Author’s Note : ฟิคเรื่องนี้เขียนมาในแนว Side Story ของ Thor : Ragnarok นะคะ ใครที่ยังไม่ได้ดูอาจจะงงๆหน่อย เพราะเนื้อเรื่องแต่ละตอนไม่ต่อกันเป๊ะๆเสียทีเดียว เราคิดว่าถ้าดูหนังแล้วเอาฟิคไปประกอบกันมันจะโอเคกว่าล่ะนะ แต่จะว่าเป็นตอนสั้นๆมันก็มีพล็อตที่วางไว้อยู่ เรื่องนี้เป็นแฟนฟิคจากหนังเป็นเรื่องแรกของเรา หวังว่าคนอ่านจะสนุกไปกับเรานะคะ
Pairing : Thor x Loki
Warning : เป็นฟิควายนะคะ แม้ว่าส่วนตัวจะชอบโมเม้นท์คู่นี้ในลักษณะ Bromance แต่ก็ไม่รู้อารมณ์คนเขียนจะพาลากเข้ารกเข้าพงแถวไหน (...) ใครไม่ชอบอ่านวายก็ผ่านไปดีกว่าเนอะ ยังคงเรทG สำหรับตอนนี้ค่ะ และ *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok ค่ะ
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
...ที่นี่ ที่ไหน?...
ท่ามกลางความเวิ้งว้างและมืดมนอนธการอันโอบล้อม สองมือเปะป่ายไขว่คว้าออกไปทางใดล้วนไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
โลกิรู้เพียงเขาคล้ายกำลังร่วงหล่นสู่เบื้องล่าง ทว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ร่างกายของเขาก็ยังไม่กระแทกเข้ากับก้นหลุมให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียที มันนานเสียจนสมองเริ่มเล่นตลกกับตัวเอง ไม่กี่นาทีถัดมาเขาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตนกำลังร่วงลงด้านล่างหรือลอยขึ้นด้านบนอยู่กันแน่ แต่ที่ชัดเจนก็คือ เขาหลุดเข้ามาติดกับดักเวทของใครบางคนเข้าให้แล้ว
...ให้ตายสิ!...
โลกิสบถในใจ
เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ แต่กลับคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด คล้ายว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับเขา เมื่อนานแสนนานมาแล้ว นานจนจำแทบไม่ได้ มันเหมือนเขากำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง หวาดกลัวอะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความสับสน อับอาย และเสียใจ
ในความทรงจำอันไม่ปะติดปะต่อ ดูเหมือนเขาจะคว้า หรือถูกใครบางคนคว้าเอาไว้นี่ล่ะ แต่หลังจากนั้นก็ร่วงสู่พื้นน้ำอันหนาวเย็นอยู่ดี
ภาพในหัวเลือนรางจนไร้ค่า ยิ่งในยามที่เขาต้องการรวบรวมสติ โลกิจึงสะบัดหัวแรงๆ ไล่ภาพนั้นออกไป เพื่อให้สมองของเขากลับมาพร้อมใช้งานอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขายังยืนอยู่กับธอร์ในมิดการ์ด แล้วอยู่ๆ วงเวทเรืองแสงสีทองก็พาเขามาลอยเค้งเต้งเช่นนี้ จะเป็นฝีมือใคร และมาดีมาร้ายเขาไม่รู้ ที่พอเดาได้คือเจตนาของคนทำ น่าจะเป็นการจงใจแยกเขาออกห่างจากธอร์ ซึ่งไร้สาระเหลือเกินในสายตาโลกิ
...ทำอย่างกับเขาและเชษฐาต่างสายโลหิตจะอยู่ด้วยกันได้นาน ต่อให้ไม่มีใครทำอะไร จบจากภารกิจตามโอดินกลับบ้าน เจ้าพี่โง่นั่นก็คงทอดทิ้งไม่เหลียวแลเขาเหมือนก่อนหน้านี้อยู่ดี... ชั่วเวลาไม่นานแค่นี้เจ้านักเวทนี่ ถึงกับอดรนทนรอไม่ได้...
