เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#Fictober2017 By ZiarZiar Zynix
Day 7 : Shy


  •                 ฟ้าฝนดูจะไม่ให้ความร่วมมือกับแผนการของเขาสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อรีสขยับตัวตื่นตอนเช้าตรู่ ก็ได้พบว่าเสียงที่ปลุกเขาไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกแต่เป็นเสียงฝนห่าใหญ่ที่ถั่งโถมลงมาราวกับฟ้ารั่ว

                    ชายหนุ่มตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่สติยังไม่ตื่นเต็มที่ เพื่อที่จะแง้มผ้าม่านมองทิวทัศน์ภายนอก

                    ฝนเทกระหน่ำรุนแรงเสียจนกระจกหน้าต่างกลับกลายเป็นม่านน้ำตก แม้แต่หน้าต่างฝั่งตรงข้ามก็ยังดูพร่าเลือนจนเหลือเพียงแสงไฟวับแวม

                    นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะทำงานกำลังบอกเวลาตีห้าครึ่ง

                    รีสนึกสงสัยว่าควรจะขอบคุณฝนหรือไม่ที่ทำให้เขาสามารถกลับไปนอนต่อได้อย่างสบายใจด้วยปริมาณฝนขนาดนี้พื้นที่ของสำนักงานก็น่าจะเฉอะแฉะไม่ต่างกัน คนร้ายคงไม่ลงทุนนำต้นฉนับของเขาฝ่าฝนมาส่งแน่และอีกนานกระมังกว่ามันจะยอมหยุด

                    เสียงฝนทำให้รีสผล็อยหลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการหลับที่ไม่ได้ลึกนัก เขายังรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝนวนเวียนอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าครึ่งหนึ่งของสติยังคงตื่นตัวอยู่

                    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะเขาปิดนาฬิกาปลุกไปก่อนที่จะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ตอนที่ตื่นมารีสก็พบว่าฝนซาลงแล้วแต่ยังไม่ได้หยุดสนิท

                    8:26 AM

                    ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบ่งบอกเช่นนั้นทำให้เจ้าของรีบกุลีกุจอแต่งตัวเพื่อออกไปสำนักงาน

                    “วันนี้มีเอกสารมาส่งหรือยัง?” เพื่อความมั่นใจ เขาจึงโทรหาโมแรนดูก่อน

                    “ยังไม่มีมานะ นี่ฉันเพิ่งจะผ่านตู้จดหมายมาเอง” ได้ยินอีกฝั่งของสายบอกเช่นนั้นรีสก็ค่อยวางใจ

                    เมื่อไปถึงอาคาร ชายหนุ่มก็ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ข้างหน้าครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจข้ามถนนไปที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ฝั่งตรงข้าม

                    เวลานี้เป็นเวลาใกล้เข้างานของหลาย ๆ บริษัทในละแวกนี้ ทำให้ร้านกาแฟคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจนรีสจำต้องเบียดตัวเข้าไปในร้านและยืนต่อแถวยาวเหยียดไปยังเคาท์เตอร์โดยไม่วายหันมองไปทางประตูอาคารสำนักงานอยู่เกือบตลอด

                    แต่แล้วเขากลับถูกสะกิดจากด้านหลัง

                    เรเชลนั่นเอง

                    หญิงสาวยังดูเนี๊ยบไปทุกกระเบียดเช่นเดิม ในมือของเธอมีถาดที่สวมถ้วยกาแฟอยู่สองถ้วยและกระเป๋าคล้องแขนที่แสดงให้เห็นว่าเธอมาที่นี่ก่อนจะเข้างาน

                    “ฉันได้ยินจากคุณวีลลิสแล้วเรื่องที่...” เธอเกริ่นนำก่อนกลอกตา “อะไรก็ตามที่คุณคิดจะทำ”

                    “คุณคงไม่เห็นด้วย”

                    “ใช่ ฉันไม่เห็นด้วยซึ่งฉันเดาว่าคุณวีลลิสน่าจะบอกเหตุผลคุณแล้ว”

                    รีสยิ้มแกน แน่นอนว่าใคร ๆ ที่ได้ยินย่อมไม่เห็นด้วย เมื่อนับจากภาวะลุกลี้ลุกลนของเขาในระยะนี้ ทุกคนคงพูดเหมือนกันว่าเป็นสิ่งที่เขาวิตกจริตไปเอง

