โมแรน วีลลิส ตบเท้าเข้าสำนักพิมพ์ในตอนเช้าสิ่งแรกที่ถูกถามถึงคือ...
“แล้วคิวพิมพ์นิยายของแคสเลอร์จะเอายังไงดีคะ?” แค่ได้ยินก็ทำเอากุมขมับแล้ว
“เลื่อนออกไปก่อน คงจะต้องเลื่อนออกไปสักระยะยาวเลยนั่นล่ะ” เขาโบกมือให้ผู้ช่วยสาวขณะเดินเข้าห้องเพื่อชงกาแฟ “คราวนี้ฉันคงต้องบังคับเขาให้ใช้คอมพิวเตอร์อย่างจริงจังแล้ว อย่างน้อยถ้ามีไฟล์ดิจิตอลฉันคงไม่ต้องมานั่งกังวลว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง” พร้อมกับซดกาแฟอึกแรกของวัน ชายหนุ่มก็พึมพำกับตนเองไปด้วยแต่ก็เป็นเสียงพึมพำที่ดังพอให้คนร่วมห้องได้ยิน
“เพราะคุณตามใจเขามากเกินไปนั่นแหละ” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก
“แต่เธอเป็นคนบอกเองนะ เรเชล ว่าชอบวิธีการเขียนกับแนวดำเนินเรื่องของเขา” โมแรนโยนลูกกลับไปให้ผู้ช่วยด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะโดนตำหนิ
“ฉันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาอกเอาใจเขาถึงขนาดนั้นนี่คะ” เจ้าของชื่อเรเชลมุ่นคิ้ว
“ใครว่าฉันเอาอกเอาใจเขากัน?”
ได้ยินคำถามเช่นนั้นหญิงสาวก็บุ้ยหน้าออกไปด้านนอกห้องซึ่งมีโต๊ะทำงานของพนักงานภายในสำนักพิมพ์วางเรียงกันอยู่หลายตัว โต๊ะส่วนใหญ่ยังไม่มีคนนั่งเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้างาน และคนที่มาเข้างานแล้วก็ไม่ได้ทำงานกันอยู่หรอก...
“พวกเขาบอกว่าคุณใจดีกับแคสเลอร์มากกว่านักเขียนคนอื่น ๆ ของเรา”
โมแรนเหยียดริมฝีปากเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดใจนึกสงสัยว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?
“ปกติฉันก็ไม่เคยดุใครเสียหน่อยแม้กระทั่งพนักงานของเราเองก็เถอะ” เขาว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่คุณก็ไม่เคยออกไปรับต้นฉบับเองเหมือนกัน กระทั่งเสื้อสูทคุณยังฝากฉันเอาไปเข้าร้านซักรีดให้เลย” มือเรียวยาวผายไปทางสูทสีเทาในถุงเสื้อที่แขวนอยู่บนราวฝั่งหนึ่งของห้องทำงาน
“ก็เธอทำงานได้ดีจนฉันไว้ใจ” เจ้าของเสื้อไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผู้ช่วยตนเองนัก เขาเอนตัวอิงสะโพกกับโต๊ะสีเข้มพลางซดกาแฟอีกอึกหนึ่ง “นอกจากนี้นี่มันคนละกรณีกัน ต้นฉบับของแคสเลอร์ควรจะถึงมือฉันมาสามสี่วันแล้ว ฉันไม่อยากให้เขามีข้ออ้างเลื่อนเวลาอีกเลยบอกว่าให้เอามาให้ในเช้าวันที่งานเสร็จทันที มันไม่ใช่การเอาอกเอาใจอย่างที่พวกเธอคิดหรอกนะ”
ได้ฟังเช่นนั้นผู้ช่วยสาวก็ถอนหายใจอีกเฮือก
“ถึงอย่างนั้นหากมองจากสายตาคนนอกแล้วมันดูเหมือนคุณกำลังเอาใจเขาจริง ๆ นี่คะ ฉันคิดว่าคุณควรจะดุเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที” ที่จริงแล้วเธอเองก็ไม่ได้เกลียดแคสเลอร์หรอก เพียงแต่...นิสัยของเขามันทำให้คนอื่นลำบากนิดหน่อยนี่สิ คิดว่าใครกันล่ะที่เป็นคนพิมพ์ต้นฉบับของอีกฝ่ายให้เป็นไฟล์ดิจิตอล ก็เธอไง ถึงลายมืออีกฝ่ายจะค่อนข้างสวย และเธอเองก็ได้ค่าจ้างพิเศษจากตรงนี้ก็เถอะ...