โลกิแค่นขำออกมากับความคิดนั้น
...ตั้งแต่ได้พบกับหญิงสาวชาวมิดการ์ดนางนั้น ธอร์ก็ไม่ใส่ใจการอยู่หรือไปของเขาแล้ว เรียกง่ายๆ ก็คือ ไม่เห็นหัวเขาแล้วนั่นล่ะ บางทีถ้าหลุดจากเขตอาคมบ้าๆ นี่ได้ก่อนธอร์ เขาควรหนีไปให้ไกลๆ ก่อนจะถูกเจ้าพี่บ้าจับไปโยนทิ้งให้แห้งตายในคุกใต้ดินของ แอสการ์ดอีกรอบ...
โลกิหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาถูกจับไปขังครั้งก่อน มีเพียงท่านแม่ฟริกก้า ผู้เป็นที่รักของเขาเท่านั้น ที่ห่วงหาอาทรส่งของต่างๆ มาให้ และใช้มายาเวทมาเยี่ยมเขาถึงคุกใต้ดินบ่อยๆ ทั้งที่มันเป็นการขัดคำสั่งโอดินแท้ๆ ส่วนเจ้าพี่โง่ของเขากับโอดิน ต่างไม่เคยโผล่มาให้เห็นเงาหัว ไม่เคยแม้แต่จะส่งสารหรือฝากอะไรมาถึงเขาเสียด้วยซ้ำ
...ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการช่วยสตรีมิดการ์เดี้ยนนางนั้น...
นึกแล้วเจ็บแปลบในอก
‘ข้าเห็นเจ้าตาย! ข้าร้องไห้เป็นเผาเต่า!’
คำพูดของพี่ชายเมื่อครู่ ก่อนถูกจับแยกกันในนิวยอร์ก วนเวียนกลับมาเหมือนจงใจขัดความคิดตัดพ้อในหัวของเขา คำพูดนั้นชวนให้เขานึกภาพตามจนอดลอบยิ้มออกมาไม่ได้ ละครฉากนั้นมันกินใจ เสียจนเขาถึงกับต้องจ้างคณะละครมาเล่นให้ดูซ้ำๆ
...ก็มันหาดูได้ง่ายๆ เสียที่ไหน การที่เชษฐาของเขาร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ ให้อนุชาต่างสายเลือดอย่างเขาแบบนั้น...
สิ่งที่สร้างรอยยิ้มให้โลกิอีกเรื่อง เห็นจะเป็นข้อมูลสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งเขาเพิ่งรับรู้มาโดยบังเอิญเมื่อครู่
‘ไม่ได้โดนทิ้ง! รู้ไหม... ข้ากับเจนเราเลิกกันด้วยดี...’
ธอร์ดูกระอักกระอ่วน ยามพูดแก้ต่าง และให้นิยามใหม่ของคำว่า ‘โดนเจนทิ้ง’ ซึ่งเหล่าแฟนเกิร์ลชาวมิดการ์ดหลุดปากมาเข้าหูเขา โลกิเลยอนุเคราะห์เชษฐา ด้วยการปั้นหน้าเศร้า ตบบ่าปลอบใจไปตามสมควร แต่ข้างในน่ะเหรอ... ขอโทษเหอะ ดีใจจนลิงโลด
...แน่ล่ะ! เทพเจ้าแห่งสายฟ้า ว่าที่กษัตริย์แห่งแอสการ์ด กับหญิงสาวชาวมิดการ์ด มันไม่มีอะไรคู่ควรกันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว! ยิ่งฝืนคบกันนานไป มีแต่จะทำให้เชษฐาผู้โง่งมของเขานั่นล่ะที่ต้องเจ็บปวด มันเป็นผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวที่เห็นได้อย่างชัดเจนแท้ๆ แต่คนถือดีเช่นธอร์ กลับไม่แม้แต่จะยอมฟังคำเตือนจากเขาเสียด้วยซ้ำ...
