ผู้เขียน : ธาร ธรรมโฆษณ์
สำนักพิมพ์ : สถาพรบุ๊คส์
จำนวนหน้า : 272 หน้า
ราคา : 170 บาท
มีถ้อยคำมากมายที่เอ่ยถึง "นรก" กับ "สวรรค์" ไม่ว่าจะอยู่ในชื่อของอาหาร เช่น น้ำพริกนรก หรือเป็นสำนวน เช่น สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ หรือแม้แต่คำเปรียบเปรยในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ท่าน ๆ ที่หากพบสิ่งดี สิ่งสวยงาม ก็จะบอกว่า "นี่แหละสวรรค์" หรือหากเจอเคราะห์หามยามร้ายก็จะบอกว่า "นรกชัดๆ" หรือ "จังหวะนรก"
แต่หากจะถามกันลงไปจริงๆว่า แล้วเคยเห็นหรือว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไร คนทั่วไปก็คงจะมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า อาจตามด้วยคำตอบ "ไม่เคยไป จะไปรู้ได้ยังไง"
นั่นน่ะซี
แล้วก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง ราวกับจะยกมือขึ้นมาตอบว่า ตามมาสิ ฉันจะเล่าให้ฟังว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไร
"ท่องนรกสวรรค์กับสามเณรพาหุง" แม้หน้าตาจะเป็นหนังสือ แต่เนื้อหาในหนังสือนั้น เมื่ออ่านแล้วรู้สึกว่าเป็น Exclusive tour ที่พาผู้อ่านท่องไปในนรกกับสวรรค์ โดยมี Tour Leader เป็นพระหนึ่งรูปและเณรหนึ่งรูป นั่งสมาธิแล้วถอดจิตไปเยี่ยมชมที่ซึ่งอาจเป็นสถานีต่อไปของใครหลายๆคน เนื้อหาในหนังสือแบ่งเป็นสองภาคหลักคือ นรก กับ สวรรค์ แยกให้เห็นชัดเจนโดยไม่ต้องอ่านด้วยสีสันสองสี ภาคนรกจะทาขอบปกเป็นสีออกน้ำตาล ส่วนภาคสวรรค์จะทาสีขอบปกด้วยสีฟ้า
ถัดจากปฐมบท ผู้อ่านจะได้เดินทาง(ผ่านตัวอักษร)ไปเยี่ยมชมนรกแต่ละขุม โดยเริ่มจากขุมที่โทษ...น่าจะเบาสุด เพราะระยะเวลารับโทษสั้นที่สุด ไปจนถึงนรกขุมสุดท้าย หลังจากนั้นจะพักจิตพักใจด้วยกิจวัตรบางประการของสามเณรพาหุงกันเสียก่อน แล้วจึงเดินทางไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆกันต่อไป เช่นกัน การเดินทางจะเริ่มจากสวรรค์ชั้น..ที่อยู่ล่างสุด ซึ่งมีระยะเวลาเสวยสุขน้อยที่สุด ไปจนถึงสวรรค์ชั้นสุดท้าย เป็นอันจบการเดินทาง
หากจะเจาะย่อยไปยังรายละเอียด ในแต่ละบท เอ้อ ในนรกสวรรค์แต่ละที่ เนื้อหาจะประกอบไปด้วยลักษณะว่านรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ ผู้ที่อยู่นั้นมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร เสวยทุกข์เสวยสุขประการใด จากนั้นคุณเณรน้อยเธอจะเลือกสัตว์นรก//เทวดา มาผู้หนึ่ง ไถ่ถามว่าผู้นั้นประกอบกรรมดีกรรมชั่วประการใดเล่า ถึงได้มาประสบชะตากรรม ณ นรก//สวรรค์ ชั้นนั้นๆ ผู้ที่ถูกเลือกนั้นก็จะเล่าเรื่องของตนเองเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ว่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงได้ลงเอยอยู่ที่นี่
เป็นหนังสือท่องเที่ยว(?)ที่สร้างเสริมจินตนาการได้พอประมาณ ช่วงที่อ่านถึงการทรมานในนรกก็รู้สึกได้ถึงความสยดสยอง ในทางกลับกัน เมื่ออ่านถึงสมบัติพัสถานของชาวเมืองฟ้าแล้วก็ทำให้เต้นร่ำๆอยากขึ้นสวรรค์กะเขาบ้าง