“เอาล่ะ ๆ ฉันจะตำหนิเขาอย่างจริงจังเมื่อมีโอกาสในครั้งหน้าก็แล้วกัน” ในที่สุดโมแรนก็ยกมือขอเป็นฝ่ายยอมแพ้ในการถกเถียงครั้งนี้
“ดีแล้วค่ะ” เรเชลเห็นอีกฝ่ายตัดบทเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นการยินยอมเพื่อให้การสนทนาจบลงเท่านั้นเอง
แต่แล้วในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะหมุนตัวออกจากห้อง...
“ว่าไปแล้ว...ถ้าเธอบอกว่าฉันตามใจแคสเลอร์จนเสียนิสัย ฉันเองก็คงติดนิสัยแบบนั้นมาจากที่เธอตามใจฉันจนเสียนิสัยนั่นล่ะนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางกลั้วเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ในคอ “แบบนี้มันก็คงเป็นความผิดของเราคนละครึ่งแล้วน่ะสิ”
<------------------------------------>
ปากกาสีดำหมุนควงบนปลายนิ้ว เงาสีดำที่แกว่งไปมาผ่านกระดาษสีขาวบนโต๊ะที่ตอนนี้ยังไม่มีหมึกจรดลงไปแม้แต่จุดเดียว
หนทางหมื่นลี้ย่อมมีก้าวแรกเสมอ
เคยได้ยินประโยคนี้จากหนังสือเล่มไหนสักเล่ม คงจะเป็นของนักปราชญ์ชาวจีนสักคน มาตอนนี้เขาอยากรู้นัก...หากนักปราชญ์คนนั้นเดินทางไปไกลถึงหมื่นลี้แล้วถูกผลักให้กลับมาจุดเริ่มต้นใหม่ เขายังจะเริ่มก้าวแรกได้อยู่อีกหรือเปล่า?
นั่นแหละคือความรู้สึกของเขา...
แกร๊ก
เสียงปากการ่วงกระทบโต๊ะไม่อาจทำให้ชายหนุ่มขยับตัวได้มากเกินกว่าหยิบมันขึ้นมาหมุนควงบนปลายนิ้วใหม่ รีสหลุบตาลง นึกถึงวันแรกที่เขาเขียนมันขึ้น ตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่กันนะ...
อย่างน้อยหากคิดถึงความรู้สึกตอนนั้นได้ก็น่าจะสามารถทำให้มันต่อเนื่องได้
October Rain
หัวกระดาษถูกหมึกของปากกาป้ายเป็นข้อความ ที่จริงแล้วมันเป็นชื่อเรื่องของนิยายที่หายไป
พอเห็นชื่อเรื่อง รีสก็เริ่มนึกย้อนกลับไปได้ ตอนนั้นไม่ใช่เดือนตุลาคม...ที่จริงแล้วมันเป็นเดือนธันวาคมและอากาศกำลังหนาวเย็นจับใจ
ในเดือนธันวาคมไม่มีอะไรน่าจรรโลงใจนอกจากความหนาวเหน็บ เสื้อผ้าตัวหนาสีทึบทึมและหมอกขาวในยามเช้า
ในตอนนั้นรีสนึกถึงเสียงฝนขึ้นมา
ฝนมีเสียงและกลิ่นของตัวเอง ในขณะเดียวกันภายใต้สายฝนก็ดูลึกลับราวกับกำลังปิดซ่อนบางสิ่ง เป็นรูปธรรมที่ดูน่าค้นหา นั่นเป็นที่มาของชื่อเรื่อง
ต่อจากชื่อเรื่องก็น่าจะเป็นบทนำ
นิยายแนวระทึกขวัญมักจะเริ่มต้นด้วยอะไรที่แสนธรรมดา...
