พอ mention ถึงเรื่องนี้ทีไร ใจก็อยากทำมันอีกหลาย ๆ ครั้ง
ครั้งแรกที่จำได้ว่าตั้งใจกินยาเกินขนาดคือช่วงปีสี่ขึ้นปีห้า ในหัวคิดแค่ว่าอยากลอง อยากนอนนาน ๆ ไม่อยากตื่น แต่ก็ไม่ได้อยากตาย ช่วงนั้นฝึกงานพอดี ประกอบกับปัญหาครอบครัวที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน สื่งที่ตามมาคือนอนแต่นอนไม่หลับ แน่นอนว่ายาแผนปัจจุบันที่ทุกคนรู้ดีและใช้อยู่ประจำก็คือยาแก้แพ้ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วง ปากแห้ง (ไม่มีเจตนาให้ทำตามเด้อ) เราตั้งใจซื้อมาเก็บไว้ทุกครั้งที่ลงไปเซเว่นล่างหอ ไอ่ที่กะจะซื้อที่เดียว 4-5 แผงก็กลัวพนักงานเซเว่นตกใจ เลยเอาทีละแผงไปก่อน แรก ๆ ช่วงนอนไม่หลับจะเป็นความรู้สึกข่มตาหลับแต่ไม่หลับ พลิกตัวไปมา ฟังเพลงก็แล้ว ฟังบาบานัมก็แล้ว จนถึงฟัง podcast พระเทศก์ ก็ยังไม่หลับ ยิ่งคิดว่าทำยังไงให้หลับก็ยิ่งนอนไม่หลับ สุดท้ายก็ตัดสินใจด้วยความโมโหและหงุดหงิดของตัวเอง เรากินยาแก้แพ้ไปหนึ่งแผง แล้วนอน
วันนั้นเลิกเรียนเที่ยง รีบเดินกลับหอ เพราะรู้สึกว่าร่างกายต้องการเตียงมาก ๆ เปื่อยไปหมด รู้สึกหมดพลัง กับไอ่แค่ตื่นไปเรียนสองชั่วโมง ทำให้เหนื่อยได้ขนาดนี้เลยเหรอ เปล่าหรอก เป็นเพราะนอนไม่หลับต่างหาก เราเดินเข้าเซเว่น ซื้อยา นม ขนม พอแก้ขัดเผื่อตื่นมาหิวแล้วสับขาให้ถึงห้องไวที่สุด พอถึงเตียงเราก็รีบบิยากินที่ละเม็ดจนหมดแผง แล้วนอนด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยากไปกับชุดนิสิต หลับไปนานพอสมควรจนรู้สึึกว่ามีสายเข้า เรารีบกดรับแล้วตอบตกลงไปอย่างง่ายดายว่ารอแปปนึงนะเดี๋ยวลงไป สรุปก็คือเราสามารถลงไปกินข้าวต่อในทันทีโดยไม่รู้สึกอะไร เอาจริงก็รู้สึกหวิว ๆ นะแต่เป็นความหวิวที่รู้สึกดี โล่ง ได้นอน ได้พัก รู้สึกไม่มีอะไรในหัว เท้าไม่ค่อยติดพื้นเท่าไหร่ เราสั่งก๋วยจั๊บสามหมู ร้านประจำของเด็กหอแถวนั่น เพื่อนขอเพิ่มพิเศษด้วยกระดูกหมูเคี่ยวนานครึ่งค่อนวัน ความนัวของเครื่องปรุงและผงชูทำให้ตื่นและหิวน้ำมาก
ต่อจากวันนั้นก็มีความตั้งใจกินยาเกินไปหลายครั้ง...
ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนที่แล้ว เราทำงานเกินเวลา เข้าเก้าโมงเช้าเลิกสี่ทุ่มเพราะมีเคสเข้ามาเยอะมาก น้องที่ช่วยก็มีแค่คนเดียว ในออฟฟิศปิดไฟ เงียบ ไม่มีใครเลยนอกจากเรากับน้องอีกคนที่นั่งทำงานอยู่ วันนั้นมีความคิดอยากตายแว้บขึ้นมาในหัวถี่มาก อยากทำร้ายตัวเอง อยากกรี้ดให้ลั่นออฟฟิศ อยากสบถคำหยาบดัง ๆ ใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า เริ่มต้นวันนั้นคือการไปนั่งคุยกับหัวหน้าเพราะเราทำควิซจาก HQ ไม่ผ่าน และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว กลายเป็นว่าทั้งพี่ team lead พี่ HR มานั่งประชิดแล้วถามว่าจะเอายังไงต่อดีคะ เอ้า ยังไงดี ตอนนั้นแบล้งมาก เหมือนยิ่งพูดยิ่งแก้ตัว เราทำควิซไม่ผ่านเพราะเราทำไม่ได้ เราจำไม่ได้ เราขึ้เกียจหาคำตอบ และสรุปก็คือตอบส่ง ๆ ไปซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วว่าโอกาสผิดมีมากกว่า ทั้งควิซรายเดือนหรือออดิทรายสัปดาห์ เราตกมาตลอดสามเดือน ซึ่งนั่นแปลว่า เราไม่ผ่านโปรฯ พี่ HR ถามว่าจะเอาไงเหรอ นั่นสิ เอายังไงดีวะ คิดในใจ ไล่หนูออกไหมคะหรือว่ายังไงเพราะหนูก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าต้องทำยังไง จบด้วยการ promise สามข้อว่าจะปรับปรุงตัวเองให้ระมัดระวัง รอบคอบ มั่นใจมากกว่าเดิม ง่ายจัง
กลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก อยากนอน แต่ก็ยังไม่อยากนอน ในหัวยังคิดไม่หยุดเลยว่าต้องทำยังไง รู้สึกถึงความเฟลที่แผ่ซ่านไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า ความรู้สึกแย่กับตัวเองเป็นแบบนี้นี่เอง วิธีที่เลือกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือการดูเทยเที่ยวไทย เพราะที่ผ่านมาก็ทำแบบนี้มาตลอด พอรู้สึกไม่ดีหรือว่าหม่น ๆ ก็จะหาอะไรตลก ๆ ขำ ๆ ดู ฟื้นใจไปอีก แต่ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้น ดูจบแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เราเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องไม่กี่ตารางเมตร บีบบอลก็แล้ว คุยกับตุ๊กตาก็แล้ว ฟังเพลง ดูหนัง คือทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ มันก็เฟลอีกนะ เราหยิบยาออกมาสี่ห้าแผง กับนยานอนหลับอีกหนึ่งแผง กินยานอนหลับก่อนไปซักพัก ประมาณสิบห้านาที แล้วกินที่เหลือตาม พอได้สติ ก็รู้สึว่าทำไปทำไม ไม่เห็นเหมือนในหนังหรือละครที่ดูมาเลย ไม่ปวดหัว ไม่มึน ไม่อาเจียนหรืออะไรเลย