นึกๆ ดูโลกิชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาควรรู้สึกยังไงกับข่าวนั่น เขาไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้ เชษฐาของเขาก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากของการทำใจมาได้แล้วรึยัง
...ยิ่งเจ้าเทพโคถึกนั่น นอกจากจะมือหนักแล้ว ยังปากหนักอย่างกับอะไรดี มีอะไรในใจก็ไม่ค่อยจะยอมพูดออกมาเสียด้วย ปกติมีแต่ต้องให้เขายั่วแหย่จนโมโหนั่นล่ะถึงจะยอมหลุดปาก...
คิดแล้วก็อยากถอนหายใจออกมาดังๆ
...ดูเหมือนยิ่งโตมาเชษฐาก็ยิ่งมีเรื่องเก็บงำ ไม่ยอมบอกเขามากขึ้นทุกที ทั้งที่เมื่อก่อนดีใจเสียใจอะไร ก็วิ่งโร่มาเล่าให้เขาฟังเสียทุกเรื่องแท้ๆ...
ความคิดนั้นพาเอารอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าเทพแห่งคำลวง
โลกิปล่อยตัวให้จมลงไปในความคิดตัวเองเงียบๆ พอรู้สึกตัวว่ามัวทำบ้าอะไรอยู่ ก็นึกโกรธตัวเองขึ้นมา
...มันใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ไหม โลกิแห่งโยธันไฮม์!...
เขาดุตัวเองในใจ และรีบกลับมาตั้งสติ เพื่อพยายามคิดหาทางออกไปจากกับดักเวทนี่ให้ได้
ความมืดและการไร้ซึ่งสัมผัสใดๆ ทำให้คนเป็นบ้าได้ง่ายๆ ไม่เว้นแม้แต่กับเทพอย่างเขา แล้วระหว่างที่เขาใกล้จะเป็นบ้าอยู่นี่ บางที ธอร์อาจกำลังต่อสู้เพียงลำพังกับนักเวทผู้สร้างเขตอาคมนี้อยู่ก็เป็นได้ และโลกิรู้ดี เชษฐาของเขาไม่เก่งกับการรับมือพวกใช้สมองเท่าไหร่นัก
...ยิ่งชักช้า ยิ่งไม่ได้การ!...
โลกิร่ายเวทและทดลองยิงบอลพลังออกไปในความมืด
เพียงครู่เดียวพลังมหาศาลในแบบเดียวกัน ก็สะท้อนกลับมารุนแรงกว่าที่เขายิงออกไปไม่รู้กี่เท่า แรงบีบอัดที่ได้รับทำเอาปอดของเขาแทบฉีก และแน่นจุกตรงกลางอกจนต้องงอตัว
ยังดีที่เขาแค่ยิงพลังออกไปเพื่อหยั่งเชิงเท่านั้น แต่ขนาดออมแรงแล้วยังทำเอาจุก เหมือนถูกลากเข้าไปบีบอัดตรงศูนย์กลางการระเบิดของดาวเคราะห์สักดวงขนาดนี้
“...บ้าที่สุด!”
โลกิสบถเบาๆ หูทั้งสองข้างของเขากลับอื้อ จนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของตนเองแล้ว ในหัวเริ่มพร่าเบลอ และสุดท้ายสติของเขาก็พลันดับวูบลง
--- ℑ ---
“โลกิ!! โลกิ!”