รีสหยิบกระดาษโน้ตตนเองเปิดไปหาวันที่เริ่มเขียน ในกระดาษโน้ตวันนั้นแทบไม่มีอะไรจดไว้เป็นพิเศษเลย นอกจากคำว่า สายฝน
อืม...เขาเริ่มจากการบรรยายถึงฝนที่ตกหนักหรือเปล่า?
ในหัวของเขามีภาพของฝนที่ซัดสาดลงมาราวกับพายุ เร็ว แรง และแบ่งแยกภาพเบื้องหน้าออกจากทิวทัศน์ที่ไกลออกไปราวกับอยู่คนละฝั่งโลก เพื่อที่จะมองเห็นภาพเช่นนั้นแปลว่ามุมมองแรกต้องอยู่ใต้ชายคาและมีสายฝนเป็นกำแพงคั่นระหว่างเจ้าของสายตากับบางสิ่งที่อยู่อีกฝั่ง
ในห้วงภวังค์เวลานี้มีเพียงเสียงฝนที่สาดกระทบหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามันเป็นจินตนาการที่เหมือนจริงเกินไปหรืออาจเป็นเพราะข้างนอกฝนกำลังตกอยู่จริง ๆ ก็เป็นได้ แม้กระนั้นเสียงฝนก็ถูกแทรกโดยเสียงแหลมสูงของออดประตูห้องและมันทำให้รีสสะดุ้งจนเผลอทำปากกาตกใส่โต๊ะ
“อา...ครับ รอสักครู่นะครับ” เขาพูดเสียงดังพอให้คนข้างนอกได้ยินก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วหันมองนอกหน้าต่าง
ฝนไม่ได้ซัดแรงอย่างที่คาด มันเป็นแค่สายฝนพรำที่ชวนหดหู่และง่วงเหงาหาวนอนเท่านั้น
ชายหนุ่มผละจากโต๊ะสาวเท้าไปทางประตูก่อนเปิดออกและพบว่าคนด้านนอกคือคนคุ้นเคยหน้าตากันดี
“เรเชล?”
หญิงสาวผมบรอนด์รวบตึงในชุดเรียบกริบสีเข้มยืนเท้ามือกับร่มคันโปรดของเธอพลางแย้มยิ้มให้เขาตามมารยาท และยกมือขึ้นข้างหนึ่งเมื่อเขาทำท่าจะหลีกทางให้เธอเข้ามาด้านใน
“ไม่ ไม่ต้องเชิญฉันเข้าไปหรอก”เธอว่า “คุณวีลลิสแค่บอกให้ฉันแวะมาหาคุณหลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วดูเหมือนเขามีของอยากให้คุณดู”
รีสทำท่าจะอ้าปากถามว่าทำไมจึงไม่โทรมาแทน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์มือถือของเขาหายไปพร้อมกระเป๋าจึงยังไม่ทันได้ซื้อใหม่
“ขอเวลาผมเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่”
“ได้ ฉันจะรอตรงนี้แหละ” หญิงสาวตอบโดยไม่ยี่หระต่อส้นสูงที่สวมใส่
รีสหายไปในห้องไม่กี่นาทีก่อนจะกลับออกมาในเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยกว่าเดิมและร่มอีกคัน พวกเขานั่งรถใต้ดินไปเพียงสองสถานีก็ถึงสำนักพิมพ์ และเมื่อเข้าไปถึงเรเชลก็พาเขาเข้าไปในออฟฟิศของโมแลนทันทีและเจ้าของห้องก็รออยู่ที่นั่นพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลบนโต๊ะ
“ได้ยินว่านายอยากเจอ...” เขาเริ่มบทสนทนาหลังจากเรเชลเดินออกจากห้องไปแล้ว
“ใช่ ฉันมีของอยากจะให้นายดู” โมแรนเลื่อนซองเอกสารตรงหน้าให้รีสซึ่งกำลังมองมันด้วยสายตากังขา
“ของฉันเหรอ?”