                    หากจะว่าตามจริง ตอนนี้ต้นฉบับของเขากำลังถูกทยอยส่งกลับมาในสภาพใหม่ใสกิ๊งและเนื้อหาบทความเหมือนเดิมทุกประการ บรรณาธิการอย่างโมแรนรวมถึงผู้ช่วยอย่างเรเชลย่อมมองว่าสภาพการณ์กำลังเป็นไปด้วยดีเพียงแค่นั่งรอเฉย ๆ เดี๋ยวของทั้งหมดก็จะถูกลำเลียงมาส่งเอง พวกเขาดูจะหมดความสนใจต่อต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว

                    ต่างจากรีส...ที่ยิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขากลับยิ่งต้องการตามหาความจริงยิ่งกว่าเดิม

                    หากสิ่งของทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีเบาะแสใด ๆ ราวกับทุกสิ่งจางหายไปกับอากาศ รีสคงสามารถปล่อยวางได้ง่ายกว่า แต่เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเตือนอยู่เรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่หายไปยังมีตัวตนอยู่ในสารบบความรับรู้ สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเขาก็ยิ่งพยายามดิ้นรนและผลักดันให้เดินหน้าค้นหาต่อไป

                    เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาเงียบไปเรเชลก็สูดหายใจลึกก่อนพรูออกมา

                    “แต่ฉันคิดว่าฉันพอเข้าใจคุณนะ”

                    ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วสูง ตั้งแต่รู้จักกันมา เธอคนนี้ไม่ค่อยแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อใครเท่าไหร่ การได้ยินเช่นนี้จึงน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย

                    “ของของคุณหายไปต่อหน้าต่อตา ไม่แปลกหรอกที่คุณจะมีความหวังว่าจะได้มันคืนหากเจอคนที่ขโมยไป” เธออธิบายต่อเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร “ว่าไปแล้ว นอกจากต้นฉบับ ทั้งบัตรกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์มือถือของคุณก็หายไปพร้อมกันด้วยนี่นะ”

                    “ครับ แต่ผมคิดว่าคงจะไม่ได้ของพวกนั้นคืนหรอก” รีสตอบกลับอย่างปลงตก

                    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อยากได้ตัวเขาส่งตำรวจ?”

                    เป็นคำถามที่ทำให้ผู้ฟังชะงักไปชั่วครู่ รีสไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยทั้งที่ควรเป็นความคิดพื้นฐานเมื่อมีโจรผู้ร้ายอยู่ในสังคม

                    “อาจจะเป็นแบบนั้นแหละครับ” เพราะไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายที่เหมาะสม เขาจึงตอบรับคำถามนั้นโดยไม่มีข้อขัดแย้ง “ให้ผมช่วยถือเข้าไปไหม?” และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นถ้วยกาแฟในมือของหญิงสาวที่จริง ๆ มันไม่ได้ทำให้เธอลำบากลำบนอะไรนัก

                    “ไม่เป็นไรหรอก คุณต่อคิวไปเถอะ” เรเชลปฏิเสธความช่วยเหลือพลางพยักพเยิดให้รีสขยับตัวไปข้างหน้าตามการไหลของคิว ก่อนเสสายตาไปทางอาคารและเห็นใครบางคนถือซองเอกสารกำลังเดินเข้าไป “บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่คุณอยากเจอก็ได้ เดี๋ยวฉันจะเอากาแฟเข้าไปข้างในก่อนถ้าเจอซองต้นฉบับคุณจะโทรมาบอกก็แล้วกัน” โดยไม่รอคำตอบรับจากคู่สนทนาเรเชลก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว

                    ส่วนรีสเมื่อได้ยินว่ามีคนถือซองเอกสารเข้าไปก็นึกร่ำ ๆ จะเข้าไปดูด้วยตัวเองแต่หากเรเชลบอกว่าจะช่วยดูให้ เขาก็พอมั่นใจได้ว่าเธอจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ

                    ไม่นานก็ถึงคิวที่รอเขาสั่งคาปูชิโนแบบใส่ถ้วยกระดาษมาถ้วยหนึ่ง เพราะเห็นว่าภายในร้านแทบไม่มีที่ให้นั่ง แต่จนจ่ายเงินเสร็จสรรพแล้วก็ยังไม่มีสายจากเรเชล

                    ชายหนุ่มตัดสินใจข้ามถนนไปยังอาคารสำนักงาน ก้าวแรกที่เขาย่างเข้าไปข้างใน รปภ.ก็เลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ

                    เมื่อรปภ.เห็นว่าชายหนุ่มเดินไปนั่งรอที่โซฟาใกล้ ๆ โต๊ะประชาสัมพันธ์ ก็เดินเข้ามาสอบถาม

                    “กำลังรอใครเหรอครับ?” คำถามไม่ได้ดูคุกคามนัก แต่ใบหน้าถมึงทึงของเจ้าตัวทำให้มันดูน่ากลัวกว่าปกตินิดหน่อย

                    “ผมแค่...อยากมารอของน่ะครับ” รีสไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงได้แต่ยิ้มจาง

                    “รอของ?” คนถามเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะร้องอ้อ “คุณเป็นคนของสำนักพิมพ์ข้างบนนั่นใช่ไหม?”

                    ไม่นึกว่าจะมีคนสังเกตเห็นทำให้รีสมองตอบด้วยความประหลาดใจ

                    “ผู้หญิงคนนึงที่ทำงานที่นี่เธอบอกกับผมว่า ให้ช่วยดูให้หน่อยว่าวันนี้จะมีคนเอาเอกสารเข้ามาส่งให้สำนักพิมพ์หรือเปล่า และบอกอีกว่าจะมีคนมารอรับมันอยู่” คนพูดใช้น้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยพอใจนักที่ได้รับคำสั่งนอกเหนือจากหน้าที่ตนเอง

                    บางทีคงเป็นเรเชล

                    รีสนึกถึงเธอขึ้นมาในใจ

                    “ถ้าคุณอยากนั่งรอตรงนี้ก็แล้วแต่” รปภ.พูดขึ้นมาอีกครั้งเพราะเห็นรีสไม่ตอบคำและไม่มีทีท่าจะลุกออกไปเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวก็เดินเข้าประตูสำหรับพนักงานเข้าไป

                    ห้องที่รปภ.เดินเข้าไปนั่ง ที่จริงก็เป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เขานี้เอง ผนังด้านหลังโต๊ะถูกเจาะเป็นช่องและติดกระจกบานเลื่อน จากบานกระจกนี้คนที่เข้ามาในอาคารจะสามารถติดต่อธุระปะปังกับพนักงานข้างในห้องได้ และที่จริงแล้ว ช่องผนังนี้หันไปทางที่วางตู้จดหมายที่เรียงตลอดแนวผนังฝั่งตรงข้ามอย่างพอดิบพอดี แต่รีสพนันว่ารปภ.คนนี้คงไม่คิดจะนั่งมองมันทั้งวันหรอก

                    ตอนที่ชะเง้อมองเข้าไป เขาก็เห็นว่ารปภ.คนเมื่อครู่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะด้านใน

                    เพราะเวลานี้คนเข้าออกเริ่มซาแล้วกระมัง? หรือบางที...อาจเป็นเพราะฝ่ายนั้นได้บรรจุหน้าที่เฝ้าประตูชั่วคราวให้เขาเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้...

      <------------------------------------>

                    สองชั่วโมงต่อมา รีสไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติเลยและกาแฟในถ้วยก็หมดเกลี้ยงแล้ว ทำให้กำลังอยู่ในภาวะไม่มีอะไรทำ

                    สิ่งที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ไม่ใช่ถ้วยกาแฟว่างเปล่าแต่เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง

                    รีสได้คาดคะเนมาแล้วว่าของที่เขาเฝ้ารอคงไม่ได้มาถึงในทันทีที่ต้องการ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือที่อ่านค้างติดมือออกมาจากห้องด้วย

                    น่าเสียดายที่ตอนนี้มันกำลังจะหมดเล่มแล้ว...