เราเรียกแกร้บตอนเที่ยงคืนเพื่อไป ER ถึงโรงพยาบาล ก็เดินได้ปกติ ไปที่จุดคัดกรอง จำได้ว่าคนไม่เยอะมากเพราะเค้าจำกัดพื้นที่แยกระหว่างคนไข้กับคนป่วย พยาบาลผู้หญิงวัดความดันและถามว่าเป็นอะไรมา เราตอบไปว่าปวดหัวทั้งที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นซักนิดเลย พยาบาลตกใจกับ pulse 130++ แล้วให้เดินตามเข้าไปใน ER ห้องที่คุ้นเคย (เหรอ) พยาบาลพาเดินไปเกือบสุดทาง เตียงติดกับชั้น stock พวกอุปกรณ์ทำแผล น้ำเกลือ ถุงมือยางอะไรพวกนั้น ไม่นานก็มีหมอผู้หญิงเดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไรคะ เราบอกหมอว่าเรากินยาเกินขนาด เราจำหน้าหมอไม่ได้ด้วยซ้ำ จากนั้นก็เจอหมอผมสั้น แล้วเจอพยาบาลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตามด้วยให้น้ำเกลือจากหมอผมสั้นใส่แว่นกับแจ็คเก็ตสีดำ ทุกอย่างเริ่มเป็นภาพลาง ๆ หม่นเหมือนกระจกมีฝ้าเกาะ เพราะเราถอดแว่นตั้งแต่เจอหมอคนแรกแล้ว ทุกอย่างเลยมัวไปหมด หมอคนแรกกลับมาถามที่เตียงอีกครั้งแบบละเอียดขึ้นว่า ทำไมถึงกิน เจออะไรมา ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่า ฯลฯ ประกอบกับความเบลอขึ้นเรื่อย ๆ จากเตียงสุดทางกลายมาเป็นเตียงที่อยู่ติดเคาท์เตอร์ที่สุด เก้าอี้และคอมอยู่ฝั่งตรงข้าม เราเงยหน้ามองหัวเตียงติดป้ายว่า "Holding" และมอนิเตอร์ดู O2 Sat กับ BP อ่า จากนั้นก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพยาบาลถึงเข็นมาอยู่ใกล้หมอมากขึ้น ในใจคิดว่ายังไงก็ไม่ตายเพราะถ้าตายจริงคงไม่ถ่อสังขารตัวเองมาถึงโรงพยาบาลได้หรอก แค่เหนื่อยน่ะ หมอบอกว่าต้องล้างท้องแล้วกินคาร์บอน จำไม่ค่อยได้แล้วว่าอันไหนก่อนหลัง แต่การกินคาร์บอนที่พยาบาลชงมาให้สองแก้วทำเราเกือบอาเจียน เหมือนกินอะไรสาก ๆ ข้นแล้วก็หนืดลงไปในคอ ไม่ขมนะ แต่เอาเป็นว่าไม่อยากกินอีกเลย เราทำหน้าเบ้ใส่พยาบาลตอนอึกสุดท้ายที่คิดว่าจะหมดแก้ว ไม่จ่ะ พยาบาลคนตะกอนคาร์บอนแล้วกวาดทั้งแก้วใส่ช้อนให้กินจนเกลี้ยง พยาบาลบอกว่า อีกนิดนะ เอาให้หมด เราจำได้แม่นเลย 5555555
จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เท่าที่จำได้ คือมีหมอเดินมาที่เตียงเราบ่อยมาก พร้อมกับพยาบาลที่มาเช็คไอ่เครื่องติ๊ด ๆ ที่ดังอยู่ข้างเตียง ทำไม ยังไง เราถึงมานอนอยู่ใน ER สภาพแบบนี้ พยายาลเดินมาแล้วบอกว่าลุกไปเปลี่ยนชุดได้ไหม เราก็งง ทำไมต้องเปลี่ยนชุดเป็นชุดคนไข้สีฟ้าใน ER ด้วยวะ แปลกอะ ปกติคนที่เข้า ER ก็มีแต่คนใส่ชุดปกติแล้วพออาการคงที่ค่อยย้ายออกไปอยู่วอร์ดที่ดูแลไม่ใช่เหรอ ไม่เป็นแบบที่คิดไว้อีกแล้ว 5555555 ในความงง เบลอ ก็บอกพยาบาลว่าไปได้ค่ะ วินาทีแรกที่เหยียบพื้น เรารู้สึกเลยว่าโลกมันเอียงมาก มือสั่น ทรงตัวไม่อยู่ อีกมือเท้าขอบเตียง อีกมือยื่นรับชุดคนไข้แล้วก้มใส่รองเท้าเดินไปห้องน้ำ พยาบาลเดินมาส่งบอกว่า เปลี่ยนเองได้เนอะ ในใจแม่งแบบเออจริง เปลี่ยนได้แต่เปลี่ยนยังไง