ในที่สุดคิวช่างก็ว่างขอบคุณพระเจ้า!
บ่ายวานนี้ช่างโทรว่าจะเข้ามานัดซ่อม รีสไม่รีรอเลยที่จะบอกว่าวันนี้ว่างทั้งวันหากเข้ามาก่อนเที่ยงจะยิ่งดี เพราะอย่างนั้นช่างซ่อมจึงมาหาที่ห้องตอนสาย
“เป็นยังไงบ้างครับ? เสียหายตรงไหนหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามขณะที่ช่างหนุ่มกำลังสำรวจตรวจตราอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้
“คงต้องแกะออกดูน่ะครับ” เขาตอบพลางถอดหมวกออกวางข้างตัว
รีสสะดุดตาเรือนผมสีดำและทรงผมตัดสั้นนั้นเอาการ
“เธอ...”
“ครับ?” ฝ่ายช่างหันมาตอบรับทันทีที่ถูกเรียก พลางมองตอบด้วยสายตาสงสัยเจ้าของห้องลังเลอยู่เล็กน้อยว่าควรจะพูดอย่างไร
“เปล่าหรอก...แค่รู้สึกว่าเธอดูคุ้นตาน่ะ” ในที่สุดเขาก็ตอบเลี่ยงแล้วยิ้มบาง ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วมารินน้ำให้ “ปกติอยู่แถวนี้หรือเปล่า?”
ทางช่างซึ่งดูแล้วอายุยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงผู้ใหญ่ตอนต้นก็รับแก้วน้ำไปพร้อมกล่าวขอบคุณแต่เจ้าตัวก็วางแก้วน้ำลงข้าง ๆ ไม่ได้ดื่มในทันทีเพราะยังง่วนกับการดูอาการฮีทเตอร์อยู่
“ก็...อยู่ถัดจากที่นี่ไปนิดหน่อยครับ”
ได้ยินคำตอบดังนั้นรีสก็รู้สึกไม่ค่อยแปลกใจนักที่จะเคยเห็นกันผ่านตาบ้าง แม้จากด้านหลังจะดูคล้ายกับภาพที่ค้างในความทรงจำของเขาไม่น้อยแต่หากคิดดูดี ๆ แล้ว ผู้ชายหลายคนก็นิยมทำทรงผมประมาณนี้กัน และภาพที่เขาจำได้มันเป็นเพียงการผ่านสายตาแวบเดียวเท่านั้นเอง
ฝ่ายช่างไม่ได้มีความสนอกสนใจต่อความใคร่รู้ของเจ้าของห้องนักหลังจากลองสำรวจดูแล้วเขาก็เริ่มเปิดกระเป๋าและหยิบอุปกรณ์ออกมาวางเรียงราย
รีสนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงานเพื่อจะได้ไม่เกะกะพื้นที่และเฝ้ามองการดำเนินงานของอาชีพที่ตนไม่เคยนึกสนใจ
ผู้ชายคนนี้ร่างกายค่อนข้างสูงทีเดียว อย่างน้อยก็สูงกว่าเขา ท่าทางการหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือดูมีความชำนาญดีคงจะทำมานานแล้ว หรือไม่ก็สักระยะหนึ่งจนคุ้นเคย
ตัวรีสเองไม่เคยเรียกช่างมาซ่อมแซมอะไรที่ห้องมาก่อน แม้กระทั่งตอนอยู่บ้าน แม่กับโรสก็จะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้ ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรในระหว่างที่รอช่างจัดการกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญจะทิ้งห้องออกไปนั่งร้านกาแฟรอก็คงไม่เหมาะ บทจะให้คิดไอเดียเรื่องใหม่ตอนนี้ก็เห็นจะไม่ค่อยสะดวกใจนัก เขาไม่ชอบเวลาที่ในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วยเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนคนนั้นทำบางอย่างให้เกิดเสียงอยู่ตลอดเวลา
“จะว่าไปแล้ว วันนี้คุณไม่ได้ไปทำงานเหรอครับ?”
กำลังนั่งคิดเพลิน ๆ อยู่ก็เกิดเสียงถามขึ้นทำให้คนถูกถามสะดุ้งตัวน้อย ๆ
“เปล่า...ทำไมเหรอ?”