                    ชายหนุ่มมองจำนวนหน้ากระดาษที่เหลือในมือขวา แล้วสงสัยว่าหากมันจบลงก่อนเขาจะเอาอะไรฆ่าเวลาต่อจากนี้ดี?

                    แต่แล้ว รีสก็เงยหน้าขึ้นและได้เห็นใครบางคนเดินเข้ามาในอาคาร

                    ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเข้างานหรือพักเที่ยง คนเดินออกเข้ามีอยู่แค่ไม่กี่ประเภท

                    ผู้ชายคนนั้นตัวไม่ได้สูงนัก มีหนวดเครา และสวมเสื้อแขนยาวตัวหนาพร้อมกับถุงมือ ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นเขามาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านหน้า เจ้าตัวมีท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อยตอนที่มาถึงหน้าประตูแต่ไม่ได้สนใจที่จะเดินมาทางโต๊ะประชาสัมพันธ์แต่กลับจ้องมองไปทางตู้จดหมายที่วางเรียงกันเป็นชื่อบริษัทต่าง ๆ ที่เช่าทำงานอยู่ภายในอาคารนี้

                    รีสลอบมองฝ่ายนั้นอยู่ก่อนจะได้เห็นว่าผู้ชายคนนั้นรูดซิปเสื้อออกก่อนหยิบซองเอกสารออกมา จากนั้นจึงวางลงตรงตู้ที่เป็นของสำนักพิมพ์และหมุนตัวเดินออกไป

                    เมื่อเห็นองค์ประกอบครบดังนั้น ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วสาวเท้าไปหยิบซองเอกสารมาพลิกดู ทว่า...ซองเอกสารฉบับนี้มีจ่าหน้าอย่างเรียบร้อย!?

                    ทางผู้ส่งกำลังจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป รีสไม่มีเวลาตัดสินใจมากนักจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

                    “เดี๋ยวครับ!” เขาร้องเรียกทำให้ชายเจ้าของมอเตอร์ไซค์ชะงักมือที่กำลังจะสวมหมวกกันน็อคแล้วลดมือลงพลางหันมองด้วยสายตาสงสัย

                    “มีอะไรหรือเปล่า?” ฝ่ายนั้นถาม

                    “คือ...เอกสารนี่...มันคืออะไรเหรอครับ?” เพราะไม่มีเวลาที่จะเปิด รีสจึงตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ซึ่งคนถูกถามก็ไหวไหล่

                    “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แค่ญาติฉันขอให้มาส่งให้” น้ำเสียงของคนตอบไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เพราะรีสกำลังทำให้เสียเวลา “แล้วนี่นายเป็นใคร? ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่าอย่าหยิบของของคนอื่นตามใจชอบเอากลับไปคืนที่เดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ฉันจะแจ้งรปภ.ตึก!”

                    “มีอะไรกัน?” พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา รปภ.คนเดิมยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูเพราะเห็นปฏิกิริยารีสตั้งแต่วิ่งไปหยิบของและออกมาคุยอยู่ตรงนี้

                    “เฮ้! เจ้าหมอนี่กำลังจะขโมยของนะ!” ชายที่คร่อมอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์โวยวาย

                    “ไม่ใช่นะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าใครส่งมา” รีสแก้ตัว

                    “เอาล่ะ หยุด! หยุดเลย” ฝ่ายรปภ.ฟังทั้งคู่แล้วก็ยกมือปราม “ผมอยากขอให้คุณส่งของนั่นคืนมาก่อน เดี๋ยวผมจะได้โทรติดต่อให้คนข้างบนลงมารับ” เพราะไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตเกินจำเป็น รีสจึงส่งซองเอกสารให้รปภ.ทำให้คนส่งของผ่อนคลายสีหน้าลงด้วยความพึงพอใจ และหลังจากได้รับคำยืนยันจากรปภ.ว่าของจะถึงมือผู้รับอย่างแน่นอนเจ้าตัวจึงยอมขับรถออกไปโดยดี

                    พอเหลือกันสองคนแล้วทางรปภ.ก็ตีหน้ายักษ์ใส่รีสทันที

                    “ผมจะโทรไปเรียกบก.ของคุณลงมา พวกคุณคุยกันเองก็แล้วกัน” ว่าจบก็เดินเข้าไปในห้องพนักงานอีกครั้งเพื่อโทรหาสำนักพิมพ์อย่างที่เอ่ยปากเอาไว้

