Pairing : Xu Bingchao x Gu Landi x Ding Feijun
จากโมเมนต์งานวันเกิดสวีปิ่งเชา ผสมด้วยกาวยู้ฮูปริมาณมาก โปรดปั่นจักรยานไปด้วยขณะรับชม ยี้ฮ่อ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
กู่หลันตี้อายุย่างเข้ายี่สิบสี่ปีนี้ และจากร่างกายของตนเขารู้ดีว่าตัวเองเป็นเบต้าทั่ว ๆ ไปที่ถึงจะหน้าตาดีมากยังไงก็ยังจัดเป็นเบต้าที่ไม่ฮอตเท่าอัลฟ่า ยิ่งมีเพื่อนสนิทเป็นสวีปิ่งเชา เจ้าอัลฟ่าที่ชอบทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูตกเหล่าโอเมก้าและสาว ๆ ได้วันนึงไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ความธรรมดาของเบต้าก็ยิ่งถูกเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน
จริง ๆ เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้หรอก เป็นเบต้าก็ไม่ต้องมีเรื่องให้วุ่นวายใจเพิ่มขึ้นมา แต่เผอิญว่าในบรรดาโอเมก้าที่หลงเสน่ห์สวีปิ่งเชา หนึ่งในนั้นดันมีติงเฟยจวิ้น เพื่อนสมัยเด็กของเขารวมอยู่ด้วย
ติงเฟยจวิ้นเป็นโอเมก้ารูปร่างเล็ก (แต่ไม่เตี้ยนะ เจ้าตัวมักจะเสริมด้วยประโยคนี้ทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึง) ผิวขาวตัดกับผมสีดำเหมือนสโนว์ไวท์ บนใบหน้าเล็ก ๆ มีดวงตาระยิบระยับกับเขี้ยวเล็ก ๆ สองข้างที่เน้นให้เครื่องหน้าโดดเด่น กู่หลันตี้ยังจำได้ถึงฮีทแรกของเสี่ยวเฟยเฟยตอนอายุสิบห้า และสาเหตุที่ทำให้ติงเฟยจวิ้นยังรอดพ้นจากความยุ่งยากและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละช่วงฮีทมาได้จนถึงบัดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เพราะกู่หลันตี้ทั้งนั้น ช่วงใกล้ฮีทก็แค่มาหากู่หลันตี้ที่บ้าน อาศัยที่พักของเพื่อนที่ไว้ใจต่างโรงแรม โดยมีกู่หลันตี้คอยดูแลปกป้องให้ผ่านช่วงเวลาอันตรายนั้นไป ถึงจะต้องทนกลืนน้ำลายอยู่ข้างห้องบ้าง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ออกไปเจอคนที่ไว้ใจไม่ได้แหละนะ
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงรู้ได้ว่าเสี่ยวเฟยชอบสวีปิ่งเชาน่ะเหรอ ง่ายมาก ในสายตาเฟยเฟยมีแต่สวีปิ่งเชายังไง ในสายตาเขาก็มีแต่เสี่ยวเฟยเฟยอย่างนั้นแหละ ถึงได้เห็นทุกรอยยิ้ม ทุกอารมณ์ความรู้สึกในแววตาที่เฟยจวิ้นมองสวีปิ่งเชา
อัลฟ่ากับโอเมก้าดึงดูดกันและกันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะอย่างนั้นการที่ติงเฟยจวิ้นไม่เคยเห็นเขาในสายตาก็…ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ไม่ต่างกัน คนเป็นเบต้าอย่างเขาก็ทำได้แค่ปลอบใจตัวเองให้อดทนรอ รอให้ถึงวันที่ติงเฟยจวิ้นจะหมดเสน่หาต่อเจ้าอัลฟ่าเพื่อนสนิทของเขา วันที่เสี่ยวเฟยจะเปิดใจให้คนใหม่เข้าไปบ้าง
อย่างน้อยก็ช่วยรู้ทีว่าสายตาของสวีปิ่งเชาน่ะเป็นของคนอื่นไปแล้ว เจ้าเพื่อนสนิทคนนี้น่ะมีความลับต่อเขาอยู่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ไวน์กี่แก้ว เกมเค้นเอาความลับกี่วงก็ไม่สามารถง้างปากสวีปิ่งเชาออกมาได้ คนที่อัลฟ่าสุดฮอตแอบชอบมานานเหมือนจะเป็นความลับสุดยอดที่จะให้กู่หลันตี้รู้ไม่ได้ของสวีปิ่งเชา เจ้าคนถูกถามก็ไม่กระทั่งปริปากบอกว่าคนที่ตัวเองชอบเป็นโอเมก้าเพศหญิงหรือชาย ถามทีไรก็เอาแต่สั่นหัว กู่หลันตี้เคยหัวกรุ่นกับเรื่องนี้ แต่พอเจอไม่ตอบเข้าบ่อย ๆ ก็เริ่มจะชินไปเอง
ไม่ได้หัวร้อน ไม่เลยซักนิด เสียวกู่น่ะเป็นคนใจเย็นดุจสายน้ำ ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น
"วันนี้ไม่ถามสวีปิ่งเชาเรื่องคนที่ชอบแล้วเหรอ"
"นั่นสิ ทำไมวันนี้ไม่ถามแล้วล่ะ"
เขาน่ะใจเย็นเหมือนสายน้ำจากยอดเขาหิมาลัย น้ำแข็งแห้ง ไนโตรเจนเหลว กู่หลันตี้นับหนึ่งถึงสิบในใจขณะยกยิ้มตอบเพื่อน ๆ ที่อุตส่าห์เอ่ยถาม
ไม่บอกก็ไม่อยากรู้หรอกโว้ย! เพื่อนกันเรื่องแค่นี้บอกกันไม่ได้ก็ไม่ต้องบอก!!!