ยามสติเลือนราง เสียงเรียกคุ้นหูดังก้องขึ้นในหัว จะเป็นเสียงใครไปได้นอกจากเชษฐา หากแต่มันเป็นเสียงของธอร์เมื่อครั้งยังเยาว์วัยกว่านี้
ความทรงจำซึ่งหล่นหายไปตามกาลเวลา หรืออาจด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าตัวไม่อยากจดจำ จากที่เคยเลือนรางบัดนี้กลับมาชัดเจนราวกับรูปถ่ายที่เพิ่งถูกฉวยมาปัดฝุ่น
โลกิจำได้ว่าตนวิ่งหนีเชษฐา ซึ่งร้องเรียกและวิ่งตามมาเบื้องหลัง แต่อะไรทำให้เขาในตอนนั้นรู้สึกหวาดกลัวอีกคน จนวิ่งเสียสุดแรงกลับจำไม่ได้ รู้แค่ตอนนั้นเขาแทบไม่สนใจกิ่งไม้ในป่าสองข้างทาง วิ่งไป ชนกระแทกไปตลอดทาง จนขึ้นรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด ในใจคิดเพียงต้องไม่ให้ถูกพบตัว และต้องหนีไปให้ได้
พื้นที่กำลังเหยียบย่าง จู่ๆ กลับกลายเป็นอากาศธาตุ แล้วร่างของเขาก็ร่วงลงไปในความมืดอันเวิ้งว้าง
โลกิจำได้ว่าเขาแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจจนลืมตัว ก่อนจะถูกใครบางคนคว้าแขนไว้จากด้านบน
“โลกิ! ข้า... เหวอออ!!”
ตู้ม!!
ยังไม่ทันที่ธอร์จะได้พูดอะไร ร่างของเด็กทั้งสองก็ร่วงลงสู่พื้นน้ำอันเย็นเฉียบ แขนของโลกิข้างที่ถูกคว้าไว้แน่นตั้งแต่ตอนร่วงลงมา ถูกเชษฐาฉุดดึง ทำให้เขาลอยตัวกลับขึ้นไปรับอากาศเหนือผิวน้ำได้อย่างรวดเร็ว
“แค่กๆ!!”
เทพเจ้าองค์น้อยทั้งสองต่างคนต่างสำลักน้ำ ดีที่มันเป็นน้ำใต้ดินซึ่งไม่เป็นอันตราย และรสชาติไม่ได้แย่เกินไปนัก
หลังจากยกมือปาดน้ำออกจากใบหน้า โลกิพบว่า เขาและธอร์กำลังยืนอยู่ในน้ำ ซึ่งสูงท่วมถึงระดับอก
“ท่าทางจะเป็นบ่อน้ำเก่า”
สุรเสียงของเชษฐาไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวใดๆ ไม่ต่างจากในยามปกติ ถึงอย่างนั้นโลกิก็ยังคงตื่นกลัวคนตรงหน้าอยู่ดี
มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก เมื่อเขาในตอนนี้หวนนึกย้อนกลับไป
โลกิยังคงไม่ตอบรับใดๆ รอจนดวงตาปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว จึงเห็นว่าเชษฐาของตนกำลังยืนเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน มือข้างที่กุมแขนเขาก่อนหน้านี้ เปลี่ยนมาขยุ้มคอเสื้อด้านหลังเขาไว้แน่นแทน ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปไหนอีก
โลกิเงยหน้ามองตามขึ้นไป เห็นแสงสว่างลอดผ่านรูเล็กๆ ไกลลิบทางด้านบนก็ถอนหายใจ เขาหวังว่าตนจะได้รับการช่วยไม่ให้ตกลงมา จากมือที่ยื่นมาคว้าแขนเขาไว้ แต่เปล่าเลย... กลายเป็นว่าพวกเขาดันร่วงลงมาด้วยกันเสียอย่างนั้น
...นั่นแหละธอร์...
โลกิคิด
...จะคาดหวังอะไรจากเชษฐา ผู้ถนัดใช้แต่แรงมากกว่าใช้หัวคิดได้เล่า...