“ก็...วันนี้เป็นวันทำงานปกติใช่ไหมครับ? คนที่อยู่ห้องคนเดียวจะสะดวกเรียกช่างวันเสาร์หรืออาทิตย์มากกว่า” คนถามแจกแจงเหตุผลโดยไม่ได้หันมามองเหมือนกับว่าเจ้าตัวเพียงแค่ชวนคุยเพราะเห็นบรรยากาศในห้องชักจะเงียบและน่าอึดอัดจนเกินไป
“นั่นสินะ...”รีสเปรยหลังจากหยุดคิดไปชั่วครู่ “ฉันทำงานเป็นฟรีแลนซ์ ดังนั้นจะบอกว่าอยู่โยงเฝ้าบ้านทุกวันอยู่แล้วก็คงได้”
“ฟรีแลนซ์? หมายถึงพวก...ทำงานสถานบันเทิงอะไรแบบนี้หรือเปล่าครับ?” ที่จริงใจของผู้พูดคิดไปถึงงานที่เป็นสีเทาค่อนข้างเข้ม แต่ก็พยายามจะไม่คาดเดาให้อีกฝ่ายดูไม่ดีนัก ซึ่งคนฟังเองก็เห็นจะพอเดาความคิดได้อยู่จึงมีเสียงหัวเราะตามมาเล็กน้อย
“ฉันเป็นนักเขียน” ชายหนุ่มเฉลย “เขียนนิยายน่ะ”
คู่สนทนาคล้ายจะหยุดคิดไปเล็กน้อยก่อนส่งเสียงเบา ๆ ในคอ
“น่าเสียดายแฮะผมไม่ใช่นักอ่านซะด้วยสิ”
“ฉันเองก็ไม่ใช่นักเขียนที่มีชื่อเสียงเท่าไหร่เหมือนกัน ดังนั้นถึงเธอจะเป็นนักอ่านก็อาจไม่เคยอ่านงานของฉันเลยก็ได้” มันไม่ใช่คำพูดถล่มตัว แต่เขาไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายจริง ๆ หากนับในวงการก็คงเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนโนเนมที่พอจะมีแฟนคลับเพียงกระจุกเล็ก ๆ
“...ถ้าอย่างนั้น คุณเคยเขียนเรื่องอะไรบ้างล่ะ?ผมอาจจะเคยเห็นผ่านตาก็ได้”
“October Rain”
รีสเคยเขียนเรื่องสั้นมาหลายเรื่องที่อาจจะมีคนเคยอ่าน แต่เขาก็จงใจหยิบชื่อนี้ขึ้นมายกตัวอย่างด้วยเหตุผลบางประการ
หลังจากได้ยินชื่อเรื่องแล้ว ก็มีอาการชะงักเล็กๆ จากช่างที่นั่งหันหลังให้ แต่มันก็เป็นเพียงปฏิกิริยาเล็กน้อยที่จะสังเกตเพราะรีสไม่อาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากแผ่นหลังในเครื่องแบบประจำอาชีพได้เลย เขารู้แต่เพียงว่าอีกฝ่ายหยุดมือจากสิ่งที่ทำไปราวเสี้ยววินาทีก่อนจะเอี้ยวตัวมาหยิบเครื่องมืออีกอย่างกลับไปทำงานต่อ
“ไม่เคยได้ยินจริง ๆ ด้วยสิ...”เสียงของช่างหนุ่มอ่อนลงคล้ายจะเก้ออยู่
“ไม่แปลกหรอก มันเป็นเรื่องล่าสุดที่ฉันเพิ่งเขียนเสร็จยังไม่ได้ตีพิมพ์เลย” เจ้าของเรื่องกล่าวพลางสังเกตสังกาอิริยาบถคู่สนทนาไปด้วย
“อา...” มีเพียงเสียงตอบรับสั้น ๆ ที่คาดเดาความหมายได้ยาก แล้วจากนั้นห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกหลายนาที
“เธอเองก็อยู่ในวัยที่ไม่น่าจะว่างวันนี้ได้เหมือนกันนะ” เพราะไม่อยากให้บรรยากาศวังเวงมากเกินไปนัก รีสจึงจำต้องสานต่อบทสนทนาทั้งที่เขาไม่ถนัดด้านนี้เอาเสียเลย
“หมายถึงอะไรเหรอครับ?” แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัดรอนเขาเสียทีเดียว
“หมายถึง...เธอเองก็ยังอยู่ในวัยเรียนไม่ใช่เหรอ? น่าจะ...ไฮสคูลหรือเปล่า?” เมื่อคาดเดาจากบุคลิกและรูปร่างหน้าตาแล้วหากจะเป็นผู้ใหญ่ก็คงไม่เกินจากนี้มากนัก
ฝ่ายช่างไม่ได้ตอบกลับในทันทีแต่เว้นจังหวะคิดตริตรองคำตอบที่เหมาะสมอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมออกจากไฮสคูลแล้วล่ะครับ”
ผู้ฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย
ใช้คำว่า ออกจากไฮสคูล ไม่ใช่ จบไฮสคูล สินะ...
ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เด็กจำนวนหนึ่งจะออกจากไฮสคูลกลางคัน พวกเขาอาจมีปัญหาเรื่องฐานะทางบ้าน หรือความต้องการส่วนตัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนแปลกหน้าอย่างเขาควรละลาบละล้วง มันจึงกลายเป็นคำตอบที่ทำให้สายโซ่ของการมีปฏิสัมพันธ์สะดุดลง
“แล้วผมก็มาทำงานช่างนี่แหละ ที่จริงแล้วอย่างผมก็น่าจะเรียกฟรีแลนซ์ได้เหมือนกัน แบบว่า...รับงานเป็นจ็อบ ๆ ไปน่ะ”
แต่แล้วสายโซ่ที่เพิ่งสะดุดก็ถูกต่อเชื่อมอีกครั้งอย่างสวยงามโดยคนที่เกือบจะตัดมันทิ้งเสียเอง
“แล้วรับงานอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า?”
คนถูกถามไหวไหล่
“มีบ้างแต่ก็ไม่บ่อย ผมได้งานนี้เพราะญาติช่วยแนะนำให้เท่านั้นเอง” หลังจากพูดจบมือของเขาก็ถอดชิ้นส่วนหนึ่งออกมาจากฮีทเตอร์ได้สำเร็จ “เอาล่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาที่เจ้าตัวนี้น่ะครับ”ว่าพลางเด็กหนุ่มในชุดช่างก็ส่งแผงวงจรไฟฟ้าที่รีสดูไม่เข้าใจมาให้
“แล้วซ่อมมันได้หรือเปล่า?” เจ้าของฮีทเตอร์มองแผงวงจรในมือสลับกับช่างซ่อมที่เป็นคนงัดมันออกมา
“ผมจะลองหาอะไหล่ให้ก่อน ถ้าไม่มีจริง ๆ ผมจะลองซ่อมมันดู” ในขณะที่พูดเช่นนั้นคนพูดก็ก้มลงเก็บเครื่องมือกลับเข้ากระเป๋าตามเดิมรวมถึงแผงวงจรเจ้าปัญหาอันนั้นด้วย
“ต้องใช้เวลานานไหม?” รีสมุ่นคิ้ว เขารอให้มีคนมาจัดการมันเพื่อที่จะได้ไออุ่นกลับมาโดยเร็วความหวังของเขาก็คือคืนนี้จะได้นอนหลับอย่างสบายโดยไม่ต้องเอาผ้าห่มคลุมโปง
“อาจจะสองหรือสามวัน ผมไม่แน่ใจแต่ผมจะพยายามให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
วันนี้วันศุกร์...แล้ววันเสาร์-อาทิตย์นี่จะหาอะไหล่ได้เหรอ? สองหรือสามวันนี่คือนับวันทำการเท่านั้นใช่ไหม?
รีสมีคำถามอยู่ในหัวแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไปเพราะเกรงว่าคำตอบคือ...ใช่
“แล้ว...เรื่องค่าใช้จ่าย...” เพราะไม่อยากประสบความผิดหวัง เขาจึงถอนหายใจแล้วเปลี่ยนเป็นคำถามอื่นที่น่าถามมากกว่า
“ผมจะเอาบิลแจกแจงค่าใช้จ่ายมาให้ในวันที่มาประกอบคืนให้นะครับ” ช่างซ่อมตอบแล้วสะพายเป้ขึ้นไหล่ “ผมขอตัวก่อน” เขาบอกลาก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็วราวกับมีธุระเร่งด่วนอื่นที่จะต้องไปทำต่อ ทิ้งผู้จ้างวานไว้กับฮีทเตอร์ที่ไม่สมประกอบและทำงานไม่ได้เช่นเดิม...
รีสฟังเสียงประตูที่ปิดลงตามด้วยเสียงเท้าหนัก ๆ ที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ จากนั้นจึงไล่สายตากลับมาสำรวจห้องที่ว่างเปล่าชินตาอีกครั้ง
นอกเสียจาก...