วันนี้เป็นวันเกิดของสวีปิ่งเชา พ่ออัลฟ่าหนึ่งเดียวในละแวกนี้ เจ้าของวันเกิดก็อุตส่าห์เปิดบ้านอันใหญ่โตเลี้ยงฉลองทั้งเนื่องในวันเกิดและแจ้งข่าวเรื่องที่ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ อย่างหลังนี่พอรู้ปุ๊บติงเฟยจวิ้นก็แอบถือแก้วไวน์ขึ้นมาบนชั้นสองคนเดียว แผ่นหลังเล็ก ๆ ดูเศร้าจับใจ เล่นเอาคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาชะงักปากที่กำลังจะถามไถ่ออกไปแทบไม่ทัน
เบต้าหนุ่มค่อย ๆ พาตัวเองไปยืนเกาะขอบระเบียงข้าง ๆ คนที่ยืนอยู่ก่อน เสื้อแขนยาวสีดำที่ติงเฟยจวิ้นใส่มาวันนี้ทำให้ในแสงสลัวของงานปาร์ตี้คนตัวขาวยิ่งดูขาวตัดดำอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาวาววับด้วยหยดน้ำจับจ้องอยู่ที่เจ้าของวันเกิดที่ยืนสรวลเสเฮฮากับคนอื่น ๆ อยู่ด้านล่าง ถึงกระนั้นบนมุมปากก็ยังแต้มด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ขัดกับแววตาอ่านได้ยากใต้ผมม้าที่เริ่มยาวลงมาบังตา
กู่หลันตี้ถูมือตัวเอง ลังเลที่จะเปล่งเสียงถาม แต่ติงเฟยจวิ้นก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
"เรื่องที่ต้าปิ่งจะไปอเมริกานี่นายรู้แล้วรึเปล่า"
"ฉัน..."
"ช่างเถอะ ยังไงเขาก็กะจะเซอร์ไพรส์ทุก ๆ คน ถ้านายรู้แล้วแอบเอาไปบอกคนอื่นก็คงไม่ดีใช่มั้ย"
เขาเองก็เพิ่งรู้ กู่หลันตี้กลืนคำตอบกลับลงคอ จู่ ๆ เสื้อเชิ้ตที่ใส่มาก็ดูจะบางลงจนทำให้คนใส่รู้สึกหนาวเย็นไปหมด
ติงเฟยจวิ้นยิ้มออกมา น้ำตาสองหยดร่วงลงสะท้อนกับแสงไฟ
"มันเป็นเรื่องน่ายินดี ฉันเองก็ควรจะไปยินดีกับเขาด้วย"
"เดี๋ยว--"
ร่างสูงคว้าไหล่ของเสี่ยวเฟยที่กำลังหมุนตัวกลับ เพราะรีบร้อนไปหน่อยหลังมือจึงแตะโดนลำคอขาวของอีกฝ่าย ผิวเนื้อที่ได้สัมผัสนั้นร้อนฉ่า กู่หลันตี้หายใจเข้าดังเฮือก
"เฟย นี่นาย..."
"อัลฟ่าในบ้านนี้มีแค่สวีปิ่งเชาเท่านั้นแหละ แล้วเขาก็ไม่เคยสนใจฉัน ไม่เป็นไรหรอกกู่ตี้"
ว่าแล้วก็ปัดมือเขาออกก่อนจะเดินกลับลงบันไดไป
ในหัวกู่หลันตี้มีความเป็นไปได้หลายร้อยอย่างผุดขึ้นมาเหมือนฟองน้ำในตู้ปลาติดกำแพงที่ส่องแสงสีฟ้าเรืองเข้ากับสีเสื้อของเขาอยู่ด้านหลัง สวีปิ่งเชาไม่มีใจให้ติงเฟยจวิ้น แต่ถึงยังไงเจ้าเพื่อนสนิทของเขาก็ยังเป็นอัลฟ่าอยู่วันยังค่ำ โอเมก้าที่ตัวหอมขนาดเสี่ยวเฟยของเขาน่ะ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมปิ่งเชาถึงไม่เคยชายตาแล ยิ่งถ้าวันนี้ที่เฟยจวิ้นกำลังเข้าสู่ช่วงฮีทด้วยแล้ว อัลฟ่าอย่างสวีปิ่งเชายิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไว้วางใจไม่ได้เข้าไปใหญ่
ไม่ได้ คอสวย ๆ ของเฟยจะให้อัลฟ่าที่ไหนมากัดไม่ได้เด็ดขาด
เขาวิ่งสับลงบันไดอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายตามองหาคนตัวเล็กที่ใส่ชุดสีดำทั้งตัวมางาน ตัวสูง ๆ ของสวีปิ่งเชาในชุดสีส้มอิฐยืนเด่นอยู่ตรงกลางห้องโถง ไม่มีติงเฟยจวิ้นอยู่แถวนั้น กู่หลันตี้ยิ่งร้อนใจ เฟยเฟยหายไปไหนนะ หรือในงานนี้จะมีอัลฟ่าไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมงาน ก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว ติงเฟยจวิ้นที่ตัวหอมขนาดนั้น นอกจากสวีปิ่งเชาจอมทึ่มแล้วจะมีอัลฟ่าที่ไหนปฏิเสธได้กัน