เขาได้แต่นึกปลง แล้วเริ่มกวาดตาไปรอบๆ เผื่อจะเจอทางกลับขึ้นไป
เทพแห่งสายฟ้าเห็นว่าคนข้างๆ ไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาจึงก้มกลับมามองดูอนุชาอีกครั้ง
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“เปล่า”
คนถามพยักหน้ารับรู้
“ดีแล้ว”
ธอร์ตอบรับเพียงสั้นๆ จากนั้นเดินช้าๆ พร้อมยื่นมือไปข้างหน้าคลำหาผนังบ่อน้ำ โดยไม่ลืมหิ้วอนุชาติดมือไปด้วยดุจหิ้วกระเป๋าถือใบโปรด
น่าเสียดาย ที่ตะไคร่จับเสียจนผนังบ่อน้ำเก่าแห่งนี้ลื่นเกินจะปีนป่ายขึ้นไปได้ และจากระยะความสูงที่พวกเขาร่วงลงมา โลกิก็พอบอกได้ว่า ทั้งเขาและเชษฐาคงไม่สามารถกระโดดพ้นปากบ่อได้เป็นแน่
“ให้ข้าลองโยนเจ้าขึ้นไปด้านบนดูไหม?”
“ไม่! ข้าเกลียดเวลาเจ้าโยนข้า!”
โลกิถึงกับแหวใส่ทันทีที่ได้ยิน
“ไม่เอาน่า... โลกิ เจ้าชอบมัน”
อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงกลั้วขำ
“ข้า-เกลียด-มัน!”
โลกิมุ่ยหน้า เขาพูดเน้นทีละคำเหมือนอยากให้แน่ใจ ว่าทุกความหมายของมันจะซึมผ่านกะโหลกหนาๆ ของเชษฐาตนลงไป เขาอดนึกโมโหไม่ได้ ว่าอะไรทำให้เจ้าพี่ทึ่มของเขาเข้าใจไปได้ว่า เขาชอบถูก เขวี้ยงถูกโยนไปมาเหมือนสิ่งของแบบนั้น และน่าโมโหยิ่งกว่า เวลาการโต้เถียงของพวกเขาจบลงโดยความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่”
...นั่นไง! นั่นล่ะที่เขาพูดถึง!!...
โลกิแทบกรีดร้องในใจ
“หรือเจ้ามีแผนที่ดีกว่านี้?” ธอร์เอ่ยถาม
น้ำเสียงมั่นใจเสียเต็มประดา ว่าการเจรจาครั้งนี้ตนจะเป็นฝ่ายชนะ
โลกิกัดริมฝีปากล่างตนเองอย่างหงุดหงิด
...แต่จะโทษใครได้ ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเขายอมตามใจพี่ชายตัวดีนี่ทุกครั้งหรอกหรือ ถึงมีวันนี้ อ๋อแน่ล่ะ เขาทำไปเพียงเพื่อให้ได้รับความรักความเมตตา จากลูกชายคนโปรดของโอดินก็เท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะโตมาเสียนิสัยจนไม่ยอมฟังใครถึงเพียงนี้...
“ระวังหัวเจ้านะ โลกิ!”
อีกฝ่ายให้สัญญาณ ทำเอาเจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดพลันหลุดจากภวังค์ความคิด เขารีบร้องห้ามเสียงหลง และยกมือผลักแผ่นอกเชษฐา ซึ่งยืนขยุ้มคอเสื้อเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ให้ออกห่าง จังหวะนั้นไม่คาดคิด ว่าอีกคนจะหลุดเสียงร้องเบาๆ ออกมา แต่เพราะพวกเขาอยู่กันในบ่อน้ำ เสียงนั้นจึงดังก้องจนโลกิสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน
“อุก!”
“......”
โลกิดันอีกฝ่ายออกค่อนข้างแรง แต่ด้วยขนาดกำลังของเขา เทียบกับความถึกทนของเชษฐา แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรู้สาใดๆ ได้หากไม่ใช่...
“ท่านพี่... ท่านบาดเจ็บอยู่...”
โลกิเอ่ยออกมาอย่างมีชัยและยิ้มน้อยๆ ในความมืด ซึ่งอีกคนคงไม่สามารถสังเกตเห็นได้
...แน่ล่ะในเมื่อธอร์บาดเจ็บแผนบ้าพลังต่างๆ ที่เชษฐาเสนอมาย่อมไม่อาจทำได้แล้ว...
