[หายใจไม่ออก]
ดวงตาสีอ่อนปรือเปิดขึ้นโดยมีถ้อยคำสั้น ๆ ก้องอยู่ในหัว และเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลาเขาก็พบว่าเกือบจะเที่ยงแล้ วแต่อากาศในห้องของเขาก็ยังเย็นเฉียบไม่ต่างจากเมื่อวาน
รีสหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะหยิบแว่นสายตามาสวม พลางนึกทบทวนว่าทำไมประโยคนั้นจึงวนเวียนก่อนที่จะตื่นขึ้นมา เขาฝันอะไรอยู่กันแน่
แต่แล้วก็เหมือนจะนึกออกตอนที่มองไปทางซองเอกสารบนโต๊ะ
ดูเหมือนว่าถ้อยคำสั้น ๆ นั้นจะเป็นคีย์เวิร์ดที่เขาใช้ในตอนถัดไป ก่อนนอนดูเหมือนจะกำลังคิดทบทวนถึงเนื้อเรื่องส่วนต่ออยู่กระมัง?
ชายหนุ่มขยับลุกจากเตียงเพื่อไปชงกาแฟ ทว่าเมื่อเท้าเหยียบลงบนพื้นเขาก็เปลี่ยนความคิดทันที
ไปพึ่งพิงร้านกาแฟอีกวันแล้วกัน...
<------------------------------------>
วันนี้ร้านก็ยังเงียบสงบเหมือนเดิม รีสแย้มยิ้มบางให้บริกรสาวที่มาเติมกาแฟให้เขาหลังจากที่แก้วแรกพร่องหายไปจนเกือบหมด
หลังจากบริกรจากไปแล้วรีสก็ก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อ
เขาคิดว่าอีกไม่นานอาจจะได้ยินเสียงโทรศัพท์จากสำนักพิมพ์ เมื่อบทนำและบทที่ 1 ถูกส่งมาต่อเนื่องกัน ดังนั้นบทที่ 2 ควรจะมาถึงวันนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาควรจะไปที่สำนักพิมพ์เพื่อรอรับของเลยไม่ใช่หรือ? จริง ๆ แล้วก็ควรเป็นเช่นนั้นแต่มีเหตุผลที่รีสยังคงรั้งรออยู่ที่นี่...เพราะเขาคาดหวังว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มคนเดิมเดินผ่านไป หากว่าภาพนั้นปรากฏขึ้น เปอร์เซ็นที่จะเป็นความบังเอิญก็อาจลดน้อยลง
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องผิดหวัง
ไม่มีทั้งเสียงโทรศัพท์หรือคนที่เฝ้ารอเดินผ่าน
รีสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองเวลา
บ่ายสองโมงแล้ว...
บทนำวันแรกมาตอนเช้า บทที่ 1มาตอนเที่ยงวัน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ที่บทที่ 2 ก็อาจจะมาเลทกว่าเมื่อวาน นั่นเป็นแค่การคาดการณ์ลอย ๆ เท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงโจรอาจจะเบื่อและไม่อยากส่งมันคืนแล้ว หรือไม่ก็อาจจะแค่ยั่วยุเขาไปอย่างนั้นเอง
“อยากจะได้อะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ?” เสียงบริกรสาวเรียกให้เขาละสายตาจากโทรศัพท์
“ไม่ครับ ขอบคุณมาก” บางที...เขาคงจะนั่งนานเกินไปแล้วกระมัง แถมของที่สั่งมาประดับโต๊ะนอกจากกาแฟก็มีเพียงแซนด์วิชจานเดียวที่ตอนนี้เหลือเพียงจานเปล่ากับเศษขนมปังร่วงหล่นอยู่เล็กน้อย เมื่อคิดได้ดังนั้นรีสจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปรอที่สำนักพิมพ์แทนที่จะนั่งเกะกะร้านต่อไป แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจเล็กน้อยเมื่อบริกรสาวกำลังจะเดินหันหลังจากไปพร้อมกับจานแซนด์วิชเปล่าของเขา “เดี๋ยวก่อนครับ ผมจะขอออร์เดอร์อีกหน่อย แต่ว่าช่วยใส่กล่องให้จะได้หรือเปล่า?”
