//เรื่องนี้มีแบบยาวค่ะ ไว้มีเวลาเยอะกว่านี้จะเกลามาลงนะคะ เอาแบบนี้แก้บนไปก่อน เนื่องในโอกาสที่ได้เจอสวีปิ่งเชาแบบมีเลือดมีเนื้อแล้ว เย้ ๆ
-----------------------------------------
เสียงโน้ตตัวสุดท้ายบนเวทีสิ้นสุดไปนานแล้ว ร้านอาหารที่ถูกจองเหมาไว้สำหรับฉลองจบงานเตรียมอาหารอร่อยขึ้นชื่อไว้มากมาย แต่พอดึกเข้าก็เหลือแต่จานเปล่าเรียงราย เข้าสู่ช่วงเวลาของอาฟเตอร์ปาร์ตี้ กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คละคลุ้งเข้ามาแทนที่
นิดหน่อยก็ดื่ม ๆ ไปเถอะ อย่าเข้มงวดกับตัวเองนักเลย สวีปิ่งเชาคิดพลางกระดกเครื่องดื่มสีอำพันที่หลงเหลืออยู่ตรงก้นแก้วเข้าปาก คนมีตารางงานพรุ่งนี้อย่างหมิงเจ๋อยังนั่งดื่มอยู่ขวามือเขาอยู่เลย มือถือแก้ว ปากก็รบรากับหูเหวินเซวียนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย กรรมการก็ยังเป็นกู่หลันตี้คนขี้สปอยล์น้องคนเดิม
ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ หลังจากเหล้าเข้าปากไปก็เอาแต่นั่งสังเกตการณ์เงียบ ๆ มาพักใหญ่แล้ว ที่เงียบไปนี่ก็กล่อมตัวเองอยู่ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า ๆ ไม่ได้เศร้าซะหน่อย จริง ๆ นะ
ก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ต้องแยกกันทำงานแล้ว แต่พอคิดว่าบริษัทแต่ละคนก็ไม่ได้ห่างไกลกันขนาดนั้นแล้วก็พอจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง ยิ่งเขากับกู่หลันตี้ที่บริษัทเรียกได้ว่าอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันยิ่งไม่น่าห่วง
จะห่วงก็แต่อีกคนที่เมาแอ๋หายไปนี่แหละ คนบ้านไกลกว่าเพื่อนหายไปจากโต๊ะพักใหญ่แล้ว ปิ่งเชามองเก้าอี้ว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของพาดเสื้อคลุมลายพรางตัวเก่งทิ้งไว้แล้วก็ถอนหายใจ ถ้าฟังไม่ผิดเสียงอ้อแอ้บอกตอนลุกว่าไปห้องน้ำ ไม่รู้ห้องน้ำของติงเฟยจวิ้นอยู่ไกลถึงฮ่องกงหรืออย่างไรจนบัดนี้จึงยังไม่กลับมาเสียที
ขณะที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุหางตาก็เห็นคนใส่เสื้อยืดสีขาวตะกายขึ้นบันไดไปตามลำพัง ร่างสูงลุกขึ้นพรวด ปากพึมพำบอกเพื่อนที่โต๊ะว่าจะไปห้องน้ำ ก่อนจะสับขายาว ๆ ขึ้นบันไดตามอีกคนขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของร้าน
ประตูชั้นดาดฟ้าไม่ได้ถูกปิดให้สนิท เมื่อออกแรงผลักเพียงเบา ๆ จึงเปิดออกอย่างง่ายดาย ลมเย็นพัดมาปะทะหน้า เบื้องหน้าคือแผ่นหลังของติงเฟยจวิ้นที่ยืนเกาะราวกั้นเหล็กของดาดฟ้าเอาไว้ เสื้อยืดสีขาวตัดกับสีดำของท้องฟ้ายามราตรี ไฟกลางคืนที่ร้านประดับย้อมให้ผิวกลายเป็นสีเหลืองนวล หัวเล็ก ๆ แหงนขึ้นมองท้องฟ้า แก้วคอสูงที่อยู่ในมือขวาเอียงกระเท่เร่
"เฮ้"
คนมาใหม่ส่งเสียงนำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจ เจ้าเครื่องบินลำน้อยหันมาตามเสียงพร้อมรอยยิ้มอวดเขี้ยวแหลมที่เขาชอบ ผมม้าที่ยังแข็งน้อย ๆ จากสเปรย์ถูกลมเอื่อย ๆ พัดให้เคลื่อนไหว มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วกวักเรียกเขาหย็อย ๆ
"ดูดิ สวยเนอะ"
คนตัวสูงพยายามมองตามสิ่งที่อีกคนชี้ชวนให้ดู