“เก็บแรงท่านไว้ดีกว่าท่านพี่... บางทีสิ่งที่เราทั้งคู่ต้องทำ อาจมีเพียงแค่รอคอย จนกว่าไฮม์ดัลจะมองมา แล้วพาคนมาช่วยก็เท่านั้น”
โลกิแน่ใจว่าเทพผู้เฝ้าระวังไบฟรอสต์ ผู้มีดวงตาที่เห็นทุกอย่างในโลกทั้งเก้าได้ ช้าเร็วย่อมต้องพบเห็นเขาทั้งคู่แช่อยู่ในบ่อน้ำนี่ และตามคนมาช่วยอยู่ดี จึงไม่นึกกังวล
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก... แต่แผนที่เจ้าว่ามานั่นก็ใช้ได้”
เจ้าคนเจ็บพูดแล้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่ไม่รู้ชะตากรรม ว่าพวกเขาต้องอยู่ในบ่อน้ำร้างนี่ไปอีกนานเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
เมื่อไม่เหลือเค้าอาการเมื่อครู่ให้ต้องกังวล โลกิก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อบทสนทนาจบลง และเป็นธอร์ที่เอ่ยตัดความเงียบขึ้นก่อน
“ข้าดีใจนะโลกิ ที่ข้ามีเจ้าอยู่ด้วย...”
น้ำเสียงอีกฝ่ายดูจริงจัง จนโลกิอดหันไปมองทางคนพูดไม่ได้ แม้ตรงนี้จะมืดมาก จนไม่สามารถเห็นสีหน้าเชษฐาในตอนนี้ได้ก็ตาม
“อ๊ะ! ข้าไม่ได้หมายถึงอยู่ด้วยกันในบ่อน้ำนี่นะ ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าตกลงมาหรอก ข้าหมายถึงทุกที่ และอืม... ก็ใช่... รวมทั้งในบ่อน้ำนี่ด้วย”
โลกิได้แต่ฟังถ้อยคำกลับไปกลับมาชวนสับสน คล้ายคำพูดเหล่านั้นไม่ผ่านหยักในสมองของเชษฐาตนเอาซะเลยอย่างเงียบๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก ว่าอีกคนจะทะเลาะกับตัวเองไปทำไม ระหว่างที่กำลังนึกหาถ้อยคำมาเหน็บแนมเชษฐาของเขาเล่นเช่นทุกที ธอร์ก็กลับมาตื่นเต้นกับแผนการใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งนึกออก
“โลกิ! เจ้าปีนขึ้นมาขี่คอพี่มา!”
คนเป็นน้องพ่นลมหายใจออกทันทีที่ได้ฟังอย่างหน่ายๆ
“นั่นจะไร้ประโยชน์พี่ข้า... บ่อนี้ลึกเกินกว่าที่ข้าหรือท่านจะกระโดด หรือปีนออกไปได้”
“ขึ้นมาเถอะน่า... ด้านล่างเป็นตะไคร่ แต่เหนือผิวน้ำขึ้นไป อาจจะพอมีที่ให้ยึดเกาะได้ก็ได้นะ”
เทพสายฟ้าองค์น้อยคะยั้นคะยอให้อนุชาปีนขึ้นไปบนบ่าเขาไม่หยุด จนโลกิทนความเซ้าซี้ไม่ได้ และด้วยตามใจเชษฐามาจนเคยชิน สุดท้ายโลกิก็ยอมปีนขึ้นไปนั่งหน้ามุ่ยขี่คออีกคนจนได้
“ข้าบอกท่านพี่แล้วว่ามันเปล่าประโยชน์”
อนุชาองค์น้อยตวัดหางเสียงอย่างเคืองๆ เมื่อมือสัมผัสตามผนังบ่อระดับเหนือขึ้นมาจากผิวน้ำ แล้วพบว่ามันลื่นจนไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ไม่ต่างกันกับด้านล่าง
“อา... งั้นสินะ”
อีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ คล้ายไม่แปลกใจอันใด ทำเอาโลกิพ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
โลกิอดไม่ได้ที่จะคิด ว่ากะโหลกหนาๆ ของเชษฐาซึ่งเขาเกาะอยู่นี่ ช่างทำให้เขาต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกิน กว่าจะทำให้คำพูดใดๆ ของเขาซึมผ่านลงไป แล้วทำให้เจ้าของมันเข้าใจและยอมรับได้ในแต่ละเรื่อง
เมื่อธอร์ได้ทดลองสมใจจนไม่ติดใจสงสัยแล้ว โลกิก็ตั้งท่าจะปีนกลับลงไปอย่างเก่า แต่กลับถูกอีกคนห้ามไว้
“ไม่ต้องลงมาหรอก! เจ้าอยู่บนนั้นไปแหละ”
!? งงดิ
“ทำไมข้าจะต้องอยู่บนนี้ล่ะ?”