ไม่มี ในห้องโถงกลางไม่มีติงเฟยจวิ้นอยู่ตรงไหนเลย กู่หลันตี้ถอนหายใจอย่างร้อนรน ขายาว ๆ ก้าวออกไปนอกห้องโถงกลาง มุ่งไปยังทางออกด้านหน้า มีเสียงประตูเหวี่ยงปิดตามมาจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงเรียกของเพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของงาน
"กู่ตี้"
"แป๊บนะ" ชายหนุ่มตอบอย่างไม่สนใจ มือเอื้อมไปยังคันจับประตูที่เปิดไปสู่ทางออกหน้าตัวบ้าน
"กู่ตี้ ฉันมีเรื่อง--"
"แป๊บนึงได้มั้ยปิ่งเชา"
มือที่กำลังจะบิดลูกบิดประตูออกไปของกู่หลันตี้ถูกมือที่หนากว่าของสวีปิ่งเชาดึงไว้
"ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ล่ะ"
"อย่ามาทำตัวเอาแต่ใจแถวนี้ ฉันมีเรื่องด่วน"
"ฉันก็มีเรื่องด่วนจะพูดกับนาย"
"ไม่ด่วนเท่าฉันตอนนี้หรอก นายเชื่อเถอะ"
"เรื่องที่นายคอยถามฉันในวงเหล้าตลอดน่ะ ไม่อยากรู้แล้วเหรอ"
"ฉันบอกว่าแป๊บนึงไง สวีปิ่งเชา!"
กู่หลันตี้ดึงมือตัวเองกลับ แต่ก็ถูกสวีปิ่งเชาล็อกเอาไว้ นัยน์ตาที่มองมาที่เขามีความเกรี้ยวกราดแบบอัลฟ่า
"ปิ่งเชา ปล่อย"
"ฉันรู้ว่านายน่ะคิดว่าอัลฟ่าอย่างฉันชอบเอาแต่ใจ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ฉันขอเอาแต่ใจตัวเองกับนายเรื่องนึง เรื่องเดียว! ถ้าไม่ได้พูดกับนายวันนี้ฉันจะต้องเสียใจตลอดสองปีที่นู่นแน่ ๆ"
"ฉันจะกลับมาฟังได้มั้ย ถ้านายไม่ปล่อยฉันตอนนี้ฉันอาจจะมีเรื่องให้เสียใจไปตลอดชีวิตนะ!"
"คนที่ฉันชอบตลอดมาคือนาย กู่หลันตี้!"
"ปล่อยฉั--ว่าไงนะ"
คนที่ฉันชอบตลอดมาคือนาย กู่หลันตี้
คนที่ฉันชอบตลอดมา
คือนาย
กู่ หลัน ตี้เสียงของสวีปิ่งเชาค่อย ๆ กระแทกเข้ามาในการรับรู้ของกู่หลันตี้ ดวงตาสีดำของเบต้าหนุ่มเบิกค้างจ้องมองหน้าเพื่อน ก่อนจะมองเลยไปที่ร่างเล็กในเสื้อผ้าสีดำที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาที่โถงหน้าจากระเบียงด้านข้าง
"เฟย..."
ติงเฟยจวิ้นก้าวถอยหลังไปชนประตูดังกึง สายตามองไปที่มือของกู่หลันตี้ที่ถูกสวีปิ่งเชาตรึงไว้กลางอากาศ บนหน้าปรากฏสีหน้าอธิบายยากที่เป็นส่วนผสมของความตกตะลึง ความไม่อยากเชื่อ ความโกรธเคือง ความเจ็บปวด และความผิดหวัง
"เฟย"
กู่หลันตี้ส่งเสียงเรียก อาศัยจังหวะที่สวีปิ่งเชาหันไปตามสายตากระชากมือออกแล้ววิ่งตรงไปหาคนตัวเล็กที่เริ่มส่ายหน้าช้า ๆ
"...คือกู่หลันตี้"
"เฟย นายฟังฉัน--"
"เป็นนายนี่เอง"
เฟยก้มหน้า สองมือกำเป็นกำปั้นเล็ก ๆ ไว้ข้างตัว
"เข้าใจแล้ว"
กู่หลันตี้คว้าไหล่ทั้งสองของเพื่อนที่กำลังโกรธ ไอร้อนจากร่างกายคนตรงหน้ากับกลิ่นหอมยั่วยวนบ่งบอกว่าโอเมก้าตรงหน้าเขาได้เข้าสู่ช่วงฮีทอย่างสมบูรณ์
"เฟย นายไม่ควรอยู่ข้างนอกตอนนี้ กลับบ้านกับฉันนะ ไปกับฉัน--"
"ทำไมถึงเป็นนาย!"
