“นายว่าคนเราจะชอบจับมือกันได้ไหม”
“ได้ดิ กูก็ชอบจับมือกับแฟนกูเหมือนกัน”
“ไม่สิ ไม่ใช่ชอบแบบนั้น”
“แล้วหมายถึงแบบไหน”
“แบบว่า ชอบจับมือเขานะและต้องเป็นเขาคนเดียวด้วย แต่ก็ไม่ได้ชอบเขาเหมือนกัน”
“….”
“มันพอจะเป็นไปได้ไหมวะ”
“แน่ใจนะว่าที่พูดมาน่ะ...ไม่ได้แปลว่าชอบเขาไปแล้วแค่ยังไม่รู้ตัว”
.
.
.
.
.
สัมผัสทำให้คนเราใกล้ชิดกันมากขึ้น ผมเชื่อแบบนั้น มันแสดงว่าเรายอมรับในความใกล้ชิดที่ชิดใกล้กันเข้ามาอีกระดับกับคนที่เรายอมให้สัมผัสด้วย
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีแฟน...ผมเคยมี และพึ่งจะมีไป สัมผัสที่มากกว่าการจับมือก็เคยทำมาแล้ว แต่ไม่มีสัมผัสของใครตราตรึงเท่าของเขาคนนั้นแค่นั้นเอง
ก็แค่จับมือ ผมจะอะไรกับมันนักหนาก็ไม่รู้
“เลิกแล้วเหรอวะ”
“อื้อ ไปกันไม่รอด”
“เพราะจับมือเขาแล้วไม่อุ่นรึเปล่า”
“เกี่ยวอะไรกับมือ”
“ก็เห็นเกี่ยวกับมือตลอดแหละ นายมีปัญหาเรื่องมือทุกครั้ง โดยเฉพาะกับมือของพี่คนนั้--โอ้ย!”
เพื่อนชอบล้อผมแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจูบไม่หวาน ไม่ใช่ว่ากอดไม่อุ่น และไม่ใช่ว่าจับมือแล้วไม่รู้สึกอะไร ตอนยังเป็นแฟนกัน ผมก็รักก็ชอบแฟนของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเจอคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต หรือจะต้องรอใครคนหนึ่งอะไรแบบนั้นอีกเหมือนกัน ผมแค่ชอบจับมือกับเขา....ก็เท่านั้นเอง
มันเริ่มจากความสบายใจเวลาอยู่ด้วยกัน จอห์นนี่เป็นรุ่นพี่ ผมเป็นน้องรหัสของเพื่อนสนิทอีกฝ่าย และไม่รู้ว่าทำไมเวลาเกิดปัญหา จะต้องเป็นอีกฝ่ายทุกทีที่มาเจอ
“ไม่เอาไม่ร้องแล้ว ฮึบก่อน”
วันนั้นแย่ไปหมด ทุกคนซ้อมอย่างหนักเพื่องานโรงเรียน ก่อนจะพังไม่เป็นท่าในการซ้อมใหญ่ครั้งแรก เพื่อนๆทะเลาะกัน ส่วนผมที่พยายามสุดความสามารถในการคลี่คลายสถานการณ์กลับหนีมาร้องไห้คนเดียว
แต่อีกคนก็ดันมาเจอได้ซะนี่...
“ลุกก่อนแจน ส่งมือมาให้พี่เร็ว”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้จับมือเขา มือใหญ่หนาเอื้อมมาฉุดให้ผมลุกขึ้น มั่นคงและอบอุ่นเกินกว่าที่วัยรุ่นวัยเดียวกันจะมีได้ และไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกเหล่านั้นรึเปล่า ที่ทำให้ผมหยุดร้องไห้ไปเสียดื้อๆหลังจากนั้น
พวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยขนาดนั้น จอห์นนี่กำลังจะจบ ส่วนผมก็ต้องติวตลอดเพื่อปีหน้า แต่จังหวะชีวิตที่เหวี่ยงให้มาเจอกันบ่อยๆ ก็เปลี่ยนจากความสบายใจให้กลายมาเป็นความสนิท
สนิทมากพอที่จะไปไหนต่อไหนกันเพียงสองคนนั่นแหละ...
เอาตรงๆผมก็ไม่รู้ว่าวัฏจักรนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่รู้ตัวอีกที ทุกครั้งที่ไปเดินเที่ยวด้วยกันหรือเจอหน้ากันที่โรงเรียน ผมกับเขาจะต้องยื่นมือไปหากันทุกที จี้บ้างล่ะ แหย่บ้างล่ะ ตีบ้างล่ะ ไม่ก็แบมือจับกันไปจับกันมา เล่นมือกันตลอด แต่ไม่เคยแสดงออกไปว่าอยากจะจับมือกันจริงๆจังๆเสียที
หลังจากนั้นก็จับๆปล่อยๆมือกันเรื่อยมา เหมือนคนที่อยากจะทำอะไรซักอย่าง แต่ก็หาเหตุผลในการกระทำนั้นๆไม่ได้ ก็เลยทำไปไม่เคยสุด
แต่ก็เลิกทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะหวังว่าจะทำสำเร็จเข้าในซักวันหนึ่ง
พวกเราต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมมีเพื่อน มีชีวิตของผม เขาเองก็เติบโตและเริ่มต้นไปกับชีวิตใหม่ๆของตัวเขาเองเช่นกัน
ไม่ได้นึกถึงตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ห่างหายไปไหน...
