Artist : Taylor Swift
Album : folklore
Song : cardigan
มาต่อกันที่เพลงที่สอง “cardigan” ซึ่งเป็นแทร็คนำโปรโมทของอัลบั้มนี้กันเลยค่ะ
Scenario ของเรื่องก็คือผู้หญิง (Betty) จับได้ว่าผู้ชาย (James) นอกใจ เพลงนี้เป็นการเล่าเรื่องราวและความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมของเธอค่ะ
โดยหากมองจากมุมของคนอื่น พวกเขาก็จะคิดว่าเพราะผู้หญิงคนนี้ยังเด็กก็เลยไม่ทันคนและต้องเจ็บช้ำ แต่หากมองในมุมของเธอเอง เธอคิดว่าเธอรู้ทุกอย่างดีมาตลอด เธอเคยสัมผัสประสบการณ์แย่ๆมาตั้งแต่เด็กแล้ว และสุดท้าย ไม่ว่าเรื่องราวมันจะพังขนาดไหน เธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นก็คงจะกลับมาหาเธอเพราะว่าเธอเป็นเหมือนคาร์ดิแกนตัวเก่าตัวเก่งของเขานั่นเองค่ะ
——————————————————————
Vintage tee, brand new phone
High heels on cobblestones
When you are young, they assume you know nothing
Sequin smile, black lipstick
Sensual politics
When you are young, they assume you know nothing
เสื้อยืดสไตล์วินเทจกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยม
สวมส้นสูง เดินบนพื้นหินกลมมน
เมื่อเธอยังเด็ก พวกเขาต่างคิดว่าเธอช่างอ่อนต่อโลก
รอยยิ้มที่เปล่งประกาย เคลือบโดยลิปสติกสีดำ
นโยบายการเมืองชวนให้เชื่อ
เมื่อเธอยังเด็ก พวกเขาต่างคิดว่าเธอช่างอ่อนต่อโลก
But I knew you
Dancing in your Levi’s
Drunk under a streetlight
I knew you
Hand under my sweatshirt
Baby, kiss it better
แต่ฉันรู้จักเธอดี
เธอที่กำลังเต้นรำในชุดกางเกงยีน Levi’s
เธอเมาอยู่ภายใต้แสงไฟของท้องถนน
ฉันรู้จักเธอ
คนเคลื่อนมือซุกซนอยู่ภายใต้เสื้อสเวตเชิ้ตของฉัน
ที่รัก จูบฉันอีกทีสิ
And when I felt like I was an old cardigan
Under someone’s bed
You put me on and said I was your favorite
และเมื่อฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคาร์ดิแกนตัวเก่า
ที่ถูกทอดทิ้งไว้ใต้เตียงใครสักคน
เธอก็จะหยิบฉันขึ้นมาสวมใส่แล้วบอกว่าฉันเป็นตัวโปรดของเธอ
A friend to all is a friend to none
Chase two girls, lose the one
When you are young, they assume you know nothing
คนที่เป็นมิตรกับทุกคน แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อนใครเลย
ไล่ตามทั้งสองคน จึงเสียต้องคนที่รักที่สุดไป
เมื่อเธอเป็นเด็ก พวกเขาต่างคิดว่าเธอช่างอ่อนต่อโลก
(ตรงนี้หมายถึงผู้ชายพยายามจะรักษาผู้หญิงทั้งสองคนไว้ ไม่ได้หมายถึงเพื่อนนะคะ)
But I knew you
Playing hide-and-seek and
Giving me your weekends
I knew you
Your heartbeat on the High Line
Once in twenty lifetimes
แต่ฉันรู้จักเธอดี
คนที่ชอบเล่นซ่อนหา (เล่นแง่/เล่นเกม)
ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์อยู่กับฉัน
ฉันรู้จักเธอดี
จังหวะหัวใจของเธอแบบตอนที่เราอยู่บน High Line
พบได้แค่ครั้งหนึ่งในยี่สิบชีวิต
And when I felt like I was an old cardigan
Under someone’s bed
You put me on and said I was your favorite
และเมื่อฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคาร์ดิแกนตัวเก่า
ที่ถูกทอดทิ้งไว้ใต้เตียงใครสักคน
เธอก็จะหยิบฉันขึ้นมาสวมใส่แล้วบอกว่าฉันเป็นตัวโปรดของเธอ
To kiss in cars and downtown bars,
was all we needed
You drew stars around my scars
But now I’m bleeding
การจูบกันในรถและบาร์ใจกลางเมือง
เป็นสิ่งที่เราต่างต้องการ
เธอเคยวาดดวงดาว รอบๆรอยแผลเป็นของฉัน
แต่ในตอนนี้แผลนั้นเปิดออกอีกครั้ง