ชายหนุ่มยิ้มแห้งกับตนเองเมื่อมองดูเฟอร์นิเจอร์ที่เคยมีประโยชน์อเนกอนันต์ต่อเขาแต่บัดนี้มันกลับกลายเป็นของตั้งโชว์ชิ้นใหญ่ที่ถูกถอดชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกไปแต่แล้วขณะนั้นเอง สิ่งของบางอย่างนอกเหนือจากแก้วน้ำที่วางอยู่บนพื้นสะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง
ร่างสูงโปร่งโน้มลงเพื่อหยิบมันขึ้นมาพิจารณา
สิ่งนั้นคือบัตรพนักงานที่มีรูปถ่าย ชื่อนามสกุล และชื่อบริษัทผู้จ้างระบุอยู่ เขาเคยเห็นมันมาแล้วตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นมาถึงห้องและยื่นให้ดูเพื่อยืนยันตัวตน
ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรีบร้อนเกินไปเสียจนเผลอทิ้งของสำคัญเอาไว้ มันคงจะตกจากกระเสื้อตอนที่กำลังก้มลงเก็บของกระมัง?
ในตอนแรกรีสได้พยายามจะนำไปคืน แต่เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่าเจ้าของบัตรไม่ได้อยู่บนทางเดินอีกต่อไปแล้ว ป่านนี้อาจจะออกนอกตัวอาคารไปแล้วก็เป็นได้ เพราะเขาเองก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเจ้าตัวโดยเฉพาะจึงทำได้เพียงโทรฝากเรื่องไว้กับคนรับเรื่องของบริษัทต้นทาง จากนั้นจึงนำมันไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เผลอทำหายไปโดยไม่รู้ตัว
รีสนั่งลง มองสำรวจใบหน้าบนบัตร มันไม่ได้กระตุ้นเตือนความจำอะไรเขาเลยนอกเสียจากภาพของช่างซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้า นั่นเพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าคนที่วิ่งราวกระเป๋าของตัวเองไปแม้แต่เสี้ยวเดียว มีเพียงภาพด้านหลังของเด็กคนนั้นเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกสะกิดใจ แต่ภาพถ่ายหน้าตรงไม่อาจแสดงให้เห็นด้านหลังได้
การที่เขามานั่งสงสัยคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้มันก็เหมือนการปรักปรำเลยไม่ใช่หรือ?
พอคิดแบบนั้นขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังทำเรื่องชั่วร้ายอยู่ชอบกล...
<------------------------------------>
เป็นเวลาเกือบบ่ายแก่แล้วตอนที่โมแรนโทรมา
รีสจัดแจงแต่งตัวออกไปหาทันทีโดยหยิบบัตรพนักงานที่เจ้าของลืมทิ้งไว้ติดมือไปด้วย
เมื่อไปถึงซองเอกสารก็วางรออยู่แล้วเหมือนเช่นเคย แต่มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น...
“นี่เป็นเนื้อหาบทที่ 3 และในซองก็มีสิ่งนี้อยู่ด้วย” ผู้เปิดซองคนแรกกล่าวแล้วยื่นกระดาษขนาดประมาณโปสการ์ดให้
รีสรับมาพลิกดูและเห็นว่ามีข้อความเขียนอยู่บนนั้น
พรุ่งนี้ผมจะส่งตอนต่อไปมาให้
ทั้งคนที่เปิดอ่านคนแรกและคนที่สองต่างมองหน้ากัน ในสายตาของพวกเขาต่างมีคำถามอยู่ในใจ
“เขากำลังพูดถึงบทที่ 4 ?” รีสเป็นคนพูดออกมาและโมแรนก็พยักหน้ารับ
“ใช่...ที่ยังมาไม่ถึง บางทีเขาอาจจะตั้งใจจะส่งมาวันละตอนอย่างสม่ำเสมอ แต่มีธุระบางอย่างทำให้ไม่สามารถทำได้” ฝ่ายบรรณาธิการแสดงความเห็น
“งั้น...มันถูกส่งมาพร้อมบทที่ 3 ในวันนี้เหรอ?” เจ้าของต้นฉบับมุ่นคิ้วสงสัย เพราะนั่นแปลว่าคนพิมพ์ติดธุระเมื่อวานจึงสามารถนำมาส่งได้วันนี้แค่บทเดียว
“เปล่า” ชายหนุ่มร่างสูงตอบก่อนยืดตัวขึ้นเพื่อกลับไปหย่อนตัวนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง “บทที่ 3 ถูกส่งมาเมื่อวานนี้ แต่เพราะนายบอกว่าอยากจะรอรับพร้อมกับบทที่ 4 ที่ควรจะส่งมาวันนี้ ฉันก็เลยไม่ได้โทรบอก”
“แล้วจดหมายนี่...”
