัน และอนาคตที่คืบคลานเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จงใจให้แต่ละวันผ่านไปแบบไม่เหลือเวลาให้ตัวเองได้ฟุ้งซ่านอีก
...แล้วนี่อะไร?... ไม่มาเป็นเขาใครจะมาเข้าใจความรู้สึก ตอนได้เห็นรูปปั้นเจ้าน้องชายตัวแสบขนาดสูงกว่าตึกสี่ชั้น ยืนตระหง่านรอต้อนรับเขาอยู่ในแอสการ์ด...
ยิ่งตอนได้เห็นพระบิดาคืนร่างเป็นอนุชาซึ่งเขาคิดว่าตายไปแล้ว ธอร์ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าความรู้สึกของเขาในตอนนั้นอยากทำสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างรวบตัวอีกคนเข้ามากอด กับเอาโยลเนียร์ในมือทุบหัวอีกฝ่ายเสียให้แบะ..
แต่ที่แน่ๆ เทพเจ้าแห่งสายฟ้าบอกกับตัวเองแล้วว่า เขาจะทำทุกวิธีเพื่อให้แน่ใจว่า ตลกร้ายในครั้งนี้ เจ้าน้องชายจอมเจ้าเล่ห์จะต้องชดใช้ให้เขาอย่างสมน้ำสมเนื้อ...
==TBC.==
(,,/-\)... เขิลๆ รับกำลังใจมาเต็มเปี่ยม อิอิ แล้วแวะมาคุยกันอีกน้า ถ้าสนุกก็ดีใจค่ะ