“ข้าขี้เกียจให้เจ้าไต่ขึ้นไต่ลง”
โลกิมุ่นคิ้วทันทีกับคำตอบประหลาดๆ ของเชษฐา แต่ก็เลือกจะปล่อยวางในที่สุด บ่อยครั้งที่เขาเลิกคิด เลิกพยายามทำความเข้าใจในตัวพี่ชาย
โลกิให้คำตอบกับตัวเองว่า มันไม่มีตรรกะอะไรในหัวของคนที่ไม่มีตรรกะอยู่แล้ว และเขาคงกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน หากต้องมานั่งหาเหตุผลในทุกๆ การกระทำของธอร์
...ดีเหมือนกัน... อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนยืนขาแข็งแช่น้ำเย็นๆ นั่น แถมต้องรอนานแค่ไหนก็ยังไม่รู้ กว่าจะมีคนมาช่วย อยู่บนนี้ก็สบายดี...
อนุชาองค์น้อยเกาะศีรษะของเชษฐาไว้ พลางชะโงกตัวไปด้านหน้านิดเพื่อก้มบอกอีกฝ่าย
“ถ้าท่านพี่เมื่อย หรือรู้สึกหนัก อยากให้ข้าลงก็บอกข้าแล้วกัน”
“อืม... แล้วข้าจะบอก”
บุตรคนโตแห่งโอดินตอบน้องชาย รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าเทพเจ้าสายฟ้าตัวน้อย แต่คนด้านบนคงไม่มีโอกาสได้เห็น
พวกเขารอจนกระทั่งพลบค่ำ โลกิจำได้ว่าตนเกือบจะนั่งหลับไปบนบ่าของธอร์อยู่แล้ว ทั้งในท่าเกาะกอดศีรษะของอีกคนไว้นั่นล่ะ กว่าจะมีคนมาช่วยดึงพวกเขาขึ้นไปจากบ่อร้างแห่งนี้ ทั้งคู่ถูกนำขึ้นมาในสภาพอ่อนเพลีย เหล่าทหารและนางกำนัลต่างกรูเข้ามาช่วยกันดูแลเจ้าชายองค์น้อยทั้งสองพระองค์ทันที
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงร้องอย่างตื่นตกใจ ดังขึ้นจากกลุ่มนางกำนัลซึ่งกำลังช่วยกันดูแลปฐมพยาบาลบุตรคนโตแห่งโอดิน
เสียงร้องนั้นเรียกให้โลกิหันมองตาม และนั่นเป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็นใบหน้าซีดขาวจนแทบไม่มีสีเลือดของเชษฐา หลังขึ้นมาจากบ่อน้ำ ช่างตรงข้ามกับผ้าห่มผืนหนาในมือนางกำนัล ผืนซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ซับห่อร่างเปียกปอนของเจ้าชายองค์น้อย เพราะบัดนี้ผ้าผืนนั้นเป็นสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสดๆ ของธอร์...
==TBC.==
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in