อีกหนึ่งความรู้สึกที่จะละเลยเสียไม่ได้ คือความรู้สึกไม่เท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเช่น ระยะเวลาในสัญชีวมหานรกนั้น ๑ วันในนรก จะเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ในขณะที่ เวลาในสวรรค์ชั้นยามานั้น ๑ วันในสวรรค์จะเท่ากับ ๒๐๐ ปีมนุษย์ เวลาในนรกกับสวรรค์ช่างเทียบกันไม่ติดเลย ว่าไหม
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักก็คือ ประเภทของหนังสือเล่มนี้ "วรรณกรรม" ใช่แล้ว มันคือเรื่องแต่ง ซึ่งคนอ่านก็ไม่ทราบได้เหมือนกันว่า เขาแต่งมาจากเรื่องจริงที่มีพระนักปฏิบัติท่านไปทัวร์นรกสวรรค์มาจริงๆ หรือแต่งโดยใช้จินตนาการประกอบข้อมูลในเชิงพุทธศาสนา ส่วนหากจะถามว่า แล้วพระพุทธศาสนาเอาข้อมูลนรกสวรรค์มาจากไหน
เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องไปศึกษาหาข้อมูลเชิงลึกต่อไปอีกเช่นกัน
กระนั้น ในฐานะที่ศรัทธาในพุทธศาสนาและเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เวลาอ่านถึงบางช่วงบางตอน ฉันนี่อยากจะคัดลอกบางส่วนไปให้คนบางคนอ่านเสียจริงๆ เพราะเห็นพฤติกรรมแล้วคันไม้คันมืออยากเตือนว่า "วันใดตกนรกแล้วเธอจะรู้สึก" (เชิญใส่ทำนองเพลงวันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึกได้ตามชอบใจ) ติดแค่ว่า หนังสือเล่มนี้ประกาศไว้แต่ต้นเล่มว่า ห้ามคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นอันขาด...
โอเค ตามนั้น ปล่อยคนบางคนไปตามยถากรรมก็แล้วกัน
คิดเสียว่าอ่านไว้เปิดโลกทรรศน์ และอ่านไว้เตือนใจในการดำรงชีวิตให้คิดดีๆก่อนจะทำอะไรลงไป เมื่อลองคิดถึงอายุขัยในนรกสวรรค์ ก็เห็นได้ว่าอายุขัยในมนุษย์นั้นสั้นนัก ไม่มีใครทราบได้ว่าชีวิตหลัง ความตายนั้นเป็นอย่างไร บางทีเรื่องราวในหนังสืออาจเป็นเรื่องอุปโลกน์เสียทั้งสิ้น ตายแล้วก็สูญไปไม่มีอะไรกลับมา หากเป็นอย่างนั้นและคิดอย่างนั้นแล้ว ระยะเวลาในโลกที่เหลืออยากทำอะไรก็ทำเถิดตามสบาย แต่...หากที่แท้แล้วนั้น เรื่องนี้แต่งมาจากเรื่องจริง ย่อมหมายความว่าทุกคนต้องรับผลทุกอย่างที่ตนเองได้กระทำลงไปไม่ว่าจะทางดีหรือทางร้าย เช่นนี้ จะคุ้มหรือไม่ถ้าเราใช้ชีวิตเปื้อนบาปอยู่ไม่ถึงร้อยปี แล้วกลับต้องหมดเวลาไปกว่าล้านปีในการชดใช้ความผิดของตัวเองในนรก
คงสุดแท้แต่ความคิดของแต่ละคนแล้ว ณ จุดนี้
ปล. สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือเล่มนี้และอยากหาซื้อมาอ่าน เราซื้อหนังสือนี้มาจากกองหนังสือลดราคา ตอนที่สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คมาจัดบูธที่ห้างแถวบ้าน เราเองไม่แน่ใจว่าตามร้านหนังสือมีขายหรือไม่ อย่างไรก็ลองนำชื่อไปหาในกูเกิ้ลดูนะคะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in