"มากับฉันนะ เฟยจวิ้น"
เขาคว้าหมัดเล็ก ๆ นั่นและลากให้ออกเดิน ติงเฟยจวิ้นพยายามขืนตัว แต่โอเมก้าที่กำลังฮีทสู้แรงเบต้าหนุ่มอย่างเขาไม่ได้ เสี่ยวเฟยเริ่มส่งเสียงครวญครางอย่างไร้สติ กู่หลันตี้เงยหน้ามองสวีปิ่งเชาที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูอย่างไม่ไว้วางใจ
"ปิ่งเชา นายควบคุมตัวเองแป๊บนึงได้มั้ย"
"ฉันเพิ่งบอกชอบนายไปนะ กู่หลันตี้"
ปิ่งเชาพูดเสียงสั่น กู่หลันตี้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอดทนต่อสัญชาตญาณดิบของตนจนเส้นเลือดที่คอปูด ถึงอย่างนั้นสายตาของสวีปิ่งเชาก็จับจ้องอยู่แค่ที่เขาคนเดียวจริง ๆ
บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน++++++++++++++++++++
พอตัดใจถูลู่ถูกังติงเฟยจวิ้นมาถึงรถได้กู่หลันตี้ก็ยัดคนที่ส่งกลิ่นหอมหวานยั่วยวนเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับ ยิ่งเปิดเครื่องปรับอากาศในรถกลิ่นของเฟยจวิ้นยิ่งหอมฟุ้ง กู่หลันตี้กัดปากตัวเองขณะเอื้อมตัวคาดเข็มขัดให้เสี่ยวเฟยแล้วประคองสติออกรถ พอถึงบ้านก็รีบลากติงเฟยจวิ้นหลบสายตาเพื่อนบ้านเข้าไปที่ห้องประจำ
เสียงที่ได้ยินจากในห้องวันนี้ต่างไปจากทุกครั้ง ติงเฟยจวิ้นทั้งคร่ำครวญ ครวญคราง ขู่ฟ่อ และกรีดร้องเหมือนคนใจสลาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ได้ ตัวการที่ทำให้หัวใจน้อย ๆ ของเสี่ยวเฟยสลายก็เอาแต่โทรมาหาเขาอยู่นั่นแหละ กู่หลันตี้กดรับสายแล้ว แต่ก็เอาแต่ถือโทรศัพท์ไว้ข้างหน้า สายตาจ้องชื่อสวีปิ่งเชาบนจอโทรศัพท์ของตน
หรือว่าจริง ๆ แล้วตัวการที่ทำหัวใจติงเฟยจวิ้นสลายจะเป็นเขาเองกันแน่
ถ้าไม่มีเขาคนที่สวีปิ่งเชาชอบจะเป็นโอเมก้าที่หอมหวานที่สุดอย่างติงเฟยจวิ้นมั้ย
["กู่ตี้ คุยกับฉันหน่อย!"]
เสียงที่ดังทะลุลำโพงบ่งบอกว่าปลายสายกำลังหัวเสียที่เขาไม่ยอมพูดอะไรซักที กู่หลันตี้ตัดสายทิ้ง เขารู้สึกเหมือนสมองเป็นรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงมานานกว่าครึ่งวัน จะอัลฟ่าหัวร้อนหรือใครเขาก็ไม่พร้อมจะรับมือทั้งนั้น แล้วก็ยังไม่รู้จะตอบสวีปิ่งเชาว่ายังไงดีด้วย
สวีปิ่งเชาชอบเขา
แต่ติงเฟยจวิ้นชอบสวีปิ่งเชา
และเขาก็ชอบติงเฟยจวิ้นมากเหลือเกิน
อยากนอน…
เขาเปิดโหมดเครื่องบินให้โทรศัพท์แล้วโยนทิ้งไว้ข้างหมอน เสียงติงเฟยจวิ้นก็เงียบไปแล้ว บางทีอาจจะร้องไห้จนหลับไปเอง กู่หลันตี้แนบหน้าลงกับหมอน ยืดแขนควานหายาในชั้นวางของข้างเตียงมาโยนเข้าปาก จริง ๆ นี่ก็เป็นจังหวะที่ดีในการให้ยาติงเฟยจวิ้นเหมือนกัน พอกระดกน้ำตามแล้วเขาก็หยิบยาที่เก็บไว้อย่างดีในลิ้นชักพร้อมกุญแจตรงไปยังห้องด้านข้าง
ปกติถ้าเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนกู่หลันตี้จะไม่ใช้แม่กุญแจกับห้องที่เตรียมไว้สำหรับเฟยจวิ้น แต่ครั้งนี้เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้เสี่ยวเฟยจะแอบหนีออกมาเขาจึงตัดสินใจล็อกห้องจากข้างนอกไว้ด้วย กู่หลันตี้ไขกุญแจทั้งสองชั้นออกอย่างเงียบเชียบแล้วเคาะประตูสองที
“เฟย ฉันเอายามาให้”
ไม่มีเสียงตอบเขาจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แสงสีเหลืองส้มจากโคมไฟข้างเตียงส่องให้เห็นร่างของคนที่นอนหงายพาดแนวขวางของเตียง เสื้อสีดำตัวโคร่งถูกเจ้าตัวถอดทิ้งไว้บนหมอน ใบหน้าที่ดวงตาปิดสนิทมีเหงื่อผุดเป็นเม็ดเล็ก ๆ
ถ้าเฟยไม่มีสติเขาจะให้ยาเพื่อนยังไงดี กู่หลันตี้ลืมคิดเรื่องนี้ไป เขาเดินเข้าไปใกล้ โน้มตัวสะกิดไหล่ติงเฟยจวิ้น
“ลุกมากินยาหน่อย เฟย--เหวออ”