มาเจอกันที พวกเราก็ยิ้มให้กันเมือนเดิม คุยกันด้วยน้ำเสียงแบบเดิม และยื่นมือไปหากันแบบเดิมก็แค่นั้นเอง
“กว่าจะรวมตัวกันครบแบบนี้เนี่ยยากชะมัดเลยนะ” รุ่นพี่คนนึงบ่น พวกเรายืนคุยกันเป็นวงเล็กๆในงานเลี้ยงของโรงเรียน ที่ตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนเก่าไปแล้ว
พวกเราทุกคนยืนหัวเราะ แลกเปลี่ยนความคิดถึงหลังจากไม่ได้เจอกันนาน จอห์นนี่ยืนหันหน้ามาหาอยู่ข้างๆผม รุ่นพี่ตัวสูงดูตัวหนาขึ้นกว่าเดิม....ฮอตขึ้นเยอะเลยทีเดียว
ผมไม่กล้าสบตาเขาตรงๆมากนัก แต่ก็พอเลี่ยงได้จากความที่อีกฝ่ายตัวสูงกว่า เราสองคนให้ความสนใจไปกับบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็สื่อสารด้วยภาษาของเราเองเช่นเดียวกัน
เขามองผมมาก่อนอยู่แล้ว สายตาง้อๆถูกส่งมาเหมือนอยากคุยด้วยแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมทำปากกวนๆส่งกลับไป ก่อนที่มือของเราจะยื่นไปหากันอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาเป็นฝ่ายยื่นมือมาหาผมก่อน
ไอ้ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นนี้มันอะไรกันนะ...
ผมแบมือไปหวังให้เขาตีมือลงมาแบบที่เคยเล่นกันเมื่อก่อน แต่จอห์นนี่กลับวางมือลงมาประกบและจับมือผมไว้แทน ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยตกใจ เราจับมือกันเพียงแว๊บเดียว ก่อนที่ผมจะยุกยิกเอามือออกไปตีมือเขาแทน พวกเราไม่ได้แสดงออกอะไรมากไปกว่านั้น เพื่อนรอบตัวคงจะชินตากับท่าทางของเราทั้งสองคน ทุกอย่างยังเป็นแบบที่เป็นมาเสมอ
จับมือกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเฉไฉทำอย่างอื่นแทนแบบที่ทำมาโดยตลอด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกตามเคยนั่นแหละ....
แต่เเล้วเราก็กลับมามองตากัน สื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจกันเพียงสองคน บทสนทนาและความคุ้นเคยแบบที่ไม่เคยเปลี่ยนไป และก็อีกครั้งนั่นแหละ ที่มือของเรายื่นออกไปหากัน
ก่อนที่เราจะล่ำลา และกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองในวันรุ่งขึ้น
.
.
.
.
.
“นายว่าคนเราจะชอบจับมือกันได้ไหม”
“ได้ดิ กูก็ชอบจับมือกับแฟนกูเหมือนกัน”
“ไม่สิ ไม่ใช่ชอบแบบนั้น”
“แล้วหมายถึงแบบไหน”
“แบบว่า ชอบจับมือเขานะและต้องเป็นเขาคนเดียวด้วย แต่ก็ไม่ได้ชอบเขาเหมือนกัน”
“….”
“มันพอจะเป็นไปได้ไหม”
“แน่ใจนะว่าที่พูดมาน่ะ...ไม่ได้แปลว่าชอบเขาไปแล้วแค่ยังไม่รู้ตัว”
บทสนทนากับเพื่อนรีรันกลับเข้ามาในความทรงจำ ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองตอบอะไรไป หรืออาจจะไม่ได้ตอบออกไปเลยก็ได้ ผมอาจจะชอบเขา...หรือไม่ชอบ ผมก็ไม่แน่ใจในตัวเองนักหรอก มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่ผมนึกสงสัยว่าตัวจอห์นนี่เองจะคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาจะสับสนเหมือนกับผมไหมนะ
เขาจะชอบผม หรือรู้สึกบางอย่างกับผมบ้างรึเปล่า
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร พวกเราก็ไม่เคยพูดมันออกไป ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่น้อยและก็ไม่มากไปกว่าที่เคยทำมา เป็นแบบนั้นเสมอ
เรายังคงใช้ชีวิตต่อไป ไม่ได้นึกถึงกันในทุกช่วงลมหายใจ ไม่ได้จะเป็นจะตายเมื่อไม่ได้เจอหรือไม่ได้คุยกัน
แต่ก็เป็นอีกครั้งนั่นแหละ....ที่เรายื่นมือกลับมาหากันในเวลาที่เราได้เจอกันอีกครั้ง
.
.
.
.
.
ผมไม่ได้ชอบเขาหรอก คนชอบกันเขาขาดกันแบบที่ผมเป็นอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก
แต่ไม่รู้สิ ผมว่าผมก็ออกจะคิดถึงการจับมือกับเขาขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราวอยู่เหมือนกันนะ
คิดถึงตอนที่พวกเราจับมือกัน ไม่ได้คิดถึงเจ้าของฝ่ามือเลย สาบานได้
ก็นะ...อย่างที่ผมเคยบอกไว้
ว่าผมน่ะ ชอบจับมือกับเขาจริงๆ :)
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in