“ลองเปิดดูสิ”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเล่นแง่หรือเปล่าจึงได้คะยั้นคะยอให้ลองเปิดดูนัก ท่าทางเช่นนั้นทำให้รีสรู้สึกลังเลแต่ก็ยอมหยิบมันขึ้นมาเปิดดูว่าข้างในคืออะไรกันแน่ ทำไมโมแรนจึงได้คิดว่ามันสำคัญถึงขนาดต้องตามตัวเขามาที่นี่ด้วย และทันทีที่เห็นหัวกระดาษ รีสก็กดหัวคิ้วลงเมื่อความกังขากลับกลายเป็นความสับสน
October Rain
นั่นคือตัวอักษรที่พิมพ์อยู่เด่นหราบนกระดาษแผ่นแรก
ใช่...ไม่ผิดหรอก มันคือการพิมพ์และปรินท์ออกมาอย่างที่พบเห็นได้มากมายในยุคสมัยนี้
รีสรีบสังเกตสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ในซอง ทว่ามันมีเพียงกระดาษขนาด A4 ไม่กี่แผ่นเท่านั้น ด้านหน้าและหลังซองเรียบกริบไม่มีอะไรเขียนอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียวและเมื่อดึงปึกกระดาษนั้นออกมา รีสก็พบว่ามันมีจำนวนแค่ห้าแผ่น เขาพลิกแผ่นแรกออกและอ่านสิ่งที่อยู่บนแผ่นถัดไป
[จากบานหน้าต่างชั้นบน สายตาคู่หนึ่งทอดมองออกไปไกลผ่านสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าสู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงสลัว]
“มันถูกส่งมาเมื่อตอนเช้า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งแต่เจมี่เป็นคนถือเข้ามา” โมแรนกล่าวพลางพยักพเยิดไปทางเด็กฝึกงานคนใหม่ที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่เครื่องถ่ายเอกสาร “ฉันลองถามเขาแล้ว เขาบอกแค่ว่ามันถูกวางเอาไว้ในตู้รับจดหมายก็เลยเอามาให้ฉันเพราะคิดว่าอาจจะเป็นจดหมายจากแฟนคลับของนักเขียนสักคน”
นั่นเป็นคำอธิบายที่ไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นสักนิดเดียว ใจของรีสกระโดดไปถึงหน้าอาคารแล้วแต่เขารู้ดีว่าเจ้าตัวคนส่งคงจะไม่อยู่รอให้เขาเจอตัวหรอก...
“นอกจากซองนี้แล้วไม่มีอย่างอื่นเลยเหรอ?”
คู่สนทนาส่ายศีรษะ
“แต่ว่านี่มัน...เป็นแค่ส่วนบทนำของต้นฉบับเท่านั้นเองนะ” รีสกล่าวพลางวางกระดาษและซองลงบนโต๊ะเขาลองพลิกดูคร่าว ๆ แล้วและมั่นใจว่าเนื้อหามีเพียงแค่นั้น
“ฉันรู้ ฉันลองอ่านทั้งหมดแล้วมันเป็นบทนำของสิ่งที่นายเขียนอย่างแน่นอน เพียงแต่...มาในรูปแบบของการพิมพ์”
ดูจากสีหน้าแล้วก็พอจะอนุมานได้ว่าโมแรนไม่ได้ล้อเล่น อีกฝ่ายเองก็มีคำถามมากมายเช่นเดียวกับเขา ใคร? ทำไม? เพื่ออะไร?
“ฉันอยากให้นายลองตรวจสอบดูว่านั่นคือทั้งหมดที่นายเขียนจริงหรือเปล่า มีอะไรสอดแทรกเพิ่มเติมไหม ปรับเปลี่ยนสำนวนหรืออะไรก็ตามที่ทำให้นายรู้สึกว่ามันผิดปกติ”
ใจเจ้าของต้นฉบับร้อนรนเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาเขียนอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้ หนำซ้ำฝ่ายนั้นอาจกำลังเล่นสนุกกับการชำแหละผลงานของเขาเป็นส่วน ๆ แต่ฝ่ายบรรณาธิการก็ยืนยันคำสั่งเดิมเป็นเหตุผลให้รีสจำต้องอ่านทบทวนสิ่งที่ตนเองเคยเขียนผ่านไปเมื่อหลายเดือนก่อน
เพราะข้อความทั้งหมดมีความยาวเพียงห้าหน้ากระดาษทำให้รีสใช้เวลาอ่านมันทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วแน่นอนว่าเขาเก็บรายละเอียดเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ทว่า...
