ฮีทเตอร์...เสีย...
จะมีอะไรเป็นข่าวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีกสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ติดบ้านทุก ๆ วัน รีสขดตัวเองภายใต้เสื้อตัวหนาและนั่งเฝ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เอี่ยมที่เพิ่งไปถอยออกมาโดยคาดหวังว่าจะมีข่าวคราวอะไรจากโมแรนหรือเรเชลบ้างอย่างเช่น...ต้นฉบับตอนต่อไป
“ให้ตายสิ ฮีทเตอร์เสียพร้อมกันหลายที่หรือยังไง”
เมื่อชั่วโมงที่แล้วเขาเพิ่งจะเปิดซิงโทรศัพท์มือถือด้วยการโทรตามช่างแต่ดูเหมือนว่าจะต้องรอสักสองหรือสามวันกว่าที่ช่างจะว่างมาจัดการให้
เพราะไม่มีอะไรทำมากกว่าการนั่งรอ รีสจึงหยิบกระดาษมาและเริ่มทบทวนเรื่องราวที่เคยเขียนไปอีกครั้ง
ในบทนำของนิยายเขาไม่ได้เขียนอะไรมากมายนักนอกจากการบรรยายถึงมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ของตัวเอกซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสรรพสิ่งในโลกเสียเหลือเกิน เขาไม่ได้ชอบตัวละครประเภทนี้นักหรอก แต่หากตัวละครที่สร้างขึ้นไม่มีความละเอียดอ่อนมากพอ ความระทึกขวัญก็จะดูลดน้อยลงไปด้วย กระนั้นการเขียนบรรยายบุคลิกภาพของคนประเภทนี้ก็เริ่มทำให้เขากลายเป็นพวกอ่อนไหวง่ายตามไปชอบกล
เมื่อพลิกอ่านบทนำจบลงเป็นรอบที่สามของวัน รีสก็เริ่มรู้สึกว่าเขาควรจะไปแอบอิงหาความอบอุ่นที่อื่นที่ซึ่งเขาจะไม่ต้องขดปลายเท้าบนเก้าอี้แบบที่ทำอยู่เวลานี้
ร้านกาแฟที่เคยนัดเจอกับโมแรนเป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดเท่าที่นึกออก
ตอนนี้บนฟุตบาทไม่ได้มีคนคลาคล่ำเหมือนเมื่อวันก่อนเพราะเลยช่วงเวลาที่คนจะเดินทางไปทำงานกันแล้ว และฝนก็ไม่ตกทำให้อากาศค่อนข้างแจ่มใสแม้ว่าจะหนาวเย็นเหมือนเดิมก็ตาม
ตอนที่มาถึงแยกใหญ่และรอสัญญาณไฟจราจร รีสก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานซืนขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาทำใจยอมรับได้อย่างเต็มที่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ความทรงจำในช่วงเวลานั้นไม่สับสนงงงวยอีกต่อไป ความเป็นจริงที่ค้นพบก็คือเขาไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่ฉกกระเป๋าไปจากมือของเขา เป็นคนที่ชนจริง ๆหรือว่าเขาเพียงทำมันหลุดมือแล้วมีคนฉวยโอกาสก็ไม่อาจสรุปความได้
แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว...
เพราะปัญหาในปัจจุบันนี้คือคนคนนั้นกำลังพยายามทำอะไรกับสิ่งที่ได้ไปต่างหาก
เสียงกระดิ่งสะท้อนเบาจากเหนือวงกบประตูเมื่อชายหนุ่มย่างเท้าเข้าไปในร้านบรรยากาศเงียบสงบ และไออุ่นของฮีทเตอร์ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
เขาสั่งกาแฟกับของว่างอีกจานหนึ่งเพื่อใช้ฆ่าเวลาระหว่างหลบเลี่ยงความหนาวเย็นจากภายนอกแน่นอนว่ายังขาดของอีกสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเวลาอย่างนี้
รีสวางหนังสือที่ถือติดมืออกมาจากห้องลงบนโต๊ะ
สมัยนี้ใคร ๆ ก็นิยมการอ่านหนังสือจากคินเดิลกันมากขึ้น แต่เขาก็ยังชอบสัมผัสและกลิ่นของกระดาษอยู่ดี นั่นทำให้เขาชอบพกหนังสือไปไหนมาไหนด้วยเสมอ
แต่ก่อนที่จะได้ฆ่าเวลาอย่างสงบดังใจหวังกลับมีแรงสั่นกระทบจากในกระเป๋าทำให้รีสต้องละมือจากสิ่งที่ตั้งใจและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสายเพราะเข้าใจว่าเป็นสายจากโมแรนทว่า...