"อะไรเหรอ"
"ทั้งหมดเลยย นายดูดิ ๆ"
คนตอบยกมือขึ้นเท้าคางกับราวเหล็ก ตาใสจ้องไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
ก็วิวเมืองธรรมดาที่ไฟถนนสว่างกว่าดวงจันทร์นั่นแหละ ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ปิ่งเชาก็เลือกจะพยักหน้าเออออตามน้ำไป หน้าเฟยจวิ้นที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูกำลังมีความสุข บางทีอย่าไปขัดใจคงจะดีเสียกว่า
"เออ สวย แล้วทำไมขึ้นมาคนเดียว อะไรสวยไม่คิดจะแบ่งเพื่อนดูหน่อยเรอะ"
"งั้นฉันควักลูกตานายออกแป๊บ"
ว่าพลางยกมือที่ชูสองนิ้วขึ้นเตรียมจิ้มตาอีกฝ่าย ขณะเดียวกันแก้วในอีกมือที่ถือหมิ่นเหม่อยู่แต่แรกก็ทำท่าจะตะแคงหก มือสวีปิ่งเชาขยับเร็วเกือบเท่าความคิด นิ้วยาวกำรอบมืออีกคนให้ตั้งแก้วขึ้น
"อ๊า ไม่อยากกินก็เอามานี่ เสียดาย"
"อ๋อ นี่อะนะ"
เฟยจวิ้นดึงแก้วกลับไปกระดก
"เฮ้ยๆๆๆ"
ลูกกระเดือกบนคอขาวเลื่อนขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ปิ่งเชาเลื่อนสายตามองแก้วเปล่าที่ถูกวางลงบนพื้นอย่างเหวอ ๆ คนตัวเล็กโน้มตัวพาดราวเหล็กพร้อมส่งเสียงฮ้า
"ดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ!"
"นั่นสิน้า"
ร่างสูงมองรอยยิ้มรื่นเริงที่ประดับอยู่บนหน้าติงเฟยจวิ้นตั้งแต่เข้ามาที่ร้านจนถึงตอนนี้ ในหัวนึกถึงเนื้อเพลงที่เพิ่งจะขับร้องไปในงาน ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาในอก
แบกหน้ากาก พกรอยยิ้มเอาไว้เฟยที่มักจะใส่หน้ากากรอยยิ้มเอาไว้น่ะ ตอนนี้จะรู้สึกโหวง ๆ ในอกเหมือนเขาไหม
ตารางงานจะไม่ตรงกันแล้วนะ
แต่...ทีนี้เสี่ยวเฟยก็จะไม่ต้องเหนื่อยกับการบินไปบินมาแล้ว
"นี่"
เสียงคนตัวเล็กปลุกเขาจากภวังค์
"หืม"
"ยังอยากไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์อยู่มั้ย"
คำถามที่โผล่มาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาคนถูกถามงงไปชั่วขณะ
"เอ่อ ก็อยากนะ แต่ป่านนี้ปิดไปแล้วมั้ง ถามทำไม"
"อือ ถามไปงั้นแหละ"
"เอ๊า อะไรของนาย"
ปิ่งเชามองค้อนอีกฝ่ายไปอีกหนึ่งทีก่อนจะหันกลับไปมองภาพตึกรามบ้านช่องตรงหน้า ดู ๆ ไปความมืดกับไฟสีเหลืองพวกนี้ก็สวยดี
พอได้ยืนนิ่ง ๆ ว่าง ๆ สมองโล่ง ๆ ก็ค่อย ๆ นึกออก ดิสนีย์แลนด์มีแต่ที่เซี่ยงไฮ้ซะที่ไหนล่ะ เจ้าบื้อเอ๊ย เขาหันขวับไปหาติงเฟยจวิ้น แขนขวาโอบไหล่เพื่อนตัวน้อยด้วยการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก
"เฟย นี่นายชวนฉันไปบ้านเหรอ"
"อย่าสำคัญตัวเองผิดน่า ฉันก็ถามไปงั้นเอง"
"ไป ๆ"
"ก็บอกว่าถามไปงั้นไงเล่า โอบทำไมเนี่ย ร้อน"
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนเขาแต่อย่างใด ปิ่งเชายกมือขึ้นยีหัวคนตัวเล็กกว่าจนหัวน้อย ๆ ทิ่มลง ผมสีแชมเปญที่โดนขยี้ชี้ไปคนละทิศคนละทางเหมือนกับรังนก
"โทษที มันชิน"
"อันนี้ไม่เรียกว่าชินโว้ย ผมยุ่งหมดแล้ว พอๆๆๆ" แยกเขี้ยวโวยวายพลางยกมือขึ้นสางผมให้กลับคืนทรง
"ให้พอก็ตอบก่อนว่าทำไมแอบขึ้นมาคนเดียว"
"ไม่ได้แอบ"
"วิ่งดุ๊ก ๆ มาคนเดียวบ้านฉันเรียกแอบ"
"ก็บ้านฉันไม่ได้เรียกแอบ! บ้านเรียกฉิ่มหั่ง!"