งงที่สุดไอ่ตอนถอดเสื้อตัวเองออกแล้วไม่รู้จะเอาออกยังไงเพราะติดสายน้ำเกลือ ความโชคดียังมีอยู่จริงเพราะพี่พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาว่า เป็นไง ได้ไหม ทำยังงี้ ๆ โถ่คุณพี่ ทำไมไม่ช่วยหนูใส่ตั้งแต่แรกล่ะโว้ยย ปล่อยให้ยืนงงอยู่หน้ากระจกตั้งนานสองนาน สเตปต่อไปคือการผูกโบว์รักสีดำ ไม่ใช่! ผูกโบว์เสื้อคนไข้ที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่เข้าโรงพยาบาล เราก็ไม่เคยชินกับเสื้อคนไข้ที่นี่เลย พี่พยาบาลถามว่าแล้วผูกเสื้อเป็นไหม มานี่ แล้วพี่พยาบาลผูกให้ ดีใจ สวย จบปิ๊ง พี่พยาบาลเดินนำหน้าพร้อมเสาให้น้ำเกลือและมีเราเดินตาม รู้สึกหมดอาลัยตายอยากมาก ทำไมไม่ตาย ให้จบ ๆ ไป ทำไมเรายังกินคาร์บอน เดินไปเข้าห้องน้ำ กลับมาที่เตียงได้ปกติ ทำไม
เวลาผ่านไปอีกซักพักใหญ่ ๆ ก็มีพยาบาลมาดึงสายตรงหน้าอกออก ทำอะไรซักอย่างกับไอ่เครื่องนั่น แล้วมันก็ยังมีเสียงติ้ด ๆ อยู่เรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าเช้า มีหมอมาเปลี่ยนเวร หมอผู้ชายเดินตรงเข้ามาพร้อมกับนิสิตแพทย์อีก 3-4 คน หมอถามอาการนู่นนี่นั่น นิสิตแพทย์ก็ยืนฟังโดยไม่มีการจดหรือว่าโน้ตใด ๆ ทุกคนมองมาที่เราและฟังแบบตั้งใจมาก แต่ละคำที่ออกจากปากเราเป็นอะไรที่ดูมีความหมายสำหรับคนที่อยู่ตรงหน้า ทำไมพวกเขาถึงตั้งใจฟังขนาดนี้ เราพูดเบามาก เราเงียบ เราร้องไห้ แต่นิสิตแพทย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงสัย หรือทำสีหน้าไม่พอใจอะไร ราวครึ่งชั่วโมงได้ หมอบอกว่า แค่นี้ก่อนนะ นอนพักก่อนนะคะ เดี๋ยวเย็น ๆ หมอมาหาใหม่ ในใจคือแบบบ เยยยยย้ รอดแล้วว้อย ได้นอนต่อแล้ว จากนั้นก็เป็นการนอน นอนและนอนไปยาว ๆ ฝันเยอะมาก จนคิดว่าถึงความฝันจะแย่แค่ไหนแต่ก็ไม่แย่เท่าความรู้สึกตอนที่ตื่นมาและรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ก็เถอะ
No matter where life takes me, find me with a smile
ไม่ว่าชีวิตจะพาฉันไปที่ไหน ขอให้เจอฉันกับพร้อมกับรอยยิ้ม
Pursuit to be happy, only laughing like a child
เลือกที่จะมีความสุข หัวเราะลั่นราวกับเด็กไร้เดียงสา
I never thought life would be this sweet
ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีความสุขได้มากขนาดนี้
It got me cheesin' from cheek to cheek
ฉันมีความสุขมากและฉันก็ยิ้มไม่หุบเลย
And I ain't going to wait for nothing
ฉันไม่จำเป็นต้องรออะไรอีกแล้ว
Cause that just ain't my style
เพราะนั่นไม่ใช่ทางของฉันเลย
Life couldn't get better
ชีวิตคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วแหละ
This 'gon be the best day ever
วันนี้คือวันที่ดีที่สุด
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in