จู่ ๆ เฟยจวิ้นก็ลืมตาโพลง แขนเล็ก ๆ ยกขึ้นเกี่ยวคอกู่หลันตี้แล้วดึงเข้าหาตัว เพราะสองมือถือทั้งยาและขวดน้ำอยู่กู่หลันตี้จึงเสียการทรงตัว เขาล้มลงทับร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ใบหน้าของติงเฟยจวิ้นอยู่ห่างไม่ถึงคืบ
“กินยา…นะ…”
“ช่วยหน่อย…”
“อื้อ”
ไม่รู้หรอกว่าพูดเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า กู่หลันตี้ยกเม็ดยาขึ้นแทรกระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่
เรียกว่าแทรกได้ทันพอดีก่อนที่ระยะห่างอันน้อยนิดนั้นจะถูกปิดลง แขนเฟยดึงเขาให้ใกล้เข้าไปอีกจนริมฝีปากของทั้งสองฝ่ายประกบกัน สัมผัสจากเฟยทั้งนุ่มนวลและวาบหวาม รสขมของเม็ดยาแพร่มาถึงในปากเขา ขวดน้ำหลุดจากมือกลิ้งหลุน ๆ ตกเตียงไป มือที่กางอยู่บนผ้าห่มนุ่มสั่นน้อย ๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเหรอ?
กู่หลันตี้ย้ายมือมาประคองหน้าของติงเฟยจวิ้น ค่อย ๆ บดริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากอ่อนนุ่ม ต่างคนต่างหายใจกระชั้นขึ้น มือเล็กค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเขาทีละเม็ด ๆ กู่หลันตี้ดูดริมฝีปากล่างของเฟยเบา ๆ จนได้ยินเสียงคราง เขากลับมาครองครองริมฝีปากของคนตัวเล็กอีกครั้ง ค่อย ๆ แทรกลิ้นเข้าไปในช่องปากที่เผยออ้า
และดุนยาเม็ดขมเข้าไป
เฟยดิ้นพล่าน เขายิ่งดันมันลึกเข้าไปอีก เฟยจวิ้นรู้สึกขมแค่ไหนเขาเองก็ได้รับรสไม่ต่างกัน
ข้อเสียของยาที่โอเมก้าต้องทานคือมันขมมาก แต่ข้อดีก็คือละลายและดูดซึมง่าย ไม่ถึงนาทียาก็เหลือเม็ดเล็กนิดเดียว ทั้งความขมและฤทธิ์ยาช่วยเรียกสติติงเฟยจวิ้นกลับมา เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายได้สติคืนมาแล้วกู่หลันตี้ก็ยันตัวลุกขึ้น ทำเป็นเดินไปเก็บขวดน้ำด้วยไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง
“ขอโทษ…”
เฟยจวิ้นพูดกับเขาเสียงสั่น
“ไม่เป็นไร”
เขาตอบและส่งยิ้มอ้อม ๆ ให้เฟยโดยไม่สบตา ขวดน้ำนี่มันเก็บยากจริง ๆ เขาค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่ง เอื้อมมือไปหาขวดน้ำที่กลิ้งมาหยุดอยู่ใต้โต๊ะวางของปลายเตียง
“แต่นายน้ำตาไหล”
กู่หลันตี้ยกมือขึ้นเช็ดแก้ม เปียกจริง ๆ ด้วย เขาเอาหลังมือปาดคราบน้ำตาทิ้ง
“ตกใจเฉย ๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“งื่อ ขอโทษนะ”
อยากจะหันไปยิ้มแล้วตอบว่าไม่เป็นไร แต่น้ำตาดันไหลออกมาเพิ่มไม่หยุดเสียที กู่หลันตี้พยักหน้าแทนการตอบรับแล้วรีบหนีกลับเข้าห้องตัวเอง
ยานอนหลับที่กินไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ร่างสูงแทรกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม เสื้อผ้าถูกเสี่ยวเฟยช่วยถอดจนหลุดลุ่ยเลยแทบไม่ต้องทำอะไรก็รู้สึกสบายตัว
ริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นถอนออกไปหลายนาทีแล้ว เขายกข้อนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง รสจากยาของโอเมก้ายังขมติดอยู่ในปาก แม้จะพยายามห้ามตัวเอง แต่ในหัวก็ยังฉายทุกสัมผัสเมื่อไม่กี่นาทีก่อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
อยากจะได้ความรักจากเฟยบ้าง
จูบกันแล้วยังไง ต่อให้ฉวยโอกาสจริง ๆ แล้วยังไง ในใจของเฟยก็มีแต่ปิ่งเชาอยู่ดี
กู่หลันตี้กัดปากตัวเองจนได้เลือด รสเฝื่อนของเหล็กกับรสเค็มของน้ำตาผสมปนเปกับรสขมในปาก
คนที่แวบหนึ่งนึกอยากจะฉวยโอกาสกับเพื่อนตัวเองอย่างเขา ถือสิทธิ์อะไรไปร้องไห้ต่อหน้าติงเฟยจวิ้น?