“รีส”
แค่คำสั้น ๆ แต่เจ้าของชื่อจดจำเสียงอีกฝั่งได้ในทันที
“แม่...” เขาตอบกลับแผ่วเบา “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คำถามห่างเหินเย็นชาจังเลยนะ”ผู้เป็นแม่ตอบกลับ น้ำเสียงของเธอดูไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรนักเหมือนเป็นคำตอบรับเรียบง่ายที่ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกับมันดี
“ขอโทษครับแต่ผมเห็นว่าแม่ไม่ได้โทรมานานแล้ว...”
“ช่างเถอะ ช่วงนี้กำลังยุ่งงั้นเหรอ?”
“ไม่ครับ...” รีสไม่มั่นใจว่าตอนนี้จะเรียกว่ายุ่งได้ไหม แต่หากจะพูดแบบรวม ๆ แล้วเขาคงติดธุระสำคัญอะไรไปอีกสักระยะจนกว่าโจรผู้ลึกลับจะยอมส่งต้นฉบับคืนมาจนหมด
“แล้วคริสต์มาสปีนี้จะกลับบ้านไหม?”
คริสต์มาส!?
“แม่ครับนี่มันเพิ่งเดือนตุลาคมเองนะ” เขาตอบกลับพลางมุ่นคิ้ว อย่าบอกนะว่าแม่ของเขาโทรมาหาเพื่อถามเรื่องแค่นี้ แต่ถามล่วงหน้าตั้งสามเดือนนี่มันไม่พิลึกเกินไปหน่อยเหรอ?
“ใช่ แม่รู้แต่จำไม่ได้เหรอว่าปีก่อนลูกก็ไม่กลับ ก่อนหน้านั้นก็เหมือนกัน ที่จริงแล้วตั้งแต่โรสแต่งงานลูกก็ไม่กลับบ้านอีกเลย ใจคอจะไม่ให้หลานเห็นหน้าสักครั้งเลยใช่ไหม?”
ไม่ได้กลับบ้านนานขนาดนั้นแล้วเหรอ?
“ถ้าหากว่างานเขียนมันทำให้วุ่นวายขนาดนั้นก็หางานประจำทำอย่างคนอื่นเขาดีกว่าไหม?” ฟังแล้วรีสก็ได้แต่ถอนหายใจ อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยหรือสองร้อยได้แล้วที่แม่ของเขาพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่สมัยที่เขายังอยู่ไฮสคูลนั่นเลยล่ะมั้ง...และทุก ๆ ครั้งที่พูดถึง น้ำเสียงของแม่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดมากกว่าหัวข้อของมันเสียอีก
แม่มักจะ...พูดถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเสมือนกำลังพูดถึงบางสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ และนำไปอ้างอิงกับพี่สาวของเขาเสมอ เช่น...
“ดูอย่างโรสสิทั้งทำงานทั้งเลี้ยงลูก ยังไม่เห็นทำตัววุ่นวายตลอดเวลาแบบลูกเลย”
ใช่ เช่นแบบนี้
รีสรู้สึกเหมือนตนเองปลงกับมันได้แล้วแต่ที่จริงลึก ๆ ข้างในก็ยังอดอึดอัดใจไม่ได้
“แล้วโรสเป็นยังไงบ้างครับ?”เพราะไม่อยากขุ่นใจกับเรื่องที่ไม่ควรเขาจึงเปลี่ยนเรื่องไปเสีย
“ก็ยังสบายดีเหมือนเดิม เห็นกำลังวางแผนกับมาร์ตินว่าจะรีโนเวทบ้านจะได้ทำห้องให้อีริสใหม่ด้วย” เมื่อพูดถึงเรื่องของพี่สาว พี่เขย และหลานสาวคนโปรดเสียงของแม่ก็ดูจะแช่มชื่นขึ้นมาเล็กน้อยเขายังสามารถได้ยินเสียงอ้อแอ้ของหลานสาวที่ไม่เคยเห็นหน้าได้อยู่ไกล ๆ
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบในอกกลับเป็นชื่อของพี่เขยที่แม่เอ่ยออกมาเพียงวูบเดียว
“รีส ยังอยู่ไหม?”
อาจเพราะเขาเงียบไปนานแม่จึงส่งเสียงกระตุ้นเตือน
“ครับ ผมยังอยู่” เขาสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็วด้วยการดื่มกาแฟที่ใกล้จะเย็นชืดและเสสายตามองออกไปชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกกระจก
ซึ่งจังหวะนั้นเอง...ที่เขาได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิด...