"…"
ปิ่งเชาก็อยากจะเถียงต่อ แต่เจอมุกนี้เข้าไปก็ไม่อยากจะไปต่อแล้ว เขาปล่อยมือจากบ่าเฟยจวิ้น เบือนหน้าไปหาวิวเมืองตอนกลางคืนแสนสวยของเพื่อนด้วยสีหน้าเซ็งที่สุดในชีวิต ไอ้มุกเฉพาะทาง! ไอ้มุกส่วนบุคคล! ไอ้มุกบ้านไม่พูดกวางตุ้งเล่นไม่ได้!
"ไม่เถียงเหรอ"
"ไม่เป็นไรอะ ขอบคุณ"
หัวที่เพิ่งได้รับอิสระเอียงลงแนบกับราวกั้นเหล็ก ตากลมช้อนมองเขาอย่างสงสัย
"นายเป็นไรปะ ทำไมนิ่ง ๆ ดื่มเยอะไปรึไง"
ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นอยู่ ปิ่งเชากระตุกแก้มยิ้มเยาะตัวเอง ลำคอพ่นเสียงหึ
"ใครจะดื่มแล้วติสท์ออกมาชมวิวดาดฟ้าคนเดียวอย่างนายล่ะ ดื่มมาก ๆ คอพังไม่รู้ด้วย"
"ฉันเพิ่งดื่มเกินหนึ่งแก้วครั้งเดียวเองนะ!"
"ก็ดี!"
เฟยจวิ้นอมลมแก้มป่องสะบัดหน้ากลับไป ถ้าอยู่ในภาวะอารมณ์ปกติเขาคงแกล้งหยอกอีกฝ่ายให้เจ้าตัวมีเรื่องเถียงกลับต่อ แต่จู่ ๆ ดาดฟ้าตึกฝั่งตรงข้ามก็ปรากฏประกายสีเหลืองส้มของไฟเย็นขึ้น ทำให้เขานึกอยากจะนั่งชมวิวขึ้นมา
"เฮ้ยๆๆๆ เมาเหรอนาย ฉันดื่มไปเยอะกว่าอีกนะ!"
เพราะอยู่ ๆ เขาก็ทรุดตัวลงไปนั่งจึงทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ตกอกตกใจเอื้อมมือคว้าไหล่เขาเก้ ๆ กัง ๆ รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนมุมปากสวีปิ่งเชา นิ้วยาวกำรอบข้อมือผอม ๆ ของติงเฟยจวิ้นแล้วดึงเบา ๆ ให้นั่งลงด้วยกัน
"เป็นอะไร--"
"สวยไม่ใช่เหรอ นั่งดูสิ"
เขาไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รับรู้ได้จากการที่คนตัวเล็กนิ่งไปว่าฝ่ายนั้นเห็นไฟเย็นแล้ว
"...อารมณ์ไหนเนี่ย"
"ไม่รู้ดิ"
เศร้ามั้ง ปิ่งเชาไม่ได้พูดออกไป
"เหมือนดอกไม้ไฟเนอะ นายว่ามั้ย"
"อื้อ…"
ปิ่งเชารอให้เฟยจวิ้นถามว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่กลับได้คำตอบรับง่าย ๆ มา ตาคมเหลือบมองเพื่อนอย่างสงสัย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ในหัวกลายเป็นสีขาวโพลน
ถึงจะยังยิ้ม แต่ดวงตาปริ่มน้ำของติงเฟยจวิ้นน่ะมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว
เขาวาดแขนขึ้นวางบนตำแหน่งที่คุ้นเคย มือตบบนหัวไหล่คนตัวเล็กปุ ๆ เป็นเชิงปลอบโยน เหมือนกับตอนที่ติงเฟยจวิ้นที่ตัวแดงเถือกไปหมดจากแสงแดดเกาะเชจูนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ในรถ เหมือนกับตอนที่ติงเฟยจวิ้นจบการนำเสนอชื่องานแฟนมีตในที่ประชุมด้วยเสียงขาดห้วง เหมือนตอนที่ติงเฟยจวิ้นเห็นสมุดนับถอยหลังของกู่หลันตี้ครั้งแรก
‘ตอนที่ร้องไห้แล้วมีใครซักคนคอยอยู่เคียงข้าง มันมีความสุขมากครับ’