โทรศัพท์ที่โยนทิ้งไว้ข้างหมอนสั่น บนจอมีแจ้งเตือนข้อความจากสวีปิ่งเชากว่าสิบอัน
สวีปิ่งเชาชอบเขา
แต่ติงเฟยจวิ้นชอบสวีปิ่งเชานี่นา
กู่หลันตี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามอง สายตาจ้องนิ่งที่ชื่อปิ่งเชา ปล่อยให้ข้อความที่ส่งมาเด้งผ่านสายตาไปเรื่อย ๆ
["นายไม่คิดจะตอบฉันหน่อยเหรอ"]
["ฉันแค่บอกนายเพราะอยากให้นายรู้ถึงความรู้สึกฉัน"]
["เท่านั้นจริง ๆ"]
["ถ้ามันทำให้นายเป็นทุกข์ฉันก็ขอโทษด้วย…"]
["พรุ่งนี้ฉันจะไปขึ้นเครื่องสิบโมง"]
["ถึงนายจะไม่ได้ชอบฉัน แต่ฉันก็ยังหวังว่านายจะมาส่งฉันนะ"]
["แต่ถ้านายต้องดูแลติงเฟยจวิ้นฉันก็เข้าใจ"]
อัลฟ่าที่เขามักจะนึกตำหนิในใจถึงความก้าวร้าวเอาแต่ใจส่งข้อความมาเช่นนั้น ช่างจิตใจดี บางทีสิ่งที่ทำให้เสี่ยวเฟยตกหลุมรักปิ่งเชาอาจไม่ใช่ความเป็นอัลฟ่า แต่เป็นความใจดีในยามปกติของปิ่งเชาก็ได้
คนที่จิตใจคับแคบกลับเป็นเขาเอง
ทั้งที่คิดมาตลอดว่าแค่เห็นเฟยมีชีวิตรอดปลอดภัยและมีความสุขก็พอแล้วแท้ ๆ แต่วันนี้กลับมีความคิดอยากจะได้ความรักตอบกลับโผล่ขึ้นมา ช่างหน้าไม่อายเอาเสียเลย
เขายืดแขนไปควานหายาที่เก็บไว้ส่วนลึกที่สุดของลิ้นชัก ยาที่ซื้อเก็บไว้เผื่อยามฉุกเฉิน เมื่อรู้สึกถึงซองที่มียาเม็ดโตอยู่ข้างในก็คว้ามากำไว้ในมือ อีกมือตั้งนาฬิกาปลุกแปดโมงไว้ก่อนที่หนังตาหนัก ๆ จะหย่อนลงมากั้นเขาออกจากโลกภายนอกและความรู้สึกที่วุ่นวายของตัวเอง
พรุ่งนี้แล้วกัน
รักที่ดี รักที่ไม่หวังผล ไว้ทำพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ส่วนคืนนี้เขาขอดื่มด่ำกับฝันแสนหวานของตัวเองไปก่อน
อะไร ๆ คงผิดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
++++++++++++++++++++
2 ปีต่อมา
[“ค่ำนี้ฉันเลิกงานแล้วเราไปกินร้านนั้นที่เคยไปกินกันมั้ย”]
ข้อความจากปิ่งเชาพาให้ใจเฟยจวิ้นปวดหน่วง
ร้านนั้น ถ้าพูดถึงช่วงนี้ก็เห็นจะมีอยู่ร้านเดียว
[“จะเปิดแล้วเหรอ”]
[“เปิดมั้ยไม่รู้แต่ก็จองแล้วอะ”]
ไม่ได้เผื่อว่าเขาจะปฏิเสธเลยนี่นา ติงเฟยจวิ้นสั่นหัวระอา
[“งั้นโอเค เจอกันตรงไหนยังไงดี”]
[“ฉันน่าจะเลิกช้าหน่อย ไว้รู้เวลาแล้วจะบอก เจอกันตรงสวนสาธารณะตรงข้ามร้านแล้วกัน จะรีบไปให้เร็วที่สุดเลย”]
[“โอเค ตั้งใจทำงานนะ แล้วเจอกัน”]
[“ครับ ^^”]
เฟยจวิ้นรีบเก็บโทรศัพท์ บทแฟนของสวีปิ่งเชาหวานจะตาย ถ้าเพื่อนคนอื่นเห็นมีหวังเอาไปล้ออีกนาน
เพราะต้องเดินทางออกมากับเพื่อน รู้ตัวอีกทีติงเฟยจวิ้นก็พาตัวเองมาถึงสถานีก่อนเวลาที่นัดไว้กับสวีปิ่งเชาเกือบสิบนาที ไม่ได้นานมาก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนจะต้องรีบรุดไปยังร้านที่จองไว้
จริง ๆ ก็พอเข้าใจได้ ร้านที่ปิ่งเชาชวนไปถ้าไม่จองล่วงหน้าก็ไม่มีทางได้กิน เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับร้านนั้นหรอก
ที่มีปัญหาคือละแวกรอบ ๆ ร้านนั้นมากกว่า
ตรงนี้ล่ะมั้ง