เด็กหนุ่มตัวสูงที่มีผมดำตัดสั้นดูคุ้นตากำลังเดินผ่านกระจกร้านไป...
“แล้วตกลงว่าปีนี้จะกลับมาไหม?” เสียงจากโทรศัพท์เรียกความสนใจของเขากลับมาได้เพียงเสี้ยวเดียวเพราะส่วนที่เหลือได้พุ่งตรงออกไปข้างนอกหมดแล้ว
“ขอโทษครับแม่ เอาไว้เดี๋ยวผมจะโทรกลับไปใหม่” รีสพูดรัวเร็วแล้วกดวางสายไปโดยที่ยังไม่ทันฟังคำตอบรับจากปลายสาย และผุดลุกออกไปจากร้านเพื่อที่จะตามร่างของคนแปลกหน้าคนนั้นให้ทัน ทว่าเมื่อเขาออกไปถึงข้างนอกเงาร่างนั้นก็ลับตาไปเสียแล้ว โดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าไปทางไหน
รีสรู้ดีว่าทำไมตนเองจึงได้ติดใจคนที่เพิ่งผ่านหน้าไปมากนัก
นั่นเพราะรูปร่างเช่นนั้นกระตุ้นความทรงจำเมื่อวานซืนขึ้นมาอีกครั้ง ภาพด้านหลังที่เขาได้เห็นมันเพียงชั่วแวบเดียวก่อนที่จะรู้ว่าของในมือถูกฉกชิงไป ต่อให้ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของคนที่ว่าจริงหรือไม่ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาจดจำได้
แต่แล้วสายลมเย็นเยือกก็ปลุกชายหนุ่มให้รู้สึกตัวว่ากำลังยืนนิ่งงันอยู่นอกร้านโดยที่ไม่ได้สวมเสื้อนอก รีสรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวพิลึกมากขึ้นทุกที เพราะเมื่อลองกระซิบถามกับตนเอง...ว่าหากตามเด็กหนุ่มคนนั้นทันแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป จะถามว่า ‘เห็นกระเป๋าของฉันหรือเปล่า’ เหรอ? ถ้าเป็นโจรตัวจริงก็คงไม่ใจดีคืนของให้หรอก แต่หากไม่ใช่คนที่ว่า...เขาคงดูเหมือนตาลุงโรคจิตตามเต๊าะเด็กหนุ่มไปเสียแทน
ถึงอายุของเขาจะยังไม่ถึงขั้นเป็นลุงก็เถอะ...
เมื่อรวบรวมสติกลับมาได้ชายหนุ่มจึงย้อนกลับเข้ามาในร้านและดื่มด่ำกับกาแฟที่ไร้ควันอุ่นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนโชคชะตาของเขาในวันนี้จะไม่ถูกโฉลกกับกาแฟนักเพราะเมื่อจิบไปได้เพียงอึกเดียว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น คราวนี้เขากดรับโดยทันทีเช่นเดิม
“แม่ครับ ผมบอกว่า...”
“ฉันยังไม่แก่พอจะเป็นแม่นายได้หรอกนะ”
เสียงที่ขัดจังหวะการพูดทำให้เจ้าของโทรศัพท์ชะงัก
“วีลลิส...ขอโทษที พอดีเมื่อครู่นี้...”
“ฉันเข้าใจ” ดูเหมือนอีกฝั่งของสายสนทนาจะมีเรื่องสำคัญที่อยากพูดก่อนจึงรีบตัดบทปฏิเสธการฟังคำอธิบายที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง “บทที่ 1 ของนายถูกส่งมาแล้ว อยากจะเข้ามารับหรือเปล่า?”