เธอรับออร์เดอร์จากเขาก่อนกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษที่บรรจุขนมสองสามชิ้นไว้ข้างใน
หลังจากรีสจ่ายเงินและทิปให้เธอเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สำนักพิมพ์
เรเชลจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดเมื่อเจอหน้ากันตรงประตูทางเข้าอาคาร ดูเหมือนเธอเพิ่งจะไปทำธุระบางอย่างมา
“วันนี้โจรคนดีของคุณเอาของมาส่งแล้วเหรอ?” เธอเอ่ยถามพลางยักยิ้ม
“เปล่าหรอกครับ แต่เพราะเขายังไม่มานั่นแหละผมถึงได้กังวล ”รีสตอบกลับไปตามตรงระหว่างที่เดินเข้าอาคารด้วยกัน สายตาของเขายังอดเสไปทางช่องสอดไปรษณีย์ไม่ได้ แต่มันก็ว่างเปล่า ไม่สิบางทีอาจจะมีจดหมายซองเล็ก ๆ อยู่ข้างใน แต่ไม่มีซองเอกสารอย่างแน่นอน
เรเชลคงสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของเขาเธอจึงผ่อนลมหายใจบางเบา
“ไม่แน่นะวันนี้เขาอาจจะแอบเอามาวางที่โต๊ะของคุณวีลลิสแล้วก็ได้”
ได้ยินเช่นนั้นรีสก็หันมองหญิงสาวก่อนเลิกคิ้วขึ้นสูงเธอจึงพูดต่อ
“ฉันแค่คาดเดาเท่านั้นเอง บางทีโจรของคุณอาจจะอยากทำตัวลึกลับน่าค้นหาเหมือนในนิยายสืบสวนก็ได้” ที่จริงแล้วคำพูดของเธอก็ดูน่าคิด
“แต่ถ้าเข้าไปถึงในห้องของคุณวีลลิสได้ผมว่ามันออกจะดูน่ากลัวมากกว่าน่ายินดี”
ผู้ฟังไหวไหล่แล้วกดเรียกลิฟต์
“หากเกิดเรื่องแบบนั้นสิ่งแรกที่ต้องคิดคือเขางัดเข้ามาทางไหนมากกว่า ถ้าไม่ได้งัดเข้ามาก็อาจจะเป็นพนักงานในสำนักพิมพ์เอง” เรเชลสันนิษฐานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนราวกับกำลังสวมบทบาทนักสืบในนิยายอยู่จริง ๆ “ไม่คิดเหรอว่าอย่างน้อยก็มีอะไรให้ทำมากกว่าการนั่งรอ”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ชายหนุ่มต้องแปลกใจ นั่นสิ...ทำไมเขาถึงไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลยนะ อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาเขียนแนวสืบสวนไม่รอดก็เป็นได้...
“อย่าทำหน้าจริงจังไปหน่อยเลยคุณแคสเลอร์ มันเป็นแค่เหตุการณ์สมมติเท่านั้นเอง”
รองเท้าส้นสูงก้าวเข้าไปในลิฟต์หลังจากประตูเปิดออก ตามด้วยรองเท้าผ้าใบ จากนั้นประตูก็ปิดลง ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสเบา ๆ บนแผงหน้าปัด แสงไฟก็สว่างขึ้นและลิฟต์เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นชั้นบน
อาคารสำนักงานนี้ไม่ได้สูงมากมายนักเมื่อเทียบกับอาคารรอบข้าง เพียงไม่กี่วินาทีทั้งสองก็มาถึงชั้นที่ต้องการ
โมแรนแปลกใจไม่น้อยกว่าเรเชลนักที่ได้เห็นรีสในวันนี้
“ต้นฉบับของนายยังไม่มาส่งหรอก” เขากล่าวทันที