ติงเฟยจวิ้นหยุดฝีเท้าลงที่กลางสวนสาธารณะ แหงนหน้ามองต้นไม้ต้นใหญ่กลางสวน สีของใบไม้ช่วงเดือนนี้ดูจะหม่นเทาเป็นพิเศษ ราวกับกำลังรอให้มีเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายจากฟ้าลงมาปกคลุม
ที่จริงคืนนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีหิมะตกลงมาครั้งแรกของฤดูกาล
หิมะแรก…
หิมะแรก กับขวบปีเหล่านั้นที่เขายังเดียงสาต่อสิ่งที่เรียกว่าความรัก
นิ้วเรียวหยิบเกล็ดหิมะเย็น ๆ บนเรือนผมเขาออก กู่หลันตี้ก็หนาวเหมือนกัน เขารู้จากสีแดงบนแก้มที่ยกขึ้นตามรอยยิ้มนั่น แต่กู่หลันตี้ชอบมัน ท่ามกลางเกล็ดสีขาวที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าสีทึมเทา ความสุขที่ระยิบระยับอยู่ในแววตาของกู่หลันตี้ก็ดูจะเปล่งประกายเรืองรอง
“ได้ดูหิมะแรกด้วยกันอีกปีแล้วนะ”
กู่หลันตี้ตัวสูงกว่าเขาหลายเซน ตอนนั้นจึงต้องก้มตัวนิด ๆ มาพูดกับเขา
ติงเฟยจวิ้นเงยหน้ามองต้นไม้ที่ยืนตระหง่านเป็นพยานมิตรภาพของคนทั้งสองมาตั้งแต่พวกเขายังเยาว์วัย ตอนนี้มันไม่ได้ดูสูงใหญ่เท่าที่รู้สึกตอนเด็ก ๆ แล้ว แต่รากของมันกลับเหมือนจะหยั่งลึกลงในใจมากกว่าในพื้นดินเสียอีก
ป่านนี้กู่หลันตี้จะไปอยู่ที่ไหนนะ
จะสบายดีมั้ย จะมีคนรักที่ดีเหมือนที่สวีปิ่งเชาเป็นให้เขาหรือเปล่า
“ใส่เสื้อผ้าให้มันดี ๆ หน่อย จะได้อุ่น ๆ”
นั่นคือประโยคที่ปิ่งเชาใช้ทักทายเขา ขณะเดียวกันมือก็จัดแจงรูดซิปเสื้อโค้ทของคนตัวเล็กกว่าให้สูงขึ้น ติงเฟยจวิ้นหนาวง่ายกว่าคนอื่น ร่างกายเล็ก ๆ เจออากาศเย็นจัดแบบนี้แป๊บเดียวก็แทบจะแข็งตายแล้ว
แก้มเฟยจวิ้นแดงจัดจากความหนาว ปิ่งเชาเปิดเสื้อโค้ทตัวยาวของตนออกแล้วดึงหัวเล็ก ๆ เข้ามาซุก สองแขนโอบรอบตัวอีกฝ่ายเพื่อแผ่ไออุ่น ไอสีขาวพวยพุ่งตามการถอนหายใจ ปากก็พร่ำขอโทษที่ปล่อยให้เขามาถึงก่อน ปล่อยให้เขายืนรออยู่ในอากาศหนาว ๆ
“เดี๋ยวอุ่นขึ้นแล้วเรารีบไปที่ร้านกันนะ”
“งื่อ”
ติงเฟยจวิ้นส่งเสียงตอบรับ มือเล็ก ๆ สวมกอดคนรักอยู่ใต้เสื้อโค้ท
ปิ่งเชารู้เรื่องกู่หลันตี้ รู้หมดว่าติงเฟยจวิ้นผ่านฤดูกาลเหล่านั้นมายังไง
แต่ที่ไม่กล้าเล่าออกไป คือความทรงจำที่เหมือนจะถูกสีขาวของหน้าหนาวขับให้ชัดเจนขึ้น สิ่งที่ยังอุ่นนวลอยู่ในใจเขามาจนถึงวันนี้
“ดูสิ”
ประโยคเดิมที่กู่หลันตี้เคยพูดมาทุกปี ปีนี้สวีปิ่งเชาเป็นคนพูดมัน เฟยจวิ้นยื่นฝ่ามือเปลือยเปล่าออกไปรองรับเกล็ดสีขาวที่ลอยลงมาอย่างนุ่มนวล สีขาวเป็นประกายสว่างไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิด
หิมะแรกจากเขาไปหลายปีแล้ว แต่หิมะก็ยังตกลงมาทุกปี
“ปิ่งเชา”
“หืม?”
เราสองคนในที่สุดก็ได้ดูหิมะแรกด้วยกันแล้วนะ
“…ไม่มีอะไร ฉันอุ่นขึ้นแล้ว”
ปิ่งเชาผละตัวออก สองมือประคองหน้าเขาอย่างนุ่มนวล คงจะเช็คอุณหภูมิที่แก้มเขาไปด้วย ก่อนจะก้มลงมาจุ๊บที่ปากเขาหนึ่งทีอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ตั้งตัว หน้าเฟยจวิ้นร้อนฉ่า
“อืม อุ่นจริงด้วย”
“สวีปิ่งเชา!”