(รอยแผลเก่าน่าจะเกิดจากการที่พ่อของเธอทิ้งไป แล้วตอนนี้ผู้ชายก็มาทำให้ผิดหวังอีกทั้งๆที่เคยรักกันดีแท้ๆ ก็เลยเหมือนเป็นการกรีดรอยแผลเก่าค่ะ)
Because I knew you
stepping on the last train
Marked me like a blood stain
I knew you
tried to change the ending
Peter losing Wendy
I knew you
leaving like a father
running like water
And when you are young, they assume you know nothing
เพราะฉันรู้ว่าเธอ
กำลังจะก้าวขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย
ทิ้งตราประทับที่เหมือนดั่งคราบเลือดไว้บนตัวฉัน
ฉันรู้ว่าเธอ
พยายามจะเปลี่ยนแปลงตอนจบแล้ว (พยายามจะกลับมาคืนดีกัน)
แต่สุดท้ายปีเตอร์ก็ต้องเสียเวนดี้ไปอยู่วันยังค่ำ
ฉันรู้ว่าเธอ
กำลังจะจากไปเหมือนกับพ่อของฉัน
จากไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำไหล
แน่นอนว่าเมื่อเธอเป็นเด็ก พวกเขาต่างก็คิดว่าเธอช่างอ่อนต่อโลก
But I knew you’d linger like a tattoo kiss
I knew you’d haunt all of my what-ifs
The smell of smoke would hang around this long
Cause I knew everything when I was young
แต่ฉันรู้ว่าเธอจะยังติดตรึงอยู่เหมือนกับรอยจูบที่เคยทาบประทับ
ฉันรู้ว่าเธอจะยังคงตามไปหลอกหลอนในทุกๆทางเลือกที่ฉันสร้างขึ้นไม่ว่าฉันจะทำอะไร
กลิ่นควันบุหรี่สามารถลอยวนเวียนอยู่ได้นานขนาดนี้เลยหละ
เพราะฉันรู้ทุกอย่างดีมาตลอด ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็กแล้ว
I knew I’d curse you for the longest time
Chasing shadows in the grocery line
I knew you’d miss me once the thrill expired
And you’d be standing in my front porch light
And I knew you’d come back to me
You’d come back to me
And you’d come back to me
And you’d come back
ฉันรู้ว่าฉันจะสาปแช่งเธอไปอีกนานแสนนาน (จะไม่ให้อภัย)
ตามหาเงาของเธอไปทั่วตามร้านขายของชำ
ฉันรู้ว่าเธอจะคิดถึงฉันเมื่อความตื่นเต้นเร้าใจหมดลง
แล้วเดี๋ยวเธอก็จะมายืนอยู่หน้าโคมไฟตรงระเบียงบ้านฉันเอง
และฉันรู้ว่าเธอจะกลับมาหาฉัน
เดี๋ยวเธอก็กลับมาหาฉัน
แล้วเธอจะกลับมาหาฉัน
เธอจะกลับมา
And when I felt like I was an old cardigan
Under someone’s bed
You put me on and said I was your favorite
เหมือนกับตอนที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคาร์ดิแกนเก่าๆ
ใต้เตียงใครสักคน
เธอก็จะหยิบฉันขึ้นมาสวมใส่ แล้วบอกว่าฉันเป็นคาร์ดิแกนตัวโปรดของเธอ
(อ้างอิงเนื้อเพลงจาก Genius และ OfficialLyricVideo)
——————————————————————
จะเห็นว่าเพลงนี้ใช้ past tense เกือบทั้งหมดเลย นั่นคือเป็นการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว ในช่วงท้ายๆที่บอกถึงว่าเดี๋ยวผู้ชายก็คงกลับมา ถ้าดูตามหลักแกรมม่าแล้ว สุดท้ายคือเขาไม่ได้กลับมานะคะ
หลายๆส่วนในเพลงนี้ มีการเปรียบเปรยกับเรื่องปีเตอร์แพนค่ะ อย่างตรง chasing shadows เราว่าตรงนี้เปรียบเทียบกับตอนปีเตอร์แพนมาตามหาเงาแล้วเจอกับเวนดี้เป็นครั้งแรกค่ะ นอกจากนี้ chase shadow ยังหมายถึงตามหาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วยค่ะ แล้วก็ porch light เราแปลเป็นโคมไฟตรงระเบียงบ้าน เพราะเรานึกถึงตอนที่ปีเตอร์แพนเข้าบ้านเวนดี้มาทางระเบียงค่ะ
ส่วนสำนวนและคำศัพท์อื่นๆที่น่าสนใจจะรวมเอาไว้ตรงนี้นะคะ
จริงๆเราตั้งใจจะแปลอัลบั้มนี้เพราะเราอยากจะกาวเรื่องราวในอัลบั้มที่ถูกผูกขึ้นมาด้วยนั่นแหละ แหะๆ มันสมกับเป็น folklore มากๆเลย o̴̶̷᷄ ˕ o̴̶̷̥᷅
ก่อนจากกันไปเราจะแปะรูปเอาไว้สักเล็กน้อยเผื่อใครนึกภาพไม่ออกนะคะ ><
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in