“ฉันรู้ ไม่อย่างนั้นนายคงโทรศัพท์มาหาฉันแล้ว” รีสนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้อง วางกล่องขนมลงบนโต๊ะ และโบกมือปฏิเสธเมื่อเขาผายมือไปทางเครื่องกดกาแฟ
บนโต๊ะของโมแรนวันนี้มีกองกระดาษตั้งอยู่แต่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา มันคงเป็นนิยายของนักเขียนร่วมสำนักพิมพ์สักคนหรือไม่ก็นักเขียนหน้าใหม่ที่ส่งมาให้พิจารณา
“นายลองคิดถึงเรื่องต่อไปหรือยัง?” จู่ ๆ เจ้าของออฟฟิศก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ฉันเพิ่งปิดต้นฉบับไปเองนะ” ฝ่ายนักเขียนกล่าวเตือนความจำบรรณาธิการ
“ใช่...ต้นฉบับที่ยังเอามาพิมพ์ไม่ได้ซะด้วยสิ” ขณะที่พูดเช่นนั้น โมแรนก็เอื้อมมือไปหยิบต้นฉบับปึกหนึ่งมาเปิดอ่าน “อยากลองอ่านดูบ้างไหม? ปึกนี้เป็นของวิลเฮม ส่วนอันนี้ของคอนเนลลี...อืม...แค่ส่วนหนึ่งของเรื่องที่เขาตั้งใจจะเขียนน่ะ” ผู้พูดชี้เชิญชวนพลางพูดถึงชื่อนักเขียนที่เป็นเจ้าของต้นฉบับไปด้วย แต่แนวงานเขียนของทั้งสองไม่ใช่แบบที่เขาชื่นชอบเท่าไหร่ รีสจึงเพียงแค่ยิ้มแกน ๆ
“ไม่ล่ะ...เดี๋ยวฉันเผลอติดไอเดียเขาไปใช้โดยไม่ตั้งใจแล้วจะยุ่งเอาเปล่า ๆ” เป็นคำปฏิเสธที่นุ่มนวลที่สุดเมื่อไม่ต้องการจะอ่านงานเขียนของใคร “แล้วฉบับนั้นล่ะของใคร?” รีสว่าขณะพยักพเยิดไปทางปึกกระดาษที่ไม่หนานักในมือของโมแรน
“ของ...เอ่อ...มัวร์ นายไม่รู้จักหรอก น่าจะเป็นนักเขียนหน้าใหม่” ว่าพลางคนตรงข้ามโต๊ะก็หมุนหน้าปกมาให้เขาดู มันเป็นแค่ใบปิดเรียบ ๆ ที่เขียนชื่อเรื่องและชื่อคนแต่งไว้ เช่นเดียวกับต้นฉบับอีกสองปึกที่วางอยู่บนโต๊ะและต้นฉบับอันอื่น ๆ ที่วางอยู่ในลิ้นชักด้านหลังเจ้าของห้อง
“แล้วนายชอบไหม?”
โมแรนแย้มยิ้มเล็ก ๆ เมื่อได้ยินคำถาม
“ถ้านายเป็นผู้หญิงฉันจะคิดว่านายกำลังหึงนะแคสเลอร์”
“คิดไกลเกินไปแล้ว” รีสหัวเราะ “ฉันแค่กำลังว่างก็เลยชวนนายคุยอยู่เท่านั้นเอง”
คนฟังพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“บางทีวันนี้อาจจะไม่มาก็ได้” เพราะรู้ว่าคู่สนทนากำลังว่างด้วยเหตุผลอะไรเขาจึงพูดขึ้นมาเช่นนั้น “ฉันรู้ว่านายกังวล เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงถามว่าลองคิดเรื่องต่อไปดูหรือยัง ไม่คิดเหรอว่าอย่างน้อยมันจะช่วยให้นายไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเดิม ๆ ตลอดเวลา”
“ก็ยังไม่ได้ฟุ้งซ่านขนาดนั้น” ผู้ถูกกล่าวหารีบปฏิเสธ แต่พฤติกรรมอยู่ไม่ติดที่ของรีสก็ทำให้โมแรนสรุปเช่นนั้นไปแล้ว...จึงจำยอมต้องอธิบายตามตรง “ที่จริงคือ...ฮีทเตอร์ที่ห้องฉันเสีย...”