โต๊ะในร้านมีคนนั่งอยู่ทุกโต๊ะ แต่เพราะการจัดร้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว จึงให้ความรู้สึกสบายใจต่อลูกค้าที่มาเยือน
เฟยจวิ้นถือถ้วยชาดอกไม้หอมละมุนไว้ในมือ อาศัยความร้อนของชาทำให้มืออบอุ่น ภายในร้านเปิดเพลงเปียโนบรรเลงเบา ๆ ทั้งระดับเสียงและจังหวะเพลงล้วนแต่ทำให้ภาพหิมะโปรยปรายนอกหน้าต่างดูจะช้าเอื่อยจนเหมือนไม่ใช่ของจริง
เมื่อสองปีที่แล้ว กู่หลันตี้ไม่ได้ไปส่งสวีปิ่งเชา
เขานึกโทษความเป็นโอเมก้าของตัวเอง ตอนที่กู่หลันตี้เอายาอีกเม็ดมาให้ตอนเช้าตรู่เขาแทบไม่เหลือสติ กว่าจะตื่นมารับรู้ว่ายาที่ได้ไม่ใช่ยากดอาการธรรมดากู่หลันตี้ก็ไม่อยู่แล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหายไปไหน ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ครบ รถก็ยังจอดอยู่ที่เดิม นอกจากบัตรโรงแรมสำหรับโอเมก้าที่มีเงินอยู่เต็มก็ไม่ได้ทิ้งสิ่งที่บ่งบอกอะไรไว้อีก เอกสารลาออกจากที่ทำงานถูกดำเนินการทางไปรษณีย์ หัวหน้าก็ไม่ได้อยากจะรับเรื่อง แต่เพราะกู่หลันตี้สะสางทุกอย่างรวมถึงทำเอกสารส่งมอบงานจนเรียบร้อยและไม่มาปรากฏตัวอีก ตัวหัวหน้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
คนที่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้เลยคือสวีปิ่งเชา จนกระทั่งติงเฟยจวิ้นถูกส่งตัวไปทำงานที่มหาวิทยาลัยเดียวกันเมื่ออีกครึ่งปีถัดมา ความโกรธและความโศกเศร้าจึงได้ปะทุออกมา ปิ่งเชาไม่เข้าใจว่าทำไมกู่หลันตี้ต้องไป กะอีแค่ถูกสารภาพรัก ทำไมต้องหนีไปด้วย
เฟยจวิ้นตอบไม่ได้ เขาเองก็ไม่กล้านึกถึงเหตุผล
คืนนั้นหลังจากทะเลาะกันตอนเย็น เฟยจวิ้นที่ออกไปดื่มจนเมาดิ่งไปหาปิ่งเชาถึงห้อง อธิบายทั้งน้ำตาถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งหัวใจเขาที่มีให้ปิ่งเชามาโดยตลอด การสารภาพรักในคืนนั้น และการหายไปของกู่หลันตี้ในตอนเช้า
ทั้งที่เขาจะยอมเป็นฝ่ายถอยออกมาเองแท้ ๆ …
ไม่ได้อยากเป็นโอเมก้าที่ต้องถูกสงสาร ไม่ได้อยากเป็นบทที่ต้องเป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว อยากจะให้กู่หลันตี้มีความสุขโดยไม่มีเขาบ้าง อยากจะทำอย่างนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้ว
ราวกับน้ำตาอุ่นร้อนในคืนนั้นละลายกำแพงน้ำแข็งที่สวีปิ่งเชาก่อไว้ไปจนหมดสิ้น ติงเฟยจวิ้นตื่นมาตอนสายในห้องปิ่งเชาที่ออกไปเรียนแต่เช้า อาหารเช้าถูกวางทิ้งไว้ให้บนโต๊ะ กับความทรงจำของฝ่ามือกว้างที่ลูบหัวปลอบเขาที่สะอื้นจนตัวโยนเมื่อคืน
แล้วความสัมพันธ์ที่ได้รับการตอบรับของเขากับสวีปิ่งเชาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ติงเฟยจวิ้นรู้ดีว่าปิ่งเชาไม่มีวันลืมกู่หลันตี้ เขาเองก็เช่นกัน
ไฟสีส้มในร้านสลัวลง ฝาเปียโนกลางร้านเปิดออกพร้อมกับเสียงเพลงที่หรี่ลง
“…หวนกลับไปยังถนนที่คุณเคยเดิน ทบทวนเรื่องราวทั้งหมด…”
เสียงที่ร้องคลอเปียโนเรียกให้ทั้งติงเฟยจวิ้นและสวีปิ่งเชาหันขวับ
แผ่นหลังผอมบางที่ขยับไปตามจังหวะการเล่นเพลงนั้นช่างคุ้นตา หัวใจที่ปวดหน่วงเต้นรัวขึ้นด้วยความตื่นเต้น
จะใช่กู่หลันตี้ไหม
舍不得说出的再见
ไม่อยากจะเอ่ยคำลาออกไป
想陪在你身边
อยากจะอยู่เคียงข้างคุณ
冬天的第一场雪
หิมะแรกในฤดูหนาว
降落白色的谎言
คือคำโกหกสีขาวที่โรยร่วง
++++++++++++++++++++
จบแล้วจ้า
(หัวเราะหึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in