ดูเหมือนธุระที่ทำให้โทรมาจะสำคัญจริง ๆ รีสตื่นตัวขึ้นทันที
“ฉันจะเข้าไปในอีกสิบนาที” เขาว่าเช่นนั้นแล้วรีบร้อนวางเงินลงบนโต๊ะก่อนคว้าเสื้อนอกและหนังสือวิ่งผลุนผลันออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
<------------------------------------>
“สิบนาทีจริง ๆ ด้วย” เมื่อรีสไปถึงสิ่งแรกที่ได้ยินคือคำยั่วหยอกของโมแรนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศของตนเอง ในมือมีซองเอกสารอยู่ซองหนึ่งที่ถูกเปิดออกแล้ว และขนาดของซองวันนี้ดูหนากว่าซองเก่าเมื่อวานนี้เล็กน้อยนั่นแสดงถึงจำนวนหน้ากระดาษที่มากกว่าเดิม
เนื้อหาบทที่ 1 ในซองมีจำนวนทั้งหมดสิบสองหน้ากระดาษ
รีสไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะเขียนอะไรได้เยอะขนาดนั้น...เพราะการเขียนด้วยมือทำให้ไม่สามารถประมาณเป็นจำนวนหน้ามาตรฐานได้
เขานั่งลงตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
[จดหมายฉบับหนึ่งวางกางบนโต๊ะไม้สีดำมะเมื่อม ข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษเลือนรางไปเล็กน้อยทว่าพิษร้ายของมันมิได้เจือจางไปด้วย ทุกครั้งที่เปิดอ่าน ชายหนุ่มยังคงถูกฤทธิ์ของมันกัดเซาะไปทุกอณูของร่างกาย คำถามสำคัญก็คือ เหตุใดเขาจึงต้องเปิดอ่านมันทุกครั้งในวันเดียวกันของทุกปีแม้ว่าจะล่วงเลยมาถึงสิบปีแล้ว กิจวัตรดั้งเดิมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวเขา จดหมาย และไวน์อีกหนึ่งแก้ว]
นั่นคือข้อความสุดท้ายของบทแรก
การได้เห็นต้นฉบับถูกเรียงร้อยเป็นตัวพิมพ์อย่างนี้เป็นความรู้สึกที่แปลก รีสรู้สึกได้ว่ามันแตกต่างจากตอนได้สัมผัสในขณะที่เป็นรูปเล่มแล้ว
ถ้าหากมาดูตอนเรเชลพิมพ์ต้นฉบับให้เขาจะมีความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า?
รีสอดสงสัยขึ้นมาในใจไม่ได้
“ถูกเอามาวางไว้เหมือนเดิมสินะ?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่ แต่คราวนี้มาเหน็บไว้ตอนทุกคนพักเที่ยง เรเชลเป็นคนเอาขึ้นมา” โมแรนเล่า แต่รายละเอียดนอกจากนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ฝ่ายเรเชลเองก็บอกแค่ว่าตอนกลับมาก็เห็นมีคนมาสอดไว้ในช่องจดหมายแล้ว เพราะเธอรู้เหตุการณ์เมื่อวานนี้จึงเดาได้ทันทีว่าเป็นอะไรและถือกลับขึ้นมาด้วย
“ไม่มีใครเห็นคนเอามาส่งเลยเหรอ?”
“ไม่นี่ ไม่มี”
โมแรนไหวไหล่และเสมองไปทางหน้าต่างห้องเพราะเขาไม่มีคำตอบให้ผู้ถามเลยและเขารู้ว่ารีสผิดหวังกับมันเอาการ
แน่นอน...รีสผิดหวังแต่เป็นความผิดหวังคนละแบบกับที่โมแรนคิด
เขายังคงติดใจภาพของเด็กหนุ่มที่เห็นวันนี้ มันมีบางอย่างสะกิดใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยหากมีคนเห็น เขาจะได้สรุปไปเลยว่าใช่คนคนนั้นจริงหรือไม่ แต่เพราะยังคงไม่มีใครเป็นประจักษ์พยาน ภาพในหัวและความสงสัยของเขาจึงไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้เลย
เนื้อหาบทแรกถูกนำไปทำสำเนาเช่นเดิม และรีสก็ได้รับชุดหนึ่งเพื่อนำกลับมาที่ห้อง
ห้องที่ฮีทเตอร์ไม่ทำงาน...
ย่างก้าวแรกที่เหยียบลงบนพื้นห้องคือความเย็นที่สะท้านขึ้นมาถึงสันหลัง
รู้แบบนี้น่าจะขอนั่งอยู่โยงที่สำนักพิมพ์อีกสักหน่อย...