                    รีสยกมือขึ้นลูบหน้า รู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งทำเรื่องงี่เง่าลงไปหมาด ๆ โมแรนจะต้องไม่ชอบแน่หากได้ยิน

                    “คุณครับ” ในระหว่างที่กำลังคิดว่าควรทำอย่างไรต่อ เขาก็ถูกสะกิดเรียกจากด้านหลัง และเมื่อหันไปก็เห็นชายวัยกลางคนในเสื้อผ้าโทรม ๆ คนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่ในระยะเกือบประชิด

                    “ครับ?” รีสทำได้เพียงรับคำกลับไปโดยที่ยังงงุนงงสงสัยว่าทำไมตนจึงถูกเรียก แล้วก็นึกได้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะต้องการเงินก็ได้จึงกำลังจะล้วงมือหยิบเงิน แต่แล้วกลับมาของสิ่งหนึ่งยื่นออกมาตรงหน้า

                    ซองเอกสารขนาด A4 สภาพเรียบกริบไม่มีร่องรอยการจ่าหน้าอยู่ในมือของชายคนนั้น

                    มันดึงดูดสายตาและความสนใจของเขาไปนานเสียจนเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองยืนอยู่ที่ไหน จนกระทั่งรปภ.คนเดิมเดินออกมาและทำท่าจะไล่คนจรจัดออกไปให้พ้นจากหน้าตึก รีสจึงรีบพาชายคนนั้นเดินห่างออกมาจากประตูอีกหน่อย

                    “นี่...เป็นของคุณเหรอครับ?” หลังจากขยับออกมาห่างจากอาคารพอควรแล้ว ชายหนุ่มก็รับซองเอกสารมาพลางเอ่ยถาม

                    “เปล่า ๆ มีคนขอให้ฉันเอามาให้คุณน่ะ” ชายวัยกลางคนตอบพลางโบกมือไปมาแล้วยื่นมันออกมาข้างหน้า

                    “อ...อะไรครับ?” เพราะสงสัยอากัปกิริยาของอีกฝ่าย รีสจึงได้แต่มองมือสลับกับเจ้าของมันด้วยความงงงวยก่อนได้รับคำเฉลย

                    “เขาบอกว่าถ้าฉันเอามาส่งจะได้เงินนี่นา”

                    เอ๋?

                    “หมายถึง...คนที่ส่งของนี่มา บอกว่าผมจะให้ค่าจ้างคุณเหรอครับ?” ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นกะพริบปริบ ๆ เพราะยังสับสน แต่เมื่อเห็นการพยักหน้าก็เข้าใจได้ทันที

                    เจ้าหมอนี่...แสบนักเชียว...

                    การที่เอกสารถูกนำมาให้เขาโดยตรงแทนที่จะถูกนำเข้าไปวางไว้ด้านใน แสดงว่าเจ้าตัวกำลังมองดูอยู่จากที่ไหนสักแห่ง หนำซ้ำยังฝากคนอื่นนำมาส่งโดยใช้เงินเขาล่อเสียอีก!

                    “ก็ได้ ผมจะให้เงินคุณ แต่ว่าช่วยตอบผมข้อหนึ่งก่อนจะได้หรือเปล่า?” พอเริ่มต่อรองชายจรจัดคนนั้นมุ่ยหน้าไปเล็กน้อยแต่ก็เพราะอยากได้เงินอยู่จึงพยักหน้าแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ

                    “อยากถามอะไรก็ถามมาเล๊ย” เขาว่าเช่นนั้นรีสจึงหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วยื่นให้อีกฝ่ายลองพิจารณาดูก่อน

                    “คนที่บอกให้คุณเอาของมาส่งใช่คนนี้หรือเปล่า?”

                    ชายจรจัดมุ่นคิ้วพลางทำสีหน้าพิลึกพิลั่นอยู่หลายวินาทีก่อนจะส่ายศีรษะ

                    “ไม่ใช่ ไม่ใช่คนนี้ร้อก” เขาตอบเสียงสูงและยิ้มกว้างตามเดิม “แล้วฉันจะได้เงินหรือยัง?”