“ถูกสอดไว้ในตู้จดหมายวันนี้แต่ฉันไม่รู้หรอกว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปกติแล้วช่องฝากจดหมายจะต้องไขประตูเพื่อหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา แต่เพราะซองเอกสารขนาด A4 ใหญ่กว่าเกินกว่าจะหย่อนให้นอนลงไปในตู้ได้ มันจึงถูกวางไว้ข้างนอกเหนือตู้จดหมาย นั่นทำให้ทุกคนสามารถเห็นได้ทันทีเมื่อมันถูกนำมาส่ง แต่กระดาษฉบับนี้มีขนาดเล็กพอ บางทีมันคงถูกนำมาสอดไว้ตอนที่ไม่มีใครเห็นเช่นเดิมแล้วโมแรนเพิ่งจะไปตรวจดูตู้จดหมายจึงได้พบมันเข้า
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็พูดถึงวันพรุ่งนี้” หากจดหมายฉบับนี้เพิ่งมาส่งวันนี้จริง ๆ แปลว่าวันพรุ่งนี้ทั้งในจดหมายและความเป็นจริงเป็นวันเดียวกัน
“นายอยากจะลองนั่งเฝ้าตู้จดหมายดูหรือยังไง?” ราวกับเดาความในใจของอีกฝ่ายได้ โมแรนพูดดักความคิดอย่างรวดเร็ว “แล้วนายคิดว่าจะแยกระหว่างคนที่มาส่งจดหมายหรือข้อความตามปกติกับคนที่มาส่งต้นฉบับของนายยังไง?”
เพราะที่นี่เป็นอาคารสำนักงาน ดังนั้นถึงจะมีคนนำซองเอกสารเข้ามาก็ดูไม่น่าแปลกอะไร และเพราะห้องนี้เป็นสำนักพิมพ์ ถึงจะมีคนนำเอกสารมาวางไว้ที่ตู้อย่างจำเพาะเจาะจงก็ยังไม่อาจสรุปได้อยู่ดีว่าเอกสารในนั้นเป็นงานเขียนปกติหรืออย่างอื่นกันแน่
ความจริงนั้นทำให้รีสหยุดคิดไปเล็กน้อย
“บอกตามตรงนะ เรเชลแนะนำให้ฉันไปขอดูกล้องวงจรปิดตั้งแต่วันแรกที่มีเอกสารส่งมา แต่รู้อะไรไหม...อาคารนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดที่หันไปทางตู้จดหมายเลย มีแต่ที่หันออกไปทางประตูเข้าออกกับโต๊ะประชาสัมพันธ์” เจ้าของออฟฟิศพูดพลางประสานมือบนโต๊ะ “ฉันจ้องมองอยู่นานและ...ได้แต่สงสัยว่าตัวเองกำลังมองหาใคร”
ฟังเหตุผลแล้วก็รู้สึกเหมือนกลับไปสู่จุดศูนย์ ในใจนึกสงสัยว่าเขาทำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือนอกจากการนั่งรอวันต่อวันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้
แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งสะกิดเตือนอยู่ข้างใน
“ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากพิสูจน์” รีสกล่าว “ดังนั้นถึงนายบอกว่าไร้ประโยชน์แต่ฉันก็อยากจะลองดู”
“เรื่องที่อยากพิสูจน์?” โมแรนทวนคำพร้อมกดหัวคิ้วลง
“นายบอกว่านายไม่เห็นอะไรเพราะสงสัยว่ากำลังมองหาใคร” ผู้พูดล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วกำของสิ่งหนึ่งไว้ในมือ “แต่บางที...ฉันอาจจะรู้ก็ได้ว่าคนที่ฉันต้องมองหาคือใคร”
เขาก็อยากจะตัดปมที่ติดค้างอยู่ในจิตใจ ให้รู้กันไปเลยว่าสัญชาตญาณของเขาเชื่อถือได้มากน้อยไหน หากว่าผิดคน อย่างน้อย...เขาจะได้ปัดความสงสัยนี้ให้พ้นจากสมองได้เสียที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in