รีสลืมไปเสียสนิทว่าทำไมตนเองจึงได้ถ่อสังขารออกไปจากห้องและจับเจ่าอยู่ที่ร้านกาแฟตั้งนานสองนาน แต่เมื่อกลับถึงห้องแล้วเขาก็ไม่มีอารมณ์จะออกไปหาที่นั่งใหม่ จึงตัดสินใจพาตนเองไปที่เตียงและซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มขณะนำบทนำและเนื้อหาบทแรกมารวมเข้าด้วยกัน
ภาพลักษณ์ของตัวเอกในนิยายเริ่มชัดเจนมากขึ้น
ผู้ชายอายุเกือบสี่สิบที่ชอบเก็บตัวอยู่ในบ้านของตนเองและสังเกตสังกาทุกอย่างผ่านบานหน้าต่าง ปล่อยให้บาดแผลในอดีตบั่นทอนตัวตนของเขา และเมื่อกำลังจะลืมมัน...เขาก็จะย้ำเตือนให้ตนเองจดจำได้อีกครั้ง ราวกับเสพติดการดื่มกินยาพิษที่กัดกร่อนจิตวิญญาณด้วยความเต็มใจ
บางครั้งรีสก็อดกังขาในตัวเองไม่ได้ ว่าตอนเขาแก่ตัวลงไปจะตกอยู่ในสภาพนั้นหรือไม่ เพราะวิธีแก้ปัญหาในอดีตของเขาเองก็ไม่ได้ดีกว่าผู้ชายคนนั้นสักเท่าไหร่
รีสยัดกระดาษทั้งหมดลงในซองเอกสารและขยับลุกเพื่อนำกลับไปวางบนโต๊ะ แต่แล้วโทรศัพท์มือถือก็ร่วงลงมาจากกระเป๋าเสื้อและเริ่มส่งเสียงพลางสั่นระรัวบนเตียงนุ่ม
ไม่ใช่ทุก ๆ วันที่ชายหนุ่มจะได้รับเสียงเรียก ปกติโทรศัพท์มือถือของเขาแทบจะเป็นที่ทับกระดาษด้วยซ้ำไป ทำให้วันนี้กลายเป็นวันหนึ่งที่แปลกและเขาเริ่มรู้สึกเหมือนคิดผิดที่ตัดสินใจซื้อใหม่เร็วถึงขนาดนี้
“รีส!” คราวนี้เป็นเสียงหวานใสของเด็กหญิงตะโกนเรียกชื่อเขาจากอีกฝั่งของสาย
“อีริส ขอแม่คุยกับคุณน้าแปบนึง โอเคนะ?” และเสียงของหญิงสาวที่ต่างกับเสียงเมื่อกลางวัน เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาทว่ามีความเหน็ดเหนื่อยเจือปน
“เธอก็จะชวนฉันไปงานคริสต์มาสล่วงหน้าด้วยเหรอโรส?” เขากรอกเสียงลงไปเมื่อได้ยินเสียงของพี่สาวตนเอง ซึ่งผู้ฟังก็หัวเราะกลับมา
“แม่บอกเธอแบบนั้นเหรอ?” เธอถามในขณะที่รีสได้ยินเสียงหลานสาวตนเองไกลออกไป “ฉันขอให้แม่ลองโทรหาเธอเอง ก็ฉันโทรหาเธอตั้งแต่สองวันก่อนแต่เธอไม่รับสายเลย”
“โทรศัพท์ของฉันหายน่ะ”
“โดนขโมยเหรอ...แย่จังเลยนะ” โรสถอนหายใจ “แล้วมีของอะไรหายอีกหรือเปล่า?”
รีสยิ้มออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงห่วงใยของพี่สาวทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเสียทุกครั้ง
“กระเป๋าเงินน่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอกฉันจัดการเรื่องบัตรเรียบร้อยแล้ว เงินสดติดกระเป๋าก็มีอยู่ไม่มาก” เขาเลือกจะข้ามเรื่องต้นฉบับไปเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลไปมากกว่านี้ “ส่วนเรื่องคริสต์มาส ฉันสัญญาว่าจะลองพยายามจัดเวลาว่างดู”และรีบดักคอก่อนที่โรสจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้เขาได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของเธออีกครั้ง
“อีริสอยากเจอเธอนะ แบบที่ไม่ใช่ภาพวีดีโอคอลหรือแค่เสียงผ่านสาย”
“ฉันรู้...” ทุกครั้งที่วีดีโอคอลกันอีริสก็พูดแบบนั้นอยู่บ่อย ๆ
“ดีแล้ว งั้น...ฉันจะไปเตรียมอาหารเย็นก่อนเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่” โรสบอกลาแต่ยังไม่ทันที่เธอจะตัดสายรีสก็ได้ยินเสียงจากอีกฝั่ง เป็นเสียงผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในบ้านหลังนั้น
“ผมกลับมาแล้วที่รัก กำลังคุยกับใครอยู่เหรอ?”
“รีสน่ะค่ะ ฉันกำลัง-”
เขาได้ยินเพียงเท่านั้นสายฝั่งโรสก็ตัดไป แต่รีสยังคงถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ท่าเดิม ทว่าไม่นานเขาก็ลดมันลงแล้วสูดหายใจช้า ๆ
แม้กลิ่นยวนของยาพิษจะหอมหวานเชิญชวนเพียงใด เขาก็ไม่อยากจะหลงงมงายกับมันเช่นเดียวกับชายที่เฝ้าอ่านจดหมายฉบับเดิมในวันเดียวกันของทุกปี...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in