                    “ไม่ใช่จริง ๆ เหรอครับ?” รีสถามย้ำทำให้อีกฝ่ายดูหลุกหลิกขึ้นมาแต่ก็ยังยืนยันคำเดิม เขาจึงหยิบธนบัตรใบหนึ่งยื่นให้

                    เมื่อชายจรจัดได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะรีบเดินหนีไป

                    “แต่ว่า...” เสียงของชายหนุ่มรั้งให้คนจรจัดชะงักเท้า รีสแย้มรอยยิ้มให้เขาอย่างอารีก่อนกล่าวต่อ “ถ้าหากว่าคุณพูดความจริงล่ะก็ผมจะให้คุณอีกใบ”

                    การต่อรองครั้งนี้ทำให้ชายจรจัดครุ่นคิด

                    “จะหาว่าฉันโกหกเหรอ ได้! ลองส่งบัตรนั่นมาให้ดูอีกทีสิ!” เจ้าตัวทำหน้าถมึงทึงเหมือนโกรธกริ้วที่ถูกดูแคลน ก่อนคว้าบัตรจากมือรีสไปพิจารณาด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นก็ทำสีหน้าเหยเกเหมือนกำลังแปลกใจในสิ่งที่เห็น เป็นความพยายามปั้นหน้าที่มองแล้วน่าขันอยู่เหมือนกัน แต่ผู้เฝ้ามองก็เลือกที่จะดูอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้พูดหรือส่งเสียงขัดจังหวะให้เสียเรื่อง

                    ชายจรจัดส่งเสียงอุทาน

                    “ใช่ ฉันจำได้แล้ว! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!” เขาว่าเช่นนั้นขณะจิ้มปลายนิ้วไปที่บัตรพนักงานก่อนตบเบา ๆ ที่หน้าผาก “เอ้อสายตาฉันมันคงไม่ค่อยดีเลยมองไม่ออกในตอนแรก”

                    “คุณแน่ใจเหรอ? คุณอาจจะมองผิดอีกก็ได้” เพราะไม่อยากจะเชื่อในทันทีรีสจึงแกล้งเล่นตัว

                    “บ๊ะ! บอกว่าใช่ก็ใช่สิ นี่ ทรงผมของเขาแบบนี้เลย แล้วก็ตัวสูงประมาณนี้ได้ แล้วก็สวมเสื้อหนังแขนยาวสีดำ” พูดอธิบายไปก็ทำมือประกอบไปด้วย รายละเอียดของชายคนนี้ทำให้ผู้ฟังประกอบภาพตามได้ทันที

                    “เอาล่ะ พอแล้ว ผมเชื่อคุณ” ชายหนุ่มยกมือปรามการถ่ายทอดภาพลักษณ์ก่อนจะหยิบธนบัตรให้ไปอีกใบตามที่สัญญา

                    หลังชายจรจัดจากไปแล้ว รีสก็เดินกลับมาที่อาคารสำนักงานก่อนพบว่าโมแรนยืนรออยู่ที่นั่น

                    “เป็นยังไงบ้าง? นั่นคือของที่ว่าใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามทันทีที่เห็นรีสกลับมาพร้อมซองเอกสาร เจ้าของจึงพยักหน้ารับ

                    “ฉันยังไม่ได้เปิดดู แต่ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น” คนถือซองยื่นมันให้กับบรรณาธิการที่รับไปเปิดพิสูจน์และพบว่าเป็นเนื้อหาบทที่ 4 จริง ๆ

                    “แล้วนายเจอสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า?” ครั้งนี้รีสส่ายศีรษะ แต่สีหน้าของเขาไม่ได้ระบายด้วยความกังวลและคับข้องใจอย่างที่ผ่านมา โมแรนจึงได้แต่เลิกคิ้วมองด้วยความฉงน

                    “เอาต้นฉบับนี่ไปทำสำเนาเถอะ” เจ้าของต้นฉบับตัดบทไปเช่นนั้น

                    รีสรู้ได้ด้วยตนเองว่าทุกการกระทำของเขาเมื่อครู่อยู่ในสายตาของใครบางคน และตอนนี้เขาก็สงสัย...ว่าคนคนนั้นกำลังมองมาด้วยความรู้สึกเช่นไร

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in