เขาเพิ่งรู้ว่าเฟยให้สัมภาษณ์อย่างนั้นก็ตอนที่มาดูรายการเอาย้อนหลัง ติงเฟยจวิ้นที่พยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่ก็ร้องไห้ได้น่าสงสารที่สุด เพราะส่วนสูงจึงถูกวางตำแหน่งให้อยู่คนละฟากกับเขา จึงมีบางครั้งที่ทำได้แค่วางมือบนบ่าหมิงเจ๋อแล้วภาวนาให้ความรู้สึกส่งไปถึงไหล่เล็ก ๆ ที่สั่นเทา
แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เขาบีบไหล่เฟยจวิ้นเบา ๆ
"อย่าร้องดิ นั่นไฟเย็นนะ"
"เจ้าบ๊องเอ๊ย มีเหรอฉันจะไม่รู้…"
เขาก็ว่างั้นแหละ ปิ่งเชาแค่นยิ้ม
ดอกไม้ไฟกับความฝันดี ๆ ซักฝันหนึ่งมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งสองอย่างต่างก็สวยมาก แต่ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และถูกกำหนดมาให้จบลงในเวลาอันสั้น ที่น่าเศร้าคือความจริงที่ว่า ความฝันอาจจะกลายเป็นสิ่งถาวรขึ้นมาสักวันหนึ่งได้ แต่ดอกไม้ไฟไม่ใช่ความฝัน ดอกไม้ไฟเป็นความจริง
ติดไฟอย่างงดงามจริง ๆ หมดประกายก็สลายไปจริง ๆ และนั่นคือดอกไม้ไฟหนึ่งอัน
ไม่ต่างอะไรกับซาโม่อู๋จื่อเลย
น้ำตาที่ร่วงจากแก้มคนตัวเล็กสะท้อนกับแสงไฟ คนไม่ได้ร้องเอียงคอลงเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าคือติงเฟยจวิ้นที่นั่งหลับตาแต่หยดน้ำก็ยังไหลออกจากหางตาไม่หยุด ปากสีสดเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไม่ให้หลุดจากลำคอ ปิ่งเชาขบกรามแน่น เขาเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้แล้วคว้าหัวเฟยจวิ้นมากอด
ทุกครั้งการนั่งมองเฟยจวิ้นร้องไห้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วย และครั้งนี้ความเจ็บปวดก็ดูจะมากเป็นพิเศษ
การเดินทางที่ยาวไกลกว่าเดิมยังไงก็ต้องมาถึง เขาเข้าใจดี ใคร ๆ ก็ต้องเดินต่อไปทั้งนั้น แต่เขารักซาโม่อู๋จื่อ รักเหล่าเมมเบอร์ ยิ่งเฟยที่เป็นความสดใสให้เขาเสมอมานั้น เขายิ่งรัก
รักจนอยากจะประวิงเวลาให้การเดินทางเลื่อนออกไปอีกสักหน่อย รักจนใจเจ็บไปหมดในวันที่ต้องเอ่ยคำลาขึ้นมาจริง ๆ
"ไม่ต้องร้อง ๆ" บอกกับเฟย และบอกตัวเองด้วย
เฟยจวิ้นตอบด้วยเสียงครางฮือกับคำพูดอู้อี้มากมายที่ฟังออกอยู่แค่ประโยคเดียว
"…ยังไม่อยากแยกกัน…"
ปิ่งเชาเอาหัวตัวเองซุกเข้ากับบ่าเล็ก ๆ
"ฉันด้วย เฟย" มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ "ฉันด้วย"
ไฟเย็นค่อย ๆ ดับไป แต่ก็มีคนจุดมันขึ้นมาใหม่ คราวนี้เป็นไฟเย็นสีรุ้ง ประกายสีสดใสสะท้อนกับลูกตาปิ่งเชาวาววับ
"ที่ฉันเขียนไปในจดหมายน่ะ..." เขาเอ่ยเสียงค่อย ไม่คาดหวังให้ติงเฟยจวิ้นที่ในที่สุดก็ปล่อยโฮอยู่ในอ้อมแขนได้ยิน "ฉันจริงจังนะ"
ตั้งใจร้องเพลง มุ่งมั่นตามความฝันของนายซะนะ ติงเฟยจวิ้น
ถ้าทำอย่างนั้นได้ล่ะก็ เราก็จะมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้นนะ
นายน่ะต้องไม่เหมือนใคร
แล้วเจอกัน นายกับฉัน นักร้องสวีปิ่งเชาและนักร้องติงเฟยจวิ้น