“ไม่...นอกจากตัวอักษรพิมพ์พวกนี้แล้วฉันไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติเลย”
ทั้งสำนวนการเขียน วิธีการดำเนินเรื่องราว และคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่จำได้ ทั้งหมดนี้เป็นของเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน รีสมั่นใจในข้อนั้น
“งั้นเหรอ...” โมแรนตอบคำเหมือนกำลังพิจารณาบางอย่างก่อนพรูลมหายใจยาว “โจรของนายนี่ทำตัวพิลึกดีแท้ เอาแบบนี้แล้วกัน นายหยุดเรื่องเขียนต้นฉบับใหม่ไปก่อน เอาเป็นว่าตอนนี้เรารู้กันว่าต้นฉบับตัวจริงของนายอยู่ที่ไหนสักแห่งกับใครบางคนและยังไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรถึงทำแบบนี้ ดังนั้นฉันว่าเราน่าจะต้องรอดูอีกสักพักเผื่อว่าจะมีการส่งของอะไรมาเพิ่มเติม”
ใจหนึ่งรีสก็ไม่เห็นด้วยกับการรอคอยแต่หากไม่รอก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงจำยอมต้องพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นคงไม่ว่านะถ้าฉันจะเอามันกลับไปด้วย” เจ้าตัวว่าก่อนนำกระดาษทั้งหมดยัดใส่ซองตามเดิม แต่กลับมีเสียงปรามจากอีกฝั่งโต๊ะ
“ถ้านายจะเอากลับไป ฉันแนะนำให้ไปถ่ายเอกสารไว้ก่อนดีกว่า” จากมุมมองของบรรณาธิการที่เฝ้ารอต้นฉบับนี้มานาน การได้มันกลับมาแค่เสี้ยวหนึ่งทำให้เขาไม่อยากเสี่ยงเสียมันไปอีก “เจมี่! เข้ามานี่หน่อย” เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านใด ๆ จากฝั่งนักเขียนเขาก็ตะโกนเรียกเด็กฝึกงานที่เพิ่งใช้เครื่องถ่ายเอกสารเสร็จเรียบร้อยให้เข้ามาหาก่อนดึงซองจากมือรีสส่งให้เพื่อขอให้ช่วยทำสำเนาเพิ่มให้หน่อย
พ่อหนุ่มน้อยผมแดงรีบรับของแล้ววิ่งไปทำหน้าที่อย่างซื่อตรง
สำเนาร้อน ๆ ถูกนำมาวางตรงหน้าสองฉบับ รีสนำฉบับหนึ่งกลับห้องไปด้วยกัน ก่อนกลับโมแรนยังไม่วายเตือนอีกเรื่องว่าเขาควรจะซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่เสียด้วย
<------------------------------------>
เมื่อถึงห้องรีสก็วางซองเอกสารลงบนโต๊ะทำงานและนั่งมองมันอย่างพินิจพิจารณา นึกสงสัยว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่มันถูกส่งไปหาโมแรน คนขโมยอาจตั้งใจจะส่งต้นฉบับคืนจึงส่งมันไปตามชื่อสำนักพิมพ์ที่เขาเขียนไว้บนซอง แต่ก็ยังมีเรื่องน่าสงสัย...ว่าทำไมจึงไม่ส่งกลับคืนมาให้หมดแล้วทำไมจึงต้องพิมพ์ขึ้นใหม่ด้วย
โจรคนนี้ จริง ๆ แล้วเป็นคนดีพิลึกพิลั่น หรือว่าเป็นคนนิสัยเสียที่กำลังเล่นสนุกกับความลำบากของคนอื่นกันแน่!?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in