คิ้วหนาสีบรอนด์เลิกขึ้นข้างหนึ่งแทนความฉงนก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงจะแย้มรอยยิ้มเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกแต่แรกสิ อยากจะมานอนค้างที่นี่ไหมล่ะ? ฉันมีงานอย่างอื่นให้ทำแทนค่าเช่าที่อยู่นะ” รอยยิ้มของคู่สนทนาทำให้คนมองรู้สึกกระอักกระอ่วน ใช่ว่าเขาไม่อยากได้ห้องนอนอุ่น ๆ ต่อให้เป็นห้องออฟฟิศก็เถอะ แต่เพราะเขาไม่ถูกกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์พวกนี้ต่างหาก
“บางทีพรุ่งนี้ช่างอาจจะมาแล้วก็ได้” รีสพยายามคิดในแง่ดี แม้ว่าช่างจะยังไม่โทรมานัดเวลาเลยก็ตาม
“ก็แล้วแต่นะ” โมแรนตัดบทเช่นนั้นขณะเอื้อมมือไปหยิบขนมจากกล่องกระดาษก่อนเสมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้าครึ้ม ๆ มาแต่ไกล “แต่ฉันคิดว่านายคงจะได้แค่มานั่งอิงฮีทเตอร์นั่นแหละ ดูฟ้าฝนแล้ว ถ้าบทที่ 2 กำลังเดินทางมามันก็คงจะเปียกก่อนถึงมือฉันหรือนายอยู่ดี”
เมื่อมองตามออกไปรีสก็เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา ฝนตั้งเค้ามาขนาดนี้แล้วคงไม่ใช่หยดสองหยดพอชุ่มชื้นแน่นอน ความคาดหวังว่าจะได้เห็นบทที่ 2 ของตนเองหายไปเกือบหมด เหลือแต่คำถามในใจว่าจะกลับตอนนี้เลยดีหรือเปล่า เพราะหากรั้งรอคงได้ตัวเปียกจนถึงห้องแน่
คิดยังไม่ทันจบดีหยดน้ำเปาะแปะก็เริ่มสาดกระทบหน้าต่าง และเพียงไม่นานก็กลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่เสียงสาดซัดดังผ่านเข้ามาถึงข้างในห้อง
[หายใจไม่ออก]
รีสคิดถึงถ้อยความนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพของฝนที่สาดรุนแรงจนกระจกทั้งบานกลายเป็นน้ำตกขนาดย่อมพาให้รู้สึกเหมือนทุกสิ่งเบื้องหลังกระจกจมลงสู่สายน้ำอันกราดเกรี้ยวและไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้
เมื่อรู้สึกว่าถูกขัง ห้องที่เคยกว้างขวางก็คับแคบไปถนัดตา ซ้ำยังหนาวเยือกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่ในขณะเดียวกัน มันกลับให้ความรู้สึกปลอดภัยและเงียบสงบอย่างประหลาด
เป็นความรู้สึกขัดแย้งที่น่าสงสัยอยู่ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบมันกันแน่
“หวา!! เกือบไม่ทันแน่ะ!”
เด็กหนุ่มถลาเข้ามาในสำนักงานพลางปัดผมสีแดงของตนเอง ร่างท่อนบนเปียกน้ำเป็นหย่อม ๆ แต่ดูเหมือนจะเข้ามาในอาคารได้ทันก่อนมันจะตกหนัก ตอนที่เด็กคนนั้นถอดเสื้อคลุมออก รีสก็เห็นมโนภาพแวบหนึ่งว่ามีซองเอกสารอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทของเขา แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงมโนภาพเท่านั้น ในความเป็นจริงเจมี่เพียงถอดโค้ทเปียกน้ำฝนออกแล้วสะบัดมันแรง ๆ ก่อนถือมาแขวนที่เก้าอี้ประจำตัว
<------------------------------------>
กว่าฝนจะยอมซาฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว
รีสออกมาจากสำนักงานในตอนเย็นย่ำและเห็นว่ายังมีน้ำฝนโปรยปรายเป็นเม็ดเล็ก ๆ อยู่บ้าง โมแรนบังคับให้เขายืมร่มออกมาด้วยทั้งที่เขามองว่าฝนแค่นี้เดี๋ยวก็แห้ง
ภายใต้ร่มสีกรมท่า รีสเดินย่างไปบนฟุตบาทเฉอะแฉะมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน อาจเพราะวิสัยทัศน์ใต้ร่มไม่อำนวยต่อการมองนัก ทำให้ในตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นใครอีกคนที่ถือซองเอกสารเดินสวนมาเลย
<------------------------------------>
เมื่อกลับถึงห้องรีสก็พักร่มไว้ที่ผ้าเช็ดเท้าตรงประตู ด้วยความเคยชินจึงหยิบรีโมทฮีทเตอร์ขึ้นมาเปิดแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงมันทำงาน
แน่ล่ะ...ไม่มีคนมาซ่อมแล้วมันจะทำงานได้ยังไง
ชายหนุ่มยิ้มขันกับตนเองแล้วโยนรีโมททิ้งไปอีกทาง
เสื้อผ้าและเส้นผมมีแต่กลิ่นละอองฝน นั่นทำให้เขาตัดสินใจหอบหิ้วผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ แต่พื้นห้องน้ำที่เย็นเฉียบทำให้ต้องชักเท้ากลับแล้วคิดหน้าคิดหลังดี ๆ อีกครั้ง ถึงอย่างนั้นสุดท้ายเขาก็ต้องยอมเหยียบลงไปบนพื้นที่ไม่ต่างจากแผ่นน้ำแข็งเพราะนั่นคือทางเดียวที่เขาจะได้ล้างกลิ่นละอองฝนออกไปจากตัว
โชคดีที่ห้องเช่านี้มีอ่างน้ำให้ใช้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้รีสรู้สึกชื่นชอบมันจนยอมจ่ายแม้ว่าตัวห้องจะกว้างเกินความจำเป็นของเขาไปสักหน่อยก็ตาม
เมื่อได้แช่ตัวลงในน้ำอุ่นเขาก็เผลอผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่
ถ้าหากว่าสามารถนอนหลับในนี้ได้เลยก็คงดี
ชายหนุ่มคิดขณะวักน้ำขึ้นล้างหน้า แพขนตาสีอ่อนหลุบลงมองผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวเป็นระลอกบางเบาภาพร่างกายของเขาที่อยู่ข้างใต้ดูบิดเบี้ยวจนแปลกประหลาด การที่น้ำสามารถหักเหการมองเห็นได้ถึงขนาดนี้ช่างส่งเสริมจินตนาการได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้บางครั้งเมื่อเขาคิดเนื้องานไม่ออกก็จะมานั่งแช่เพื่อมองภาพผืนน้ำและระลอกของมัน และเขาก็จะได้ไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น
บางทีอาจไม่ใช่เพราะภาพบิดเบือนของน้ำแต่เป็นความอุ่นของมันที่ทำให้สมองแล่น เรื่องนั้นรีสไม่ค่อยมั่นใจ เขาไม่ได้เก่งวิทยาศาสตร์อะไรนัก
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการไอเดียอะไร...แค่อยากได้ความอุ่น เพราะอย่างนั้นสุดท้ายเขาก็ละสายตาจากภาพเบื้องหน้าและปรือตาปิดลง เอนศีรษะไปด้านหลังเพื่อทิ้งช่วงบนของร่างกายให้จมลึกลงไปอีกเล็กน้อยจนกระทั่งผิวน้ำปริ่มใต้จมูกจึงได้หยุดตนเองไว้ในท่านั้น
[หายใจไม่ออก]
เสียงเดิมก้องขึ้นมาในหัว เป็นอาการเดียวกับคนที่มีเสียงเพลงวนลูปไปมา ซึ่งตอนนี้รีสชักจะรู้สึกรำคาญมันเสียแล้ว
เสียงที่วนเวียนผสมกับไออุ่นของน้ำทำให้ชายหนุ่มเริ่มง่วงงุน และในช่วงที่สติอยู่ในภาวะกึ่งกลับกึ่งตื่นเขาก็ได้ยินเสียงฝน ดวงตาคู่สวยปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง เพราะไม่ได้สวมแว่นผสมกับความมึนงงทำให้ภาพเบื้องหน้าเบลอมัว เสียงฝนทำให้รู้สึกว่าห้องอาบน้ำบีบแคบเข้ามาและเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น
เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้...
ภาพความทรงจำอันหนึ่งไหลผ่านความคิด สถานที่นั้นทั้งมืดและคับแคบ ทว่าเสียงที่ทำให้เขาต้องหลบซ่อนไม่ใช่แค่เสียงฝนทว่าเป็นเสียงของชายหญิงในห้วงพิศวาส เขาไม่ใช่แค่ถูกขัง แต่ถูกตรึงจนไม่อาจขยับเขยื้อน ยิ่งเวลาดำเนินไปนานเท่าไหร่ผนังก็ยิ่งบีบรัดเข้ามาจนยากที่จะหายใจ
ในความทรงจำนั้น...เขาจมลงในความมืด...
และ...หายใจไม่ออก...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in