++++++++++
กว่าติงเฟยจวิ้นจะร้องไห้เบาลงไฟเย็นที่ตึกฝั่งตรงข้ามก็ดับไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันใครซักคนก็สับสวิตช์ไฟชั้นดาดฟ้าลง จอโทรศัพท์ของทั้งสองคนบนดาดฟ้าสว่างขึ้นพร้อมกัน แจ้งเตือนบอกว่าน้องเล็กหูเหวินเซวียนกำลังโวยวายหาสองคนที่หายไปอยู่ในห้องแชทซาโม่ให้กลับไปหาเพื่อน ๆ ได้แล้ว
00.00 น. ตัวเลขบนโทรศัพท์บอกเวลาเช่นนั้น
“ลงไปกันมั้ย” ปิ่งเชาเอ่ยถาม
เฟยจวิ้นเอามือปิดหน้าตัวเองพลางสั่นหัวดิก
“ตาแดงอะ นายลงไปก่อนเถอะ”
“สีอายแชโดว์ไง”
“อายแชโดว์บ้านนายทำให้ตาบวมได้ด้วยรึไง บอกให้ลงไปก่อน”
“...งั้นฉันจะบอกว่านายขึ้นมาอ้วกแตกอยู่ข้างบน”
“เจ้ายักษ์ปิ่งบ๊องนี่ ทำไมฉันจะต้องอ้วกแตกด้วยเล่า! ไปไหนก็ไปเลย”
“อย่าตกบันไดคอหักนะ”
“ไม่ได้เมาโว้ย ไปได้แล้ว ชิ่ว!”
ปิ่งเชาลุกจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เฟยจวิ้นคว้าแก้วมากระดกของเหลวที่เหลือเข้าปาก จากนั้นจึงถือแก้วเปล่ายันตัวลุกขึ้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ ในที่สุดก็มีโอกาสอยู่คนเดียวจริง ๆ ซักที มือเล็กกดมือถือสองสามทีแล้วยกส่วนไมโครโฟนขึ้นจ่อปาก
"ก่อนเที่ยงคืน ดูไฟเย็นด้วยกัน ต้าปิ่งบ๊องปลอบฉันไม่ให้ร้องไห้ด้วย ตลกดี"
ปากพูดไปอย่างนั้น มุมปากก็ยกยิ้ม แต่ดวงตาฉ่ำน้ำกลับไม่เห็นด้วย
ซาโม่อู๋จื่อก็เรื่องนึง
สวีปิ่งเชาก็คืออีกเรื่องนึง
คนที่เพิ่งหันหลังจากไป หมื่นล้านถ้อยคำในใจจนวันนี้ก็ยังไม่ได้บอก
ติงเฟยจวิ้นนึกอยากให้เสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดที่ได้ยินอยู่นี่ไม่ใช่เสียงของตน แต่น้ำตาร้อน ๆ ที่กลับมานองเต็มหน้าอีกครั้งก็ไม่ยอมให้ความจริงบิดพลิ้ว
ต้องห่างกันแล้ว
แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ ฉันจะทำยังไงต่อไปดี
จากนี้จะหาเรื่องให้ได้อยู่ใกล้นายอีกได้ยังไง
เวลานายถ่ายแบบโป๊ ๆ จะยื่นมือไปบังก็ไม่ได้แล้ว คงต้องทำใจใช่มั้ย
คนทึ่มที่ไม่กล้าจับมือฉันเต้นรำบนเวทีอย่างนายน่ะ
ทำให้ฉันปวดใจขนาดนี้ สาแก่ใจแล้วใช่มั้ย สวีปิ่งเชา
00:00
ไม่ใช่เพียงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของซาโม่อู๋จื่อ
แต่มันมาถึงแล้ว เวลาที่ฉันกับนายจะได้อยู่ด้วยกันนับถอยหลังมาถึงการสิ้นสุด
อะไรมากมายล้วนไม่พัดพาฉันกับนายไปทางเดียวกันเลยในเมื่อไม่กล้าเสี่ยง สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาได้อย่างเดียวเท่านั้น
ความเจ็บปวด ก็คือบทลงโทษของการแอบรัก
//ถามว่าจบห้วน ๆ งี้เลยเหรอ ใช่ค่ะนี่คือแบบสั้น งานแก้บน งานไฟไหม้น้ำร้อนลวก
แบบยาวยังอยู่ในดราฟต์ *หอนเป็